* * *

“พูดเช่นนั้นไปได้ยังไงกัน!”

ทันทีที่เข้ามาในห้องไอซิสก็ไล่คนรับใช้ทั้งหมดออกไปแล้วต่อว่ามิเอล

เพราะระหว่างทางที่มายังโครอาไอซิสก็เอ่ยเตือนมาตลอด แต่สุดท้ายมิเอลกลับเอาเรื่องเจ้าชายมาเล่าให้จักรพรรดิหนุ่มอย่างโรฮันฟังจนได้

‘โกหกอะไรไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง!’

แต่มิเอลยังไม่อาจตัดสินสถานการณ์ได้อย่างที่ควรจะเป็นจึงพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย

“ตะ ต้องรู้ไว้สิคะ ท่านจะได้เตรียมตัว ไม่เช่นนั้นหากทุกอย่างที่พยายามสร้างมาพังทลายไปหมดจะทำยังไงล่ะคะ…!”

“เลดี้มิเอล!”

“ท่านอาจจะสับสนตอนแรกแต่จะต้องเชื่อดิฉันแน่ค่ะ! เพราะมันคือความจริงยังไงล่ะคะ! หากท่านไม่เชื่อคำพูดดิฉัน ท่านจะต้องเสียใจ”

ไอซิสซึ่งกำลังโมโหที่มิเอลเอาแต่ยืนกรานหนักแน่นได้แต่ขมวดคิ้วแล้วถอนหายใจ มิเอลดื้อด้านหัวชนฝาจนโรฮันถึงกับจะส่งคนมา ดังนั้นก็ถือว่าเรื่องได้เกิดขึ้นมาแล้ว มันย้อนกลับไม่ได้แล้ว

หากมิเอลเป็นแค่สาวใช้ธรรมดาๆ เธอคงอาละวาดบอกว่ามิเอลเป็นบ้าไปแล้ว แต่นี่กลับเป็นระเบิดที่ถือจดหมายสำคัญของเธออยู่

“หากมีอะไรผิดพลาดเพราะเลดี้แม้เพียงอย่างเดียวละก็…!”

เมื่อไอซิสเปิดเผยความรู้สึกในก้นบึ้งของหัวใจออกมาด้วยความอัดอั้น มิเอลก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังกังวลเรื่องอะไรจึงพูดเสริมให้ไอซิสคลายความกังวลลง

“ตายจริง ดิฉันไม่คิดให้รอบคอบเอง ดัชเชสไม่ต้องห่วงนะคะ คราวนี้ดิฉันจะเป็นผู้รับผิดชอบทุกอย่างเองค่ะ จริงๆ นะคะ”

สีหน้าของไอซิสจึงเปลี่ยนไปในพริบตา

เพราะหากมิเอลพาตัวเองเข้าไปทำเรื่องสุ่มเสี่ยงก็จะเป็นการทำลายตัวเอง ดังนั้นเคนซึ่งไม่มีใครให้กล่าวโทษก็จะเปิดเผยจดหมายพวกนั้นได้ลำบากตามไปด้วย

ไม่สิ หากเธอพูดเสริมไปว่าตนเกือบจะทำงานใหญ่ผิดพลาดเพราะมิเอล อีกฝ่ายคงต้องใช้ชีวิตอยู่กับความรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตแน่

อย่างไรเสียไอซิสก็ขบคิดมาตลอดอยู่แล้วว่าเธอจะสลัดมิเอลทิ้งไปเมื่อไรดี ดังนั้นก็คงไม่เลวหากจะใช้โอกาสนี้ไล่มิเอลไป

“…เช่นนั้นเลดี้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ให้ชัดเจนดีกว่านะ เราจะได้ส่งคู่ฉบับไปยังคฤหาสน์เคานต์”

‘ฉันจะได้มั่นใจยังไงล่ะ’

ไอซิสพูดพร้อมกับหยิบจดหมายออกมา มิเอลพยักหน้า ดูเธอจะเชื่อจริงๆ ว่าจักรพรรดิวัยหนุ่มแห่งโครอาจะเชื่อคำพูดของตัวเอง

สมกับเป็นเด็กน้อยที่ยังไม่รู้จักความเป็นจริงของโลก โง่เขลาเสียจริง

“ได้ค่ะ”

ไอซิสไม่เคยคิดเลยว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเธอจะบิดเบี้ยวไปเช่นนี้ได้ในระยะเวลาเพียงปีเดียว มันเคยเป็นความสัมพันธ์ที่สามารถกลายเป็นครอบครัวเดียวกันได้ แต่ในตอนนี้ต่างคนกลับต่างซ่อนกรงเล็บแหลมคมต่ออีกฝ่าย

“สุดท้ายช่วยลงนามให้ด้วยนะ เราอยากให้เลดี้ลงนามไว้ด้านบนของทั้งสองฉบับ เพื่อเป็นหลักฐานว่าเราไม่ได้ปลอมแปลงขึ้นมาค่ะ”

“เข้าใจแล้วค่ะ”

เมื่อมิเอลส่งจดหมายทั้งสองฉบับที่เธอตั้งใจเขียนอย่างดีให้ไอซิส พลันสีหน้าของไอซิสก็กลับมาสดใสดังเดิมราวกับรู้สึกพอใจ

เป็นหน้าตาที่ดูโล่งใจอย่างไรพิกล ต่างจากมิเอลน้อยที่แสนโง่เขลา โรฮันผู้ฉลาดหลักแหลมไม่มีทางเชื่อคำพูดของมิเอลแน่นอน

ทั้งสองใช้เวลาคืนนี้ผ่านไปพร้อมความคิดและเป้าหมายที่แตกต่างกันจนวันใหม่

“ฝ่าบาทเรียกเข้าเฝ้าครับ”

คำพูดของข้ารับใช้ที่โรฮันส่งมาทำให้มิเอลซึ่งตัวเกร็งเพราะความตื่นเต้นมาตั้งแต่เมื่อขึ้นลุกพรวดขึ้นจากที่ทันที เธอตื่นเต้นเสียจนไม่สามารถทานอาหารเช้าที่ถูกจัดเตรียมไว้อย่างดีจนหมดด้วยซ้ำ

หวังว่าจักรพรรดิหนุ่มแห่งโครอาจะเป็นคนเฉลียวฉลาดและเชื่อคำพูดเธอ มิเอลคิดเช่นนั้นพลางเดินตามหลังข้ารับใช้ไป ไม่สิ เธอคิดว่าเขาต้องเชื่อเธอแน่เพราะสิ่งที่เธอเห็นล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น

มิเอลมายืนหอบอยู่หน้าห้องทำงานของโรฮันซึ่งอยู่ห่างจากที่พักเธอมาพอสมควร และแล้วประตูบานใหญ่ก็ถูกเปิดออกโดยไม่มีการบอกกล่าวใดๆ

มิเอลตกใจแล้วรีบก้มหน้าแสดงความเคารพอย่างอ่อนน้อม

“ดะ ดิฉันมาเข้าเฝ้าฝ่าบาทเจ้าค่ะ”

“ไม่ต้องมีพิธีรีตองเช่นนั้นหรอก มาใกล้ๆ สิ”

เธอค่อยๆ เงยหน้าขึ้นแล้วเดินเข้าไปอยู่ตรงหน้าโรฮันตามที่เขาสั่ง

ผมสีเงินของเขาส่งประกายยามต้องแสงแดดที่ลอดเข้ามาผ่านหน้าต่าง มันทำให้เขาดูลึกลับจนตรึงสายตาเธอไว้ได้เป็นเวลานาน ผมสีนี้หาได้ยากนักในจักรวรรดิ

และนัยน์ตาสีทองของเขาก็ช่างงดงามราวดวงตะวัน เป็นความงดงามคนละแบบกับแววตาของออสการ์ที่มักจะเย็นชาเสมอ

“ผมอยากคุยเรื่องเมื่อวานนี้ให้รู้เรื่อง”

มิเอลที่เอาแต่ใจลอยมองโรฮันตกใจจนหน้าแดงระเรื่อเมื่อเขาพูดเข้าเรื่องอย่างกะทันหัน

‘มาเพื่อพูดเรื่องสำคัญแต่กลับมาลุ่มหลงใบหน้าของบุรุษอย่างนั้นหรือ’ มิเอลตำหนิตัวเองก่อนจะตั้งสติ กลืนน้ำลาย และตอบไปอย่างระมัดระวัง

“เอ่อ เจ้าค่ะ…! ท่านอาจจะทราบอยู่แล้ว แต่ว่า… มกุฎราชกุมารของจักรวรรดิทรงมีความสามารถพิเศษบางอย่างและดิฉันคิดว่าควรจะทูลให้ท่านทรงทราบโดยตรง เพราะดิฉันมั่นใจว่ามันจะเป็นอุปสรรคใหญ่หลวงต่อสิ่งที่ท่านกำลังทำเจ้าค่ะ”

“อย่างนั้นหรือ เป็นอุปสรรคต่อผมเชียวหรือ ถ้าเช่นนั้นก็คงเป็นเรื่องสำคัญสินะ แล้วความสามารถพิเศษของมกุฎราชกุมารที่ว่ามันคืออะไรล่ะ”

โรฮันเอ่ยเร่งมิเอลด้วยสายตาสนอกสนใจ คำพูดที่เธอบอกว่ามันจะขวางทางข้างหน้าของเขาทำให้เขานึกอยากรู้ขึ้นมา

สายตาเดียวกันกับที่มิเอลเพิ่งเห็นไปเมื่อคืนนี้ จักรพรรดิหนุ่มเป็นคนหลักแหลมอย่างที่เธอคิดจริงๆ ด้วย

นั่นทำให้มิเอลรู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อยและมีความมั่นใจที่จะเปิดเผยความลับของมกุฎราชกุมารมากขึ้น

“เป็นความสามารถแบบที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมาแล้วก็ล่องหนได้เจ้าค่ะ มันเหมือน… สามารถเดินทางไปที่ไหนก็ได้อย่างอิสระเลยเจ้าค่ะ”

เขาหรี่ตาลงเมื่อได้ฟังสิ่งที่มิเอลพูด ความสามารถพิเศษ เคลื่อนไหวไปได้ทุกที่อย่างอิสระ เขาดูเหมือนกำลังคิดถึงสิ่งที่มิเอลพูดอย่างละเอียด

โรฮันจมอยู่กับความคิดสีหน้าเคร่งเครียด ใบหน้าสนใจใคร่รู้เมื่อครู่นี้หายไปจนสิ้น ท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วของโรฮันทำให้มิเอลได้แต่ยืนบีบมือคอยเขาด้วยความกระวนกระวาย

“อืม ผมยังไม่ค่อยเข้าใจว่ามันคืออะไร ถึงเขาจะเป็นมกุฎราชกุมารของจักรวรรดิแต่ในฐานะคนคนหนึ่งแล้วมันจะเป็นไปได้หรือ”

ใบหน้าของโรฮันที่ถามกลับมามีแต่ความสงสัย ถึงอย่างนั้นน้ำเสียงของเขาก็ไม่ได้มีแววต่อว่าหรือจับผิดเหมือนคนอื่น มันคือคำถามจากใจจริงๆ ว่ามันจะเป็นไปได้หรือ

มิเอลจึงยืนยันสิ่งที่เธอได้พูดไปเสียงดัง

“ดิฉันเห็นกับตาเลยเจ้าค่ะ!”

“เห็นกับตาหรือ ที่ว่ามกุฎราชกุมารแห่งจักรวรรดิเคลื่อนตัวไปอีกที่อย่างรวดเร็วน่ะหรือ …เธอไปเห็นที่ไหนและเห็นได้ยังไงกัน”

“เรื่องนั้น… เกิดขึ้นที่คฤหาสน์เคานต์โรสเซนต์เจ้าค่ะ ดิฉันแวะไปทำธุระที่นั่นพักหนึ่งจึงได้เห็นเจ้าค่ะ… คือ… เป็นตอนที่ท่านเคานต์ตกลงมาจากบันไดพอดีเลยเจ้าค่ะ จู่ๆ มกุฎราชกุมารก็ปรากฏท่านมาแล้วก็หายลับไปเจ้าค่ะ ราวกับภาพลวงตาทีเดียวเจ้าค่ะ”

การจะโน้มน้าวใจด้วยคำโกหกปะปนกับความเป็นจริงมันง่ายดายที่ไหนกัน เมื่อเธอยืนยันพร้อมกับพูดถึงเรื่องนั้น โรฮันก็เลิกคิ้วถามกลับ

“คฤหาสน์เคานต์โรสเซนต์หรือ …อ้อ เธอกำลังพูดถึงคดีน่ากลัวที่ลูกตั้งใจจะฆ่าพ่อตัวเองสินะ”

ดูเหมือนเรื่องที่มิเอลผลักท่านเคานต์ตกบันไดจะดังข้ามจักรวรรดิมาจนถึงโครอาเลยทีเดียว

แต่คำพูดที่ว่า ‘อาเรียเป็นคนผลักท่านเคานต์’ ดูจะไม่ได้ดังข้ามมาด้วย มิเอลจึงได้แต่พยายามเก็บกลั้นอารมณ์โกรธแค้นที่พลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้งแล้วช่วยแก้ไขสิ่งที่โรฮันยังเข้าใจผิดอยู่

“…คำตัดสินออกมาเช่นนั้นแต่ดิฉันเห็นเจ้าค่ะ ว่าเลดี้อาเรียเป็นคนผลักท่านเคานต์ลงมาจริงๆ และหลังจากนั้นมกุฎราชกุมารก็ปรากฏท่านขึ้นมาก่อนที่ทั้งสองจะหายไปดังควันเจ้าค่ะ เรื่องจริงนะเจ้าค่ะ!”

ภาพที่เธอยืนยันคอเป็นเอ็นนั้นทำให้โรฮันกระตุกยิ้ม ซึ่งมิเอลไม่มีทางเข้าใจว่านั่นหมายถึงอะไรจึงพูดโน้มน้าวใจโรฮันอีกครั้ง

“ดิฉันทราบดีเจ้าค่ะว่ามันเป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อ เพราะที่ดิฉันปิดปากเงียบมาจนป่านนี้ก็เพราะเหตุนั้นเช่นกัน… เลดี้มิเอลที่น่าสงสาร… จะว่าไปเมื่อพูดเรื่องการโกหกแล้ว สิ่งที่ได้รับกลับมาก็มีแต่โทษสถานหนักแล้วเหตุใดดิฉันจะโกหกล่ะเจ้าค่ะ ขอท่านโปรดรับรู้ความรู้สึกของดิฉันที่ต้องการจะบอกและช่วยท่านแม้สักนิดเถอะนะเจ้าค่ะ”

คำพูดของมิเอลที่กล้าพูดว่าตัวเองน่าสงสารก็นับว่ามีเหตุผลในระดับหนึ่ง

เธอคงไม่มีทางมาบอกจักรพรรดิของประเทศหนึ่งว่ามกุฎราชกุมารมีพลังความสามารถพิเศษเว้นเสียแต่ว่าเธอจะเป็นบ้า เพราะหากเธอทำพลาดไปนั่นก็หมายความว่าเงาหัวเธอก็จะหายไปด้วย

แน่นอนว่าเธอคือสาวใช้ที่ไอซิสเป็นคนพามาด้วยตัวเองดังนั้นเขาจึงไม่อาจสังหารเธอได้โดยง่าย แต่มิเอลก็อาจต้องโทษสถานหนักอย่างที่เธอพูดได้จริงๆ

ยกตัวอย่างก็เช่น ตัดลิ้นจอมเจ้าเล่ห์นั่นเสีย

แต่โรฮันผู้มีปัญญาไม่มีทางตัดสินใจอย่างโหดร้ายเช่นนั้น ในทางตรงกันข้ามเขากลับสอบถามคนที่นำข้อมูลสำคัญนี้มาบอกเขาอยู่เป็นเวลานาน

“เข้าใจแล้ว ฉันเองก็คิดว่ามันมีเหตุผล แล้วนายล่ะว่ายังไง วิการ์”

จู่ๆ เขาก็เรียกชื่อใครอีกคนขึ้นมามิเอลจึงหันมองไปรอบตัวด้วยความตกใจ เธอจึงได้เห็นชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนโซฟาในมุมที่เธอไม่ทันได้สังเกตเพราะมัวแต่ตื่นเต้น

‘วิการ์ เรย์ออส…!’

เขาคือหนึ่งในขุนนางของจักรวรรดิซึ่งเคยให้คำแนะนำกับไอซิสบ้างเป็นบางครั้ง และมิเอลก็คุ้นเคยกับเขาเป็นอย่างดี มิเอลรู้สึกตื่นเต้นจนเหงื่อออกเต็มสันจมูกและหน้าผากเพราะตัวเองกำลังปลอมตัวเป็นสาวใช้อยู่

วิการ์เองก็มั่นใจจึงยกยิ้มแปลกประหลาดให้ใบหน้าที่ไม่ได้เจอเป็นเวลานานพลางเอ่ยตอบ

“กระผมก็คิดว่ามีเหตุผลขอรับ กระผมเองก็เคยเห็นมกุฎราชกุมารย้ายไปอยู่อีกที่หนึ่งได้อย่างรวดเร็วจนน่าแปลกเช่นกันขอรับ กับเหตุการณ์นี้ก็เคลื่อนไหวไปได้เร็วเช่นกัน จนไม่น่าเชื่อว่าจะไปพร้อมเลดี้ชนชั้นสูงเลยทีเดียวขอรับ”

โชคดีที่วิการ์ทำเป็นไม่รู้จักมิเอล

วิการ์พูดต่อ

“และกระผมก็คิดว่ามันไม่ได้เลวร้ายอะไรหากเราจะประเมินความสามารถพิเศษนั่นให้เกินจริงเอาไว้ก่อนแม้ว่าสุดท้ายแล้วสาวใช้คนนี้จะโกหกก็ตามขอรับ”

คำสนับสนุนที่หนักแน่นจากวิการ์ทำให้โรฮันพยักหน้า

จริงอย่างที่วิการ์พูด การเตรียมพร้อมไว้ก่อนก็ไม่เสียหาย อย่างไรก็ดีกว่าประเมินต่ำเกินไปและประมาทเลินเล่ออยู่แล้ว

“ดีล่ะ นายยังว่าอย่างนั้นฉันจะเชื่อก็แล้วกัน ฉะนั้นฉันก็จะเชื่อเธอด้วย”

สีหน้าและคำตอบที่น่าพอใจของโรฮันทำเอามิเอลเข่าอ่อน เพราะเธอตื่นเต้นมากต่างจากที่มั่นใจว่าเขาจะเชื่อเธอ

โรฮันที่ลุกจากที่มาตั้งแต่เมื่อไรไม่อาจทราบได้เข้ามาช่วยประคองมิเอล ใบหน้าด้านข้างของเธอจึงสัมผัสกับอกแกร่งของเขาเข้า

“ฝะ ฝ่าบาท…!”

“เราอยากทานมื้อเที่ยงกับผู้มีพระคุณที่นำข้อมูลสำคัญมาบอกเราเสียหน่อย เธอพอจะมีเวลาหรือไม่”

ทั้งสายตาและเส้นผมของโรฮันที่ถามเธอเช่นนั้นเป็นประกายระยิบระยับ จนเธอรู้สึกว่ามันช่างอ่อนหวานเหลือเกิน

และความงามของชายหนุ่มก็เพียงพอจะทำให้ใบหน้าขาวราวน้ำนมของมิเอลแดงเรื่อขึ้นมาได้

“ดะ ดิฉัน…!”

เธอมีออสการ์อยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นโรฮันเองก็กำลังจะกลายเป็นสวามีของไอซิสมิใช่หรือ

เธอไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้ต่อชายอื่นนอกเหนือจากออสการ์เลยไม่รู้ว่าควรจะตอบออกไปเช่นไร วิการ์จึงเป็นคนตอบแทน

“เธอเป็นสาวใช้ที่มาพร้อมท่านไอซิส ฉะนั้นคงพอมีเวลาอยู่บ้างกระมัง ว่าแต่กระผมขอร่วมโต๊ะกับฝ่าบาทด้วยได้หรือไม่ขอรับ”

“นายจะถามสิ่งที่ควรจะเป็นอยู่แล้วทำไม”

มิเอลตีตนไปก่อนไข้ว่าจะได้ร่วมโต๊ะกับเขาเพียงสองคนแต่สุดท้ายแล้วไอซิสก็เข้ามาร่วมด้วย ทั้งสี่จึงได้ทานมื้อกลางวันด้วยกัน”

ในเวลาอาหาร ไอซิสที่มั่นใจหนักหนาว่ามิเอลจะต้องจะต้องได้รับโทษสถานหนักได้แต่จ้องมองมิเอลซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างไม่อยากเชื่อ

“สาวใช้ของเลดี้มีปัญญาเฉียบแหลมมากทีเดียว”

เขาดูเหมือนจะเชื่อว่ามกุฎราชกุมารหายตัวไปที่อื่นได้จริงๆ จนถึงขั้นเอ่ยชื่นชมมิเอลเช่นนี้

แต่เมื่อไอซิสนึกย้อนไปถึงสิ่งที่เธอกับเขาเคยคุยกันผ่านจดหมายแล้วเขาก็เป็นคนสุขุมและมีเหตุมีผลมากทีเดียว แต่เขาไม่ใช่คนที่จะยอมเข้าใจคำพูดเพ้อฝันไร้สาระของเด็กสาวคนหนึ่งแน่นอน

นี่จึงเป็นเรื่องยากสำหรับไอซิสที่จะทำความเข้าใจสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้

“…ขอบคุณค่ะ”

ไอซิสตอบพลางลอบสังเกตเขาไปด้วย

อาหารกลางวันถูกเตรียมด้วยความเอาใจใส่แต่เธอกลับไม่รับรู้ถึงรสชาติของมันสักนิด

“และผมยังชอบแววตาของเธอด้วย มันเป็นแววตาของผู้ที่มีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า จนอยากจะคุยด้วยอีกสักหน่อย”

มิเอลก้มหน้างุดสองแก้มแดงระเรื่อ ภาพนั้นช่างน่าเอ็นดูเสียจนโรฮันต้องยิ้มออกมาก่อนจะเอ่ยถามเธอ

“เราอยากได้เธอมาเป็นนางกำนัลของเราหากท่านหญิงไอซิสอนุญาต”

โรฮันทำตัวเป็นกันเองกับมิเอลทั้งยังพูดทีเล่นทีจริง มิเอลได้แต่นั่งหน้าแดงไม่อาจประเมินสถานการณ์ในตอนนี้ได้

แล้วไหนจะวิการ์ที่มาถึงก่อนกำหนดอีก ไอซิสส่งสายตาหาวิการ์เพราะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

ทันใดนั้น ราวกับตีความสายตานั้นออก วิการ์ยักไหล่แล้วรีบเปลี่ยนเรื่อง

“ท่านโรฮัน ไหนๆ ดัชเชสไอซิสก็มาถึงโครอาแล้วเรามาหารือกันเรื่องพิธีแต่งงานบ้างดีไหมขอรับ”

“พิธีอภิเษกหรือ”

โรฮันถามกลับด้วยสีหน้าเรียบเรื่อย ราวกับเขาไม่เคยได้ยินคำว่าพิธีอภิเษกที่ว่ามาก่อนเลย

นั่นทำให้ใบหน้าของไอซิสที่กำลังทานอาหารอยู่แข็งทื่อเป็นหิน

“…เอ๊ะ เอ่อ ขอรับ ก็ฝ่าบาทตัดสินใจจะแต่งงานกับดัชเชสไอซิสมิใช่หรือขอรับ”

วิการ์เองก็ถามกลับอย่างกระวนกระวาย ทันใดนั้นโรฮันก็หยุดทานอาหารราวกับเข้าใจสิ่งที่วิการ์พูดก่อนจะเอ่ยตอบ พร้อมรอยยิ้มมีเลศนัยที่มุมปาก

“อ้อ เรื่องนั้นนี่เอง ถ้าเช่นนั้นท่านไอซิสคงมาโครอาเสียเที่ยวแล้วกระมัง …เหมือนนายจะเข้าใจอะไรผิดไปนะ เรื่องนั้นฉันบอกจะมอบให้เป็นรางวัลในกรณีที่ ‘ฉันได้ครอบครองจักรวรรดิแล้ว’ และฉันก็จะไม่ทำเช่นนั้นโดยไม่ประเมินความคุ้มค่าของมันด้วย ฉันว่าฉันแจ้งผ่านเอกสารไปแล้วนะ”

หมายความว่าอย่างไรกัน… ไม่ใช่ว่าอภิเษกแล้วค่อยโจมตีจักรวรรดิหรอกหรือ

ไอซิสตกใจจนลืมแม้แต่จะกะพริบตา เธอจ้องมองโรฮันด้วยสีหน้าซีดเผือด แต่โรฮันกลับไปก้มหน้าก้มตาทานอาหารอีกครั้งราวกับมันเป็นเรื่องที่ไม่น่าสบอารมณ์นักสำหรับเขา

“อ้อ… เช่นนั้นเองหรือขอรับ กระผมมีหน้าที่เพียงนำส่งสารจึงไม่รู้ลึกถึงขั้นนั้น พวกท่านคุยกันเช่นนี้เองสินะครับ จะว่าไปกระผมว่ามันก็ควรจะเป็นเช่นนั้นขอรับ”

“ท่านวิการ์…!”

ยิ่งไปกว่านั้น กระทั่งผู้ที่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นทุกอย่างดีที่สุดอย่างวิการ์ก็ยังเข้าข้างโรฮัน

เธอเริ่มเรื่องนี้ก็เพราะคำแนะนำจากเขาทั้งนั้น แล้วนี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน แววตาของไอซิสล่องลอยไปมาเพราะความวุ่นวายที่เกิดขึ้นราวกับถูกโยนเข้าไปท่ามกลางพายุไต้ฝุ่น

เห็นแบบนั้นวิการ์จึงพูดเสริมพร้อมรอยยิ้มราวกับคนดีให้ไอซิส

“ดัชเชสเตรียมงานไว้หมดแล้วฉะนั้นอีกไม่นานจักรวรรดิจะต้องตกอยู่ในมือของท่านโรฮันแน่ขอรับ จริงไหมครับท่านไอซิส”

“…คิดว่าอย่างนั้นค่ะ…”

ไอซิสตอบเช่นนั้นทั้งที่กำลังร้อนใจ มือเธอสั่นระริก ความคิดว่าเธอต้องรีบโจมตีจักรวรรดิให้เร็วที่สุดเพื่อทำให้สถานะของตัวเองมั่นคงวิ่งวุ่นอยู่เต็มหัว

รอยยิ้มที่ไม่รู้ความหมายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของโรฮันและวิการ์ขณะมองเธอ

……………………….