บทที่ 224 ผู้ชายคนนี้ เป็นบ้าไปแล้ว

ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง

ทั้งที่รักมาก แต่ก็ต้องแกล้งทำเป็นไม่สนใจและเบื่อหน่าย ไม่มีใครรู้ว่าเธอในตอนนั้นจะเจ็บปวดมากแค่ไหน แต่เขาก็ยังมาเกลียดเธออีก

จริงดั่งว่า ออกัสไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ความรู้สึกผิดต่อหยาดฝนก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น แต่มันก็เป็นเพียงความรู้สึกผิดเท่านั้น

“เรื่องพวกนี้ฉันไม่เคยรู้มาก่อนจริงๆ แต่ตอนนี้มันก็เป็นอดีตไปแล้ว ต่อให้จะหยิบยกขึ้นมาพูดอีก ก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ หากตอนนั้นเธอเลือกที่จะพูดความจริงกับฉัน เรื่องทุกอย่างคงไม่ลงเอยแบบทุกวันนี้ ในเมื่อเปลี่ยนแปลงความจริงไม่ได้ คนที่ต้องเจอยังไงมันก็ต้องเจอ คนที่ควรรักมันก็จะรัก นี่คือโชคชะตา……”

ระหว่างที่พูด เขาก็กำมือเรียวเล็กไว้ในฝ่ามือแน่น เพื่อให้เธอได้สัมผัสถึงไอความร้อนที่แผ่ซ่านออกมา

คำพูดแบบนี้ เชอร์รีนไม่เคยได้ยินออกัสพูดมันมาก่อน และไม่เคยคิดว่าจะได้ยินมันจากปากของเขา นี่เป็นครั้งเดียว และครั้งแรก

ใจที่สงบนิ่งก็ราวกับถูกก้อนหินก้อนหนึ่งโยนลงมา จากนั้นก็เกิดเป็นคลื่นลูกใหญ่ กระทบเข้ามาที่หัวใจของเธออยู่ซ้ำๆ

เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะพูดคำพูดเหล่านี้กับหยาดฝน หัวใจที่ร้อนรุ่ม ก็อ่อนลง และอ่อนโยนขึ้นมาเล็กน้อย

สีหน้าของหยาดฝนก็แปรเปลี่ยนเป็นเย้ยหยัน ความเจ็บปวดที่ยากจะอธิบายได้แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย เธอแน่นิ่ง เจ็บปวด และรู้สึกโกรธ!

เธออยากจะกรีดร้องตะโกนเสียงดัง เพื่อระบายความโกรธ ความเกลียด ความคับแค้นใจ และความเจ็บปวด ในใจของเธอออกมาให้หมด

แต่ว่า เธอกลับส่งเสียงไม่ออก ได้แต่นั่งตัวสั่นอยู่ตรงนั้น กล้ามเนื้อบนใบหน้าแข็งค้าง ขยับเคลื่อนไหวแทบไม่ได้

ถูกกดขี่ข่มเหงมานานหลายปี และเฝ้ารออีกกว่าสี่ปี สุดท้ายเธอได้อะไร ?

“คุณกลับไปก่อน เดี๋ยวผมจะไปหาซาราง……”ละสายตาออกไป ออกัสออกแรงบีบไปที่มือของเธอ จากนั้นก็คลายมันออก

“ค่ะ”เชอร์รีนพยักหน้า สีหน้าอ่อนโยนลงไปมาก ลุกขึ้นยืน และออกจากร้านกาแฟไป

นั่งอยู่กับที่โดยไม่ขยับไปไหน หยาดฝนฟุบลงที่โต๊ะกาแฟ ศีรษะฝังลงกับแขนทั้งสองข้าง หัวไหล่บางๆก็สั่นไหวเบาๆไม่หยุด

ภายในใจรู้สึกปวดใจไปด้วยเล็กน้อย ออกัสลุกขึ้น ยกฝ่ามือใหญ่ขึ้น แล้ววางไปที่แผ่นหลังของเธอ“ ฉันจะส่งเธอกลับเมืองs ”

ไม่มีเสียงตอบรับ เธอยังคงไม่ขยับเคลื่อนไหว นั่งอยู่กับที่ ลูกกระเดือกขยับขึ้นลง เสียงถอนหายใจต่ำๆ ร่างที่เรียวยาวก็โน้มตัวลง เขาช้อนร่างเธอขึ้นในท่าเจ้าสาว เดินออกไป ไปยังโรงแรมห้าดาวในตัวเมืองของเมืองทะเลหทัย

นอนอยู่บนนั้น ผมเผ้าของหยาดฝนยุ่งเหยิงไปหมด เธอหลับตา และยังคงไออยู่เป็นระยะ ผ้าห่มคลุมโปงศีรษะไว้อย่างมิดชิด ไม่แม้แต่จะปล่อยให้อากาศได้เข้าไปได้ เธอเป็นคนสวย และสง่างาม แต่ในตอนนี้กลับสิ้นสภาพ และทุกข์ระทม

ไม่วางใจกับสภาพอารมณ์ในตอนนี้ของเธอ ออกัสไม่ได้จากไป แต่กลับนั่งอยู่ที่โซฟา

เดินขึ้นไปยังชั้นบน เชอร์รีนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว อดคิดถึงคำพูดที่ชายหนุ่มพูดในร้านกาแฟเมื่อครู่ไม่ได้

เงยหน้าขึ้น ก็เห็นองค์ชายที่รออยู่ตรงหน้าประตูห้อง ด้วยใบหน้าที่เป็นกังวล หัวใจของเธอสั่นสะท้าน ค่อยๆหลับตาลง ควบคุมอารมณ์ที่ปั่นป่วนนั้นเอาไว้

เดินใกล้เข้ามา เธอพูดว่า “ ทำไมยังไม่กลับห้องอีก?”

สายตาขององค์ชายจ้องไปที่ริมฝีปากที่ถูกกัดและบวมของเธอ ชะงักเล็กน้อย แต่ก็กลับคืนสภาพปกติในทันที “ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”

ยกมือขึ้น เชอร์รีนเกลี่ยปอยผมที่ปรกหน้าทัดเข้าไปที่ใบหู ในใจรู้สึกละอาย“ ไม่เป็นไร ไปเถอะ เข้าห้องกัน ”

ขณะที่พูด มือของเธอก็จับไปที่รถเข็น ซารางถือนมเปรี้ยวแล้วมองมา มองมาที่ริมฝีปากของหม่ามี๊ น้ำเสียงใสๆของเธอพูดว่า“หม่ามี๊ ปากไปโดนอะไรกัดมาหรือเปล่า ?”

เมื่อได้ยินดังนั้น ร่างของเชอร์รีนก็แข็งทื่อ แล้วหันไปหาองค์ชายตามสัญชาตญาณ แต่องค์ชายก็ราวกับไม่สนใจ ยื่นมือไปแล้วกอดซารางเอาไว้“คิดถึงคุณอาองค์ชายบ้างหรือเปล่าหืม?”

“คิดถึง คิดถึงคุณอาองค์ชายมากๆเลย”ศีรษะเล็กๆของซารางก็พยักหน้าให้ราวกับไก่จิกข้าวเปลือก

หัวเราะเสียงดัง องค์ชายยื่นมือแล้วบีบไปที่จมูกเล็กๆของเธอ“ ดีมาก ไหน ซารางเรียกแด๊ดดี้ก่อน”

ซารางเม้มริมฝีปาก สักพัก ก็จึงเรียก“แด๊ดดี้”ออกมา

เมื่อได้ยินคำว่าแด๊ดดี้ เชอร์รีนก็ตัวแข็งทื่อขึ้นมาเล็กน้อย เดินเข้าไปในครัว เพื่อเตรียมอาหารค่ำ องค์ชายกำลังเล่นกับซารางที่ห้องนั่งเล่น และมีเสียงหัวเราะคิกคักดังมาเป็นระยะ

ในระหว่างที่กำลังทานอาหารค่ำ พนักงานที่ร้านเวดดิ้งก็โทรเข้ามา แจ้งเรื่องให้ไปลองชุดแต่งงานได้ในวันพรุ่งนี้

เชอร์รีนรับคำ แล้ววางสายไป ซารางเองก็ได้ยินเช่นกัน ใบหน้าเล็กๆเต็มไปด้วยความตื่นเต้น“หม่ามี๊จะไปใส่ชุดแต่งงานใช่ไหมคะ ? หนูไปด้วย!”

“กินข้าวก่อน วางนมเปรี้ยวไว้ข้างๆ กินข้าวเสร็จแล้ว ค่อยกินนมเปรี้ยวนะ”เห็นเธอมือหนึ่งถือนมเปรี้ยว อีกมือถือซาลาเปา เชอร์รีนก็ขมวดคิ้ว

หัวเราะแหะๆ ซารางวางนมเปรี้ยวลงบนโต๊ะ แล้วถือซาลาเปาขึ้นมา

หลังจากนั้น องค์ชายก็ยุ่งอยู่กับการเตรียมเอกสารให้กับทางฝั่งเมืองs ซารางเองก็ทำการบ้าน และเชอร์รีนก็กำลังล้างถ้วยชาม

เหนื่อยมากจริงๆ ใช้เวลาหนึ่งวันเต็มกับการถ่ายรูป ฟ้ายังไม่สว่างก็ออกเดินทาง ทั้งแต่งหน้า ทำผม และเปลี่ยนเสื้อผ้า มันทำให้รู้สึกเหนื่อยมากจริงๆ

ทรุดตัวลง เธอหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า แต่ในหัวก็กลับมีภาพของพวกเขาสามคนในร้านกาแฟเมื่อช่วงบ่าย ทั้งบทสนทนา และทุกๆคำพูด

เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ ความง่วงงุนก็หายลงไปไม่น้อย นั่งอยู่ตรงนั้น สภาพเธอเหม่อลอยดูไม่มีสติ

จากนั้น โทรศัพท์ก็ดังขึ้น เธอหยิบมันขึ้นมา เป็นสายจากกนกอร โทรมาบอกว่าการ์ดเชิญได้แจกจ่ายไปหมดแล้ว และงานเลี้ยงในโรงแรมก็ได้เตรียมการทุกอย่างไว้หมดแล้ว วันที่ก็เลื่อนเรียบร้อย เป็นอีกสิบวันหลังจากนี้

บ้านขององค์ชายในเมืองsได้ตกแต่งเรียบร้อย อะไรที่ควรซื้อก็ซื้อหมดแล้ว ไม่ขาดอะไรแล้ว ให้พวกเขาหาเวลากลับไปที่เมืองs

ฟังวันที่และเวลาที่กนกอรบอกมา หัวใจของเชอร์รีนก็กระตุก เธอไม่คิดว่าเวลาจะเลื่อนเข้ามากระชั้นชิดแบบนี้

“องค์ชายเป็นคนดี แกได้แต่งงานกับเขา ฉันก็เบาใจ เรื่องที่ฉันกังวลมาตลอดในที่สุดก็จะได้ปล่อยวางมันลงสักที”

กนกอรถอนหายใจยาวอีกครั้ง“ขาขององค์ชาย แกก็ค่อยดูแลมันหน่อย ซื้อกระดูกมาทำซุปให้เขาดื่มบำรุงเยอะๆ ได้ยินไหม?”

“ได้ยินแล้วค่ะ คนที่เขาไม่รู้จะคิดเอาว่าองค์ชายเป็นลูกชายแม่นะนี่ ”เชอร์รีนหัวเราะ พูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะสบอารมณ์ว่า“ไม่มีอะไรแล้วงั้นหนูวางสายละนะ แม่ ”

“เชอร์รีน แม่ขอเตือนแกอีกครั้ง องค์ชายเขาดีกับแกมาก หากแกทำอะไรที่ผิดต่อเขา คิดเอาเองแล้วกันว่าจะไม่รู้สึกผิดกับองค์ชายเขาเลยเหรอ อีกอย่าง ฉันกับพ่อแกเรายืนอยู่ข้างองค์ชาย รู้ใช่ไหม ?”

“รู้แล้วค่ะ !”เธอลากเสียงยาว และพยักหน้า

หลังจากวางสายแล้ว เชอร์รีนก็เทน้ำอุ่นมาแก้วหนึ่ง นั่งลงที่ตรงริมหน้าต่าง แล้วค่อยๆจิบมัน กับแสงจันทร์สีนวล และลมเย็นๆ

นี่เป็นเส้นทางที่เธอเลือกเดิน และตัดสินใจ รวมไปถึงพ่อกับแม่ของเธอที่คอยย้ำเตือนเธออยู่ตลอดว่าให้ทำดีกับองค์ชาย ในตอนนี้ เส้นทางนี้ไม่มีหนทางให้เธอได้ถอยกลับอีกแล้ว

ไม่รู้ว่าดื่มน้ำอุ่นติดต่อกันไปกี่แก้ว เธอยังคงนั่งเหม่อลอย ซารางเรียกเธออยู่หลายครั้งก็ไม่ได้ยิน จนกระทั่งร่างเล็กๆของเขามาซบที่แผ่นหลัง แล้วขยับไปมาเธอก็จึงได้สติ กอดซารางเอาไว้ แล้วเข้านอน

เช้าวันรุ่งขึ้น

เชอร์รีนยังคงตื่นแต่เช้า องค์ชายแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ซารางก็ตื่นตาม ท่าทีตื่นเต้น ร้องขอจะใส่ชุดแต่งงานด้วย เด็กน้อยมักชอบความสนุกสนาน

หลังจากนั้น ทั้งสามคนก็ออกจากบ้าน แล้วมุ่งตรงไปยังร้านเวดดิ้ง

องค์ชายกับเชอร์รีนไปเลือกชุดแต่งงาน ซารางถือกระเป๋าและดื่มน้ำผลไม้อยู่ที่โซฟา ปากน้อยๆเลอะไปด้วยน้ำผลไม้

ในตอนนี้เอง เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น มือป้อมๆของเธอก็หยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋า อ่านชื่อไม่ออก กดรับมันไปทั้งๆอย่างนั้น“ โทรหาหม่ามี๊มีธุระอะไรคะ ?ตอนนี้หม่ามี๊กำลังยุ่งอยู่ ไม่ว่างรับสายค่ะ !”

“หม่ามี๊เรายุ่งอะไร ?”เสียงที่ทุ้มต่ำดังลอดผ่านโทรศัพท์ คิ้วที่ได้รูปของออกัสก็ขมวดเข้าหากัน

“คุณอา……”เสียงใสๆของซารางก็เต็มไปด้วยความดีใจ “หม่ามี๊กำลังใส่ชุดแต่งงานอยู่ หนูก็จะใส่เหมือนกัน เป็นชุดสีขาว ”

เสียงดังปัง ออกัสกดวางสายทันที ใบหน้าที่หล่อเหลาเต็มไปด้วยความมืดมน ไอเย็นที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างก็ราวกับจะแช่คนให้แข็งได้

เมื่อเห็นร่างของเขาหายไป หยาดฝนก็ค่อยๆลืมตาที่บวมแดงของเธอ ลุกขึ้น แล้วไปล้างหน้าล้างตา

เธอรอมาสี่ปี ผลลัพธ์ที่ได้ต้องไม่ใช่แบบนี้ เธอจะยังยอมแพ้ไม่ได้ เธอไม่ยอม มันไม่ยุติธรรม!

“หม่ามี๊ เมื่อกี้คุณอาโทรมา หนูกดรับสายไปแล้ว ” ซารางพูด

“คุณอาไหน ”เชอร์รีนขมวดคิ้ว

“ก็คุณอานิสัยไม่ดีไง ”

“ทำไมต้องรับสายของเขาด้วย ? ”

“ทำไมจะรับไม่ได้ล่ะค่ะ คุณอานิสัยไม่ดีเขาก็ใจดีกับหนูเหมือนกัน”

เมื่อได้ยินดังนั้น ก็ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก เชอร์รีนยังคงลองชุดแต่งงานต่อ ชุดแรกที่ลองตรงช่วงเอวหลวมเกินไป ไม่เหมาะ แล้วเอาชุดที่สองมา

ชุดแต่งงานอยู่ชั้นหนึ่ง ส่วนชุดสูทอยู่ชั้นสอง ดังนั้นเธอกับองค์ชายจึงต้องแยกกันลองชุด

แต่ว่า ในตอนที่เธอหยิบชุดแต่งงาน และกำลังจะเดินเข้าไปในห้องลองชุดก็ต้องยืนอึ้งอยู่กับที่ มองไปยังชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า

ใบหน้าของออกัสในตอนนี้สามารถเปรียบได้กับเมฆดำที่ปกคลุม หว่างคิ้วดำมืด สายตาจับจ้องมองมาที่ชุดแต่งงานสีขาวบนร่างกายของเธอ มือใหญ่ขยับเคลื่อนไหว ดึงทึ้งชุดแต่งงานที่เธอสวมใส่อยู่อย่างป่าเถื่อน จนมันฉีกขาด

เธอโกรธมาก ทุบตีไปที่อกของเขาอย่างแรง“ออกัส ไอ้คนบ้า!”

เขาไม่ได้ตอบอะไร ริมฝีปากบางเม้มกันจนเป็นเส้นตรง โน้มตัวเข้าหา แล้วจูบเธอ มือใหญ่ก็ออกแรงดึงทึ้งชุดแต่งงานไม่หยุด

เธอทั้งทุบตี และทั้งกัด ความบ้าคลั่งของเขาแบบนี้ทำเธอรับมือไม่ทัน

เขาไม่สนใจเธอเลยด้วยซ้ำ บวกกับการกระทำของเธอ แรงกดจากริมฝีปากก็หนักหน่วงยิ่งขึ้น

ครั้งนี้ เขาไม่ได้มีความปรานีที่จะปล่อยเธอไปอย่างครั้งที่แล้ว แม้เธอจะเริ่มรู้สึกหายใจไม่ออก ภาพเริ่มมืด

ดิ้นไม่หลุด เธอทั้งแตะทั้งต่อย ใช้แรงทั้งหมดที่มี แต่ก็ทำอะไรเขาไม่ได้ จากนั้น ร่างกายก็เริ่มโรยแรง ไร้กำลัง สองมือคว้าไปที่หน้าอกเสื้อของเขา ไม่มีอากาศแล้วจริงๆ วิงเวียนศีรษะ

ราวกับจะลงโทษเธออย่างรุนแรง ออกัสจูบไม่ปล่อย ชุดแต่งงานในมือถูกเขาฉีกจนขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

จนกระทั่งร่างของเธอค่อยๆไถลลง เขาก็ถึงได้ปล่อย แผลจากเมื่อวานยังไม่หายดีวันนี้ที่ริมฝีปากก็มีแผลใหม่เพิ่มเข้ามาอีก