“ไหนๆ ก็เตรียมทุกอย่างเสร็จหมดแล้ว เราน่าจะเริ่มกันเลยนะครับ จริงไหมครับ ดัชเชสไอซิส”
โรฮันเอ่ยถามใบหน้าเปื้อนยิ้ม มันคือรอยยิ้มในเชิงถามแต่ไอซิสที่กำลังร้อนใจกลับพยักหน้ารับรัวๆ ท่าทางดูเร่งรีบไม่สมกับเป็นเธอ
นั่นทำให้โรฮันยิ้มออกมาอย่างพอใจแล้วพูดต่อ
ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางไว้
“ดีครับ เพราะผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะเริ่มเคลื่อนไหวกันเสียที ผมตื่นเต้นอยากจะเห็นตอนจบเร็วๆ เหลือเกิน แต่ก่อนที่เราจะเริ่มเคลื่อนไหวกันอย่างจริงจัง เรามาดื่มชาร่วมกันสบายๆ พร้อมมาร์ควิสเปียสต์ดีกว่าครับ”
มาร์ควิสเปียสต์… หรือคะ”
“ครับ เขาเป็นคนสำคัญยิ่งที่จะทำให้เป้าหมายของผมประสบความสำเร็จได้น่ะครับ นอกจากนั้นยังเป็นคนที่เตรียมกองทหารที่เราจะส่งไปยังจักรวรรดิด้วยตัวเองอีกด้วย ผมคิดว่าเขาจะช่วยท่านหญิงได้มากทีเดียวครับ”
เมื่อนึกถึงในเอกสารที่มีการแลกเปลี่ยนกันตลอดเวลาที่ผ่านมาก็มีคนมากมายเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ด้วย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่มีการแนะนำคนจากโครอาให้เธอรู้จัก
และเมื่อไอซิสมีสีหน้าสับสนโรฮันก็พูดต่อ
“เขาเตรียมทุกอย่างเอาไว้อย่างพร้อมสรรพเพราะเขาเป็นคนที่ทุ่มสุดตัวให้กับสิ่งที่เขาต้องการ ที่ผ่านมาเขาเคยแต่รายงานเรื่องต่างๆ ผ่านตัวอักษรมาตลอดแต่เมื่อได้ยินว่าท่านหญิงมาที่จักรวรรดิเขาก็อยากจะมารายงานต่อหน้าน่ะครับ มันไม่ใช่งานที่เตรียมการไว้ล่วงหน้าแต่ท่านหญิงคาดหวังได้เลยครับ”
เมื่อเขาบอกว่าให้คาดหวังได้ทั้งไอซิสและมิเอลต่างก็รอคอยเวลาน้ำชากันตาเป็นประกาย วิการ์เองก็มีสายตาคาดหวังเช่นกันแต่ด้วยเหตุผลที่ต่างออกไป
หลังจากมื้อกลางวันไปด้วยความรู้สึกแสนซับซ้อน ทั้งหมดก็ย้ายมาอยู่ในสวนของพระราชวัง ณ ที่แห่งนั้นมาร์ควิสเปียสต์ได้มาถึงปราสาทล่วงหน้าและกำลังรอคอยโรฮันอยู่ในสวนแล้ว
“ไม่เจอกันนานนะ มาร์ควิส มาถึงก่อนเสียด้วย”
“ขออนุญาตเข้าเฝ้านะขอรับ”
โรฮันพูดทักทายมาร์ควิสเปียสต์อย่างเป็นกันเอง แต่อีกฝ่ายกลับก้มหัวให้ด้วยสีหน้าแข็งกระด้าง
เขาเป็นชายชราสูงวัยที่ควรจะเกษียณอายุออกไปแล้วผู้มีผมหงอกสีขาวสะดุดตา
‘เขาไม่มีลูกหรือ’ หากเป็นเช่นนั้นเขาก็ควรจะรับอุปการะลูกหลานในครอบครัวสักคนเพื่อให้สืบทอดตำแหน่งต่อไป ทั้งไอซิสและมิเอลต่างก็สงสัยที่เขายังรักษาตำแหน่งมาร์ควิสเอาไว้จนถึงตอนนี้
“เขาเป็นผู้เฒ่าที่ยังไม่สามารถส่งต่อตำแหน่งให้ทายาทได้จนอายุมากขนาดนี้เพราะเรื่องบางอย่าง แต่เขาคือมาร์ควิสเพียงหนึ่งเดียวของโครอาจึงมีความรอบคอบดูได้จากใบหน้าเจนโลกนั้น”
โรฮันพูดด้วยสีหน้าแข็งกระด้างเมื่อเห็นสีหน้าของไอซิสกับมิเอล ตอนนั้นเองพวกเธอจึงได้รู้ตัวว่ากำลังเสียมารยาทจึงรีบเก็บสีหน้าของตัวเองให้เรียบร้อย
“ยินดีที่ได้พบดัชเชสแห่งจักรวรรดิครับ”
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ท่านมาร์ควิสเปียสต์”
หลังจบการแนะนำตัวกันสั้นๆ บทสนทนาก็หยุดลง โรฮันเป็นเพียงคนเดียวที่จิบชาได้อย่างสบายอารมณ์ท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียด เขาเป็นคนเปิดบทสนทนาขึ้น
“ทั้งกองทหารและอัศวินที่เตรียมไว้พร้อมออกเดินทางหรือยัง”
“พร้อมแล้วขอรับ พวกเขาพร้อมออกเดินทางไปยังจักรวรรดิได้ทุกเมื่อขอรับ”
“ดีมาก ทั้งหมดมี 5,000 นายใช่ไหม”
“ตอนนี้เป็นเช่นนั้นจริงขอรับ แต่กระผมสามารถเพิ่มให้ได้อีก 5,000 นายขอรับ”
มิเอลหน้าแดงเรื่อด้วยความตื่นเต้นเมื่อได้ยินว่านายทหารทั้งหมดที่พร้อมจะมุ่งหน้าสู่จักรวรรดินั้นมีถึง 10,000 นาย
นี่อาจเป็นจำนวนที่น้อยเกินไปหากจะบุกโจมตีแบบเปิดเผย แต่ตามแผนแล้วพวกเขาจะเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในจักรวรรดิด้วยความช่วยเหลือของไอซิสและบรรดาขุนนาง ดังนั้นจำนวนนี้จึงพอเสียยิ่งกว่าพอ
หากจะซุ่มโจมตีเพื่อเข้ายึดปราสาทเช่นนี้จะต้องอาศัยเวลา และเมื่อไม่มีเจ้าชายกับอาเรีย ความผิดของเธอก็จะอันตรธานหายไปเช่นกัน
“คิดเห็นยังไงบ้างครับ ดัชเชสไอซิส”
“…ดิฉันรู้สึกซาบซึ้งมากทีเดียวค่ะ”
ไอซิสตอบด้วยใบหน้าแดงเรื่อน้อยๆ ราวกับเธอเองก็คิดเช่นเดียวกับมิเอล
เธอกำลังตกใจที่ไม่ได้เข้าพิธีอภิเษกในตอนนี้ต่างจากที่ปรากฏในเอกสารที่แลกเปลี่ยนกัน แต่แผนที่เตรียมไว้อย่างสมบูรณ์แบบก็พอจะทำให้มันทุเลาลงได้บ้าง
และสำหรับคำขอโทษเกี่ยวกับเรื่องนี้นั้น เธอต้องกลับไปยังจักรวรรดิเพื่อตรวจดูเอกสารอีกครั้ง หลังจากนั้นจึงชี้ว่าเป็นความผิดของจักรพรรดิหนุ่ม
“ดีล่ะ ถ้าอย่างนั้นก็ให้บรรดาทหารเข้าไปอยู่ตามคฤหาสน์ของเหล่าขุนนางที่ตามท่านหญิงมาทันทีตามแผน แล้วรอเวลาที่เหมาะสม ท่านหญิงได้เตรียมที่ไว้แล้วใช่ไหม”
“แน่นอนค่ะ ดิฉันไม่คิดว่าจะมีถึงหมื่นคน แต่ก็ได้เตรียมที่ไว้ให้อย่างเพียงพอดังนั้นดิฉันไม่คิดว่าจะมีปัญหาเจ้าค่ะ”
“มีตั้งหมื่นคนฉะนั้นคงต้องแบ่งจำนวนกันไปแล้วล่ะขอรับ และหากจะมารวมพลคงต้องใช้เวลาสักพักใหญ่ อาจจะหลายเดือนทีเดียวขอรับ”
วิการ์เองก็พูดด้วยสีหน้าพึงพอใจ ทำให้ไอซิสตอบกลับด้วยความพอใจเป็นอย่างมาก
“นั่นสิคะ อาจจะต้องใช้ต้นทุนมากกว่าที่คิดไปเสียหน่อยแต่จะเป็นการรอคอยที่คุ้มค่าแน่ค่ะ”
ตามแผนที่ว่าคือพวกเขาจะให้กองทหารเตรียมพร้อมอย่างลับๆ อยู่ในคฤหาสน์ของบรรดาขุนนางและชนชั้นสูงเพื่อไม่ให้เจ้าชายจับได้ และสุดท้ายก็จะเล็งหาโอกาสบุกเข้าปราสาท
ในที่สุดความฝันอันยิ่งใหญ่อย่างการถอดถอนเจ้าชายที่เอาแต่ดูถูกเธอตลอดมาออกจากราชสมบัติและฉวยอำนาจนั้นมาไว้ในมือก็มาอยู่ตรงหน้า ไอซิสพูดออกไปโดยไม่อาจซ่อนความตื่นเต้นเอาไว้ได้
“ต้องขอขอบคุณท่านมาร์ควิสจริงๆ นะคะ ที่เตรียมจัดกองทหารเอาไว้มากมายถึงเพียงนี้ ดิฉันว่าเราควรจะรีบกลับไปทันทีจะดีกว่าค่ะ”
เธอไม่เหลือเวลาให้ต้องเสียอีกแล้ว เธอต้องรีบกลับไปเพื่อต้อนรับเหล่าทหาร หากเป็นเช่นนั้นค่าใช้จ่ายก็จะน้อยลงด้วย เพราะบรรดาขุนนางชนชั้นสูงรวมทั้งไอซิสจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด
จำนวนทหารเพิ่มขึ้นทำให้ค่าใช้จ่ายก็เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัวโดยไม่คาดคิด เธอจึงพูดเช่นนั้นไป แต่แล้วคนที่อยู่เหนือความคาดหมายก็เห็นด้วยกับคำพูดของไอซิส
“นั่นสิครับ ผมเองก็จะไปด้วยเช่นกัน”
“อะไรนะ”
โรฮันถามกลับตาโตเพราะข้อเสนอแบบปัจจุบันทันด่วนของมาร์ควิสเปียสต์ เพราะเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในแผน
ไอซิสเองก็กลอกตากับสิ่งที่เพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรก
“มาร์ควิส นี่ท่านไม่ได้หลงลืมไปใช่ไหม”
และมาร์ควิสเปียสต์ผู้ทำสีหน้าไม่พอใจใส่โรฮันที่กล่าวโทษอายุอานามของตนจึงได้ตอบเหตุผลออกไป
“…ท่านโรฮัน กระผมแจ้งไปหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือขอรับ ว่ากระผมกำลังตามหาใครบางคน ฉะนั้นกระผมจึงต้องไปตามหาที่จักรวรรดิด้วยตัวเองขอรับ”
“มาร์ควิสจะไปด้วยตัวเองอย่างนั้นหรือ จักรวรรดิน่ะหรือ แต่มาร์ควิสบอกเองว่าจะไม่กลับไปที่จักรวรรดิอีกเพราะไม่ชอบนี่”
“ขอรับ กระผมพูดเช่นนั้นจริงขอรับ แต่โชคไม่ดีที่กระผมไม่เหลือเวลาให้รออีกแล้วขอรับ พฤติกรรมแปลกๆ ของบุตรชายกระผมจู่ๆ ก็แย่ลง มาร์เชอเนสจึงกังวลมากขอรับ เพราะอย่างนั้นกระผมจึงได้ปล่อยคนและไปตามหาด้วยตัวเองขอรับ”
สีหน้าของมาร์ควิสที่ตอบออกมาเช่นนั้นเต็มไปด้วยความกังวล นี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เขายังไม่สามารถส่งต่อตำแหน่งไปให้ลูกชายได้
โรฮันผู้เรื่องทุกอย่างนี้ดีเดาะลิ้นก่อนจะเอ่ยตอบ
“ช่วยไม่ได้ล่ะนะ ผมไม่สบายใจหากจะส่งมาร์ควิสไปจักรวรรดิ แต่เมื่อคิดถึงลูกชายของท่านแล้วผมก็คงห้ามอะไรไม่ได้”
“เช่นนั้นกระผมจะออกเดินทางไปพร้อมกับคณะของดัชเชสไอซิสเลยนะขอรับ”
“ตามใจเถอะ”
บรรยากาศหม่นหมองที่ยากจะเอ่ยถามในรายละเอียดยังคงดำเนินต่อไป
สุดท้ายไอซิสที่ต้องพามาร์ควิสกลับไปด้วยโดยไม่รู้เหตุผลก็ได้แต่จมอยู่กับความคิดตัวเองเงียบๆ ขณะจิบชาไปด้วย ทางด้านมิเอลก็เอ่ยปากออกมาอย่างระมัดระวังหลังจากจิบชาเมื่อคิดว่าเธออาจจะต้องกลับไปจักรวรรดิในเร็ววันนี้
“คือ… ฝ่าบาทโรฮัน ดิฉันมีเรื่องจะขอร้องพระองค์เจ้าค่ะ”
เธอบังอาจมานั่งร่วมโต๊ะด้วยในฐานะสาวใช้ยังไม่พอนี่ยังจะเป็นฝ่ายพูดก่อนอีกหรือ และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกหากแต่เป็นครั้งที่สอง
ถึงอย่างนั้นโรฮันก็พยักหน้าอนุญาตไม่แม้แต่จะตำหนิติเตียนสักนิด นั่นทำให้มิเอลมั่นใจมากขึ้นและเอ่ยปากพูดด้วยแววตาเป็นประกาย
“ดิฉันไม่อยากกลับไปจักรวรรดิ ดิฉันอยากอยู่ที่นี่ต่อเจ้าค่ะ”
“…จริงหรือ ทำไมล่ะ”
“เอ่อ ยังมีข้อมูลบางเรื่องที่ดิฉันยังไม่ได้ทูลให้ฝ่าบาททรงทราบเจ้าค่ะ”
ตอนนี้ยังอันตรายเกินไปที่เธอจะกลับไปจักรวรรดิ เพราะเธอได้หลบหนีออกมาจากการกักบริเวณภายในคฤหาสน์ นอกจากนั้นการสอบสวนเรื่องยากดประสาทก็ยังไม่จบด้วย
ดังนั้นเธอขออยู่ที่นี่เพื่อขายข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ของเจ้าชายและรักษาตำแหน่งของตัวเองเอาไว้ดีกว่ากลับไปแล้วต้องโดนจับอีก
มุมปากของโรฮันยกขึ้นเมื่อได้ยินว่าเธอจะขายชาติของตัวเองต่อไป
“อย่างนั้นหรือ เรายินดีอยู่แล้ว เพราะยิ่งมีข้อมูลเกี่ยวกับจักรวรรดิมากเท่าไรก็ยิ่งดี แต่ปัญหาคือดัชเชสไอซิสจะต้องอนุญาตก่อนนี่สิ…”
“ในเมื่อถูกใจสาวใช้ของดิฉัน ดิฉันก็จะให้เธออยู่ต่อค่ะ”
ไม่มีเหตุผลอะไรที่ไอซิสจะปฏิเสธ อย่างไรเสียไอซิสก็คิดจะทิ้งเธออยู่แล้ว และมิเอลเป็นคนบอกว่าจะอยู่ที่นี่เอง ดังนั้นจึงถือว่าภาระของไอซิสลดลงด้วยซ้ำไป
ตราบใดที่มิเอลไม่มีจดหมายและไม่ขู่เธอ สุดท้ายแล้วมิเอลจะเป็นหรือจะตายอยู่ที่นี่มันก็เป็นเรื่องของมิเอล
“ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าตัดสินใจแล้ว ดี เราจะรอฟังข้อมูลจากเธอก็แล้วกัน”
โรฮันตอบเช่นนั้นด้วยแววตาคมกริบแต่มิเอลที่คิดว่าตัวเองรอดแล้วกลับยิ้มกว้างอย่างสดใส
“เช่นนั้นท่านมาร์ควิสขึ้นรถม้าคันเดียวกับผมดีไหมครับ มันอาจจะไม่สบายตัวนักแต่ท่านยังไม่ทราบสถานการณ์ในจักรวรรดิ ผมจะได้อธิบายให้ท่านฟังคร่าวๆ ได้น่ะครับ”
วิการ์พูดกับมาร์ควิสเปียสต์แบบปุบปับ
เดิมทีมาร์ควิสไม่ได้มีความสนใจเกี่ยวกับสถานการณ์ภายในจักรวรรดิแม้เพียงนิด แต่เมื่อเห็นสีหน้าของวิการ์เขาก็รู้ได้ทันทีว่าเรื่องที่อีกฝ่ายต้องการจะพูดจริงๆ ไม่ใช่เรื่องนี้แต่เป็นเรื่องอื่น จึงตอบตกลง
ดังนั้นที่พำนักของมิเอลจึงถูกกำหนดด้วยประการฉะนี้ ก่อนที่ทั้งไอซิส วิการ์ มาร์ควิสเปียสต์ พร้อมทั้งเหล่าทหารที่ปลอมตัวเป็นปุถุชนคนธรรมดาก็มุ่งหน้าสู่จักรวรรดิ
* * *
“มิเอลหนีไปจริงๆ อย่างนั้นหรือ…”
หนีไปได้อย่างไรกัน อาเรียพูดอย่างไม่อยากเชื่อ
อาเรียรู้เรื่องที่มิเอลพยายามจะหนีอยู่ก่อนแล้วเพราะเธอได้ยินมาจากอาซ แต่กลับยิ้มเยาะเมื่อรู้ว่ามิเอลผู้โง่เขลาหนีไปจริงๆ
“แค่สั่งให้ให้คำแนะนำไปเพียงนิดเดียวแท้ๆ แต่ที่มิเอลเตรียมไว้ก็โง่เหลือเกิน”
เมื่อได้ข้อมูลมาจากอาซอาเรียก็สั่งให้คนรับใช้ออกจากคฤหาสน์ให้หมด เพื่อให้มิเอลหนีออกไปได้อย่างง่ายดาย ทหารรักษาการณ์ก็ได้รับเรื่องมาจากด้านบนจึงปล่อยสาวใช้น่าสงสัยคนนั้นเข้าไปโดยไม่ซักไซ้แม้สักนิด
และแม้จะไม่ถามแต่อาเรียก็รู้ดีว่าแหล่งข่าวที่ว่านั้นคือใคร
วิการ์ เรย์ออส
มีแค่เขาเท่านั้น
ในฐานะตัวหลักท่ามกลางบรรดาขุนนาง เขาคือผู้มีคุณูปการอย่างใหญ่หลวงที่ทำให้ไวเคานต์วิเกต์ได้รับโอนกิจการคาสิโนและยังเป็นสายลับที่อาซส่งไปอยู่ท่ามกลางขุนนางด้วย เธอเองก็จำได้ว่าเคานต์แห่งโรสเซนต์ก็เคยรับคำแนะนำจากเขาเช่นกัน
เขารักษาความเชื่อถือศรัทธาของบรรดาขุนนางที่มีต่อตัวเขาด้วยการให้ข้อมูลและคำแนะนำอย่างต่อเนื่องเพื่อไม่ให้ตัวตนที่แท้จริงของตัวเองถูกเปิดเผย
อาเรียในอดีตไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนจนกระทั่งเธอตาย แต่สำหรับในตอนนี้ที่เธอได้เห็นวิการ์เข้าร่วมในกลุ่มของอาซชัดๆ เต็มสองตานั้นต่างออกไป หากเธอนึกย้อนไปถึงการเคลื่อนไหวของเขาอีกสักหน่อยเธอก็สามารถรู้ได้อย่างไม่ยากเย็น
ด้วยความที่วิการ์เองก็เคลื่อนไหวอยู่ในกลุ่มขุนนางอย่างชัดเจนอยู่แล้ว อาซจึงไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติมเพราะเขาคิดว่าอาเรียคงเข้าใจ
“เราตามเธอไปเดี๋ยวนี้แล้วเพิ่มข้อหาให้ดีไหมคะ เพราะหากเธอหนีหายไปในโครอาแล้วเราอาจตามจับเธอมาไม่ได้อีกก็ได้นะคะ”
อาซส่ายหน้าทันทีที่อาเรียถามเช่นนั้น สีหน้าของอาซดูสบายใจต่างจากอาเรียที่ดูรีบร้อน บนใบหน้าของเขามีรอยยิ้มน้อยๆ ราวกับว่าเขาได้วางกับดักอื่นเอาไว้แล้ว
“ไม่ต้องหรอกครับ เราไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นเลย เพราะเลดี้มิเอลไม่สามารถหนีไปไหนได้อีกแล้ว เรารอลงโทษประหารเธอข้อหากบฏพร้อมกับดัชเชสเลยดีกว่าครับ แต่หากเลดี้คิดจะยกโทษให้เธอ ก็ควรตามเธอไปเดี๋ยวนี้ครับ”
“…ความผิดฐานกบฏหรือคะ”
หรือว่าไอซิสที่บอกว่าจะไปอภิเษกกับจักรพรรดิแห่งโครอาคิดจะเป็นกบฏอย่างนั้นหรือ อาเรียตาโตด้วยความตกใจกับข้อมูลที่เธอคาดไม่ถึง
“ครับ อีกไม่นานดัชเชสก็จะทำสิ่งที่ไร้สาระที่สุด และเป็นงานสุดท้ายที่ทางพวกผมทุ่มเทสุดหัวใจมาอย่างยาวนาน ผมหวังว่าเลดี้จะไม่ตกใจนะครับ”
เธอคิดว่ามันคงเป็นเรื่องใหญ่มากทีเดียวเขาถึงได้ขอเธอเสียขนาดนี้
เรื่องอะไรกันนะ เมื่อเธอถามด้วยความสงสัย อาซกลับบอกว่ามันเป็นความลับทั้งยังทำหน้าตาอารมณ์ดีเสียเหลือเกินราวกับมีภูเขาอยู่ตรงหน้าอย่างไรอย่างนั้น เป็นสีหน้าที่มีแต่ความขี้เล่น
“…ให้ตายสิ นี่คิดจะทำให้มันเป็นความลับกับฉันหรือคะ”
แต่เมื่ออาเรียโต้กลับอย่างจริงจังทั้งยังทำสีหน้าเศร้าสร้อย อาซก็รีบเปลี่ยนท่าทีและพูดเสริมทันที
“เอ่อ ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เลดี้เสียใจเลยนะครับ ผมจะอธิบายทุกอย่างให้ฟังเอง เลดี้ใจเย็นก่อนนะครับ”
“ฉันทราบค่ะ เพราะฉะนั้นรีบอธิบายมาเดี๋ยวนี้”
แต่อาเรียเองก็กำลังล้อเขาเล่นเช่นกัน เธอจึงลบสีหน้าเศร้าหมองออกไปในพริบตาพลางยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน ขณะเดียวกันก็คิดว่าการที่เขายังไม่รู้จักเธอดีและเปลี่ยนอารมณ์ไปตามสีหน้าของเธอทุกครั้งนั้นน่ารักดี
“…เลดี้ต้มผมจนเปื่อยเสียแล้ว”
อาซคิดว่าอาเรียน้อยใจจริงๆ จึงสับสนอยู่สักพักก่อนจะแย้มยิ้มอ่อนโยนตามอาเรียไปอีกคน
“อีกไม่นานดัชเชสจะกลับมาที่จักรวรรดิพร้อมกับกองทหารแบบลับๆ ครับ ทหารพวกนั้นจะปลอมตัวเป็นราษฎร โดยที่ทหารจำนวนมหาศาลจะถูกแบ่งให้แยกไปอยู่คฤหาสน์ของบรรดาขุนนางหลายคนเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมจนกว่าจะถึงวันตัดสินชี้ขาดครับ”
อาเรียหน้าซีดเผือดเมื่อได้ฟังคำอธิบายจากอาซที่พูดออกมาสีหน้าเรียบเรื่อย หาที่เขาพูดเป็นเรื่องจริงก็นับว่าเป็นเรื่องใหญ่เอาการไม่ใช่หรอกหรือ เพราะนี่ไม่ใช่เพียงความคิดหากแต่เป็นการกบฏจริงๆ
“แต่มันก็ยังมีเบื้องลึกเบื้องหลังอยู่ในนั้นเหมือนกันครับ เป็นเรื่องเบื้องลึกเบื้องหลังของคนสนิทผมที่อยู่ในนั้นน่ะครับ”
“…คนสนิทที่ไม่คาดคิดหรือคะ”
“ครับ เป็นคนสนิทที่แม้แต่ดัชเชสก็คิดไม่ถึงครับ”
อาซตอบอย่างมั่นใจ เขามั่นใจว่ามันจะเป็นการต่อสู้ที่เขาไม่มีวันเป็นผู้แพ้
ตอนจบของการต่อสู้ครั้งนี้คือความปราชัยของดัชเชสและการล่มสลายของเหล่าขุนนาง
……………………….