บทที่ 225 ชุดแต่งงานถูกเขาฉีกขาด

ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง

นิ้วมือหยาบๆลูบไล้ไปที่ริมฝีปากของเธอ ออกัสหอบหายใจลึกอย่างหนักหน่วง“ อย่าให้ผมต้องฟังอะไรที่ผมไม่อยากได้ยิน มิเช่นนั้น ผมจะจูบคุณให้ตายอยู่ตรงนี้ !”

ขอแค่เธอพูดอะไรที่เขาไม่อยากได้ยิน เขาก็จะเอาปากของเขาไปปิดปากเธอเอาไว้ ให้เธอพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว

เชอร์รีนยังคงหายใจเข้าออก รู้สึกหายใจติดขัดเล็กน้อย ยกขาขึ้น และถีบไปที่เขาอย่างแรง “ไอ้คนบ้า!”

“ใช่ ผมมันบ้า บ้าเพราะคุณไง คุณลองใส่ชุดแต่งงานดูอีกครั้งแล้วกัน เชื่อไม่เชื่อว่าผมจะฉีกทำลายมันทิ้งให้หมด?”เขาจ้องมองเธออย่างเย็นชา นัยน์ตาลุ่มลึกและจริงจัง ทำให้เธอรู้แจ้งเห็นกระจ่างว่า คนอย่างออกัสพูดจริงทำจริง!

เธอเองก็หายใจหอบ ทุบตีไปที่หน้าอกของเขา แรงพอสมควร เขามันบ้าไปแล้วจริงๆ บ้าคนเดียวไม่พอ ยังจะทำคนอื่นให้บ้าไปด้วย ทั้งสองจ้องมองสบตากันอย่างเย็นเยือกและแค้นเคือง ราวกับจะกลืนกินอีกฝ่าย และไฟสงครามก็ราวกับจะปะทุขึ้น

ชุดแต่งงานที่สวมใส่ถูกฉีกจนขาด ขาที่เรียวยาวโผล่พ้นออกมา ชุดแต่งงานเป็นแบบเกาะอก ภาพตรงหน้าในเวลานี้ก็จึงดูยั่วยวนยิ่งนัก

นัยน์ตาของออกัสดำขลับ ดำราวกับหมึกสีเข้ม เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทำลายความเงียบที่มีในตอนนี้ เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา

ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดอะไร ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาก็เปลี่ยนไป คิ้วก็ขมวดกันแน่น จากนั้นก็กดวางสาย และเหลือบมองมาที่เธออย่างดุดัน หันหลังกลับ ก้าวเท้ายาวๆออกจากร้านเวดดิ้งไป

เชอร์รีนยืนงงกับพฤติกรรมของเขา แต่ก็มองผ่านรอยแยกของประตูห้องลองชุด เธอเห็นหยาดฝนยืนอยู่หน้าร้านเวดดิ้ง

หรือว่า พวกเขามาด้วยกัน เขามาที่นี่ และพาหยาดฝนมาด้วย ช่างน่าหัวเราะเยาะจริงๆ!

ออกัสกับหยาดฝนพูดคุยกันอยู่สักพัก จากนั้นทั้งสองก็จากไป ขึ้นรถสีดำที่จอดอยู่ริมถนน

นี่เขากำลังจะทำอะไรกันแน่ ?

เชอร์รีนกัดฟันกร่อนด้วยความโกรธ แล้วมองดูชุดแต่งงานที่ฉีกขาดบนตัว เธออยากจะกัดเขาให้ตายซะตรงนี้ !

ในตอนนี้เอง องค์ชายก็ถูกเข็นลงมา เรียกเธอเสียงเบาที่หน้าประตู “เชอร์รีน”

“ว่ายังไงคะ?”

“คุณเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน ออกมาแล้วค่อยคุยกัน”

ขมวดคิ้ว หลังจากที่เชอร์รีนเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เดินออกจากห้องลอง และมองไปที่องค์ชาย“มีอะไรหรือเปล่า ?”

พนักงานยืนอยู่ข้างๆองค์ชาย และพูดว่า “ขอโทษนะคะ ชุดแต่งงานและชุดสูทของเราขายให้คุณทั้งสองไม่ได้แล้วค่ะ ต้องขออภัยด้วย”

“จ่ายเงินเหมือนกัน ทำไมคนอื่นซื้อได้ แล้วทำไมถึงไม่ขายให้เราล่ะคะ ?”เชอร์รีนมองดูพนักงานด้วยความโกรธแต่ก็ยังใจเย็น

“ผู้จัดการเพิ่งแจ้งมาเมื่อครู่ เราเป็นแค่พนักงาน ต้องขอโทษด้วยนะคะ”

เมื่อครุ่นคิด ภาพของชายหนุ่มที่ดื้อรั้นก็ผุดขึ้นมา เธอก็เข้าใจได้ในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น!

เป็นเขา บ้าไปแล้วจริงๆ!

“ไม่ขายก็ไม่ขาย เมืองทะเลหทัยไม่ได้มีร้านเวดดิ้งร้านเดียว เราไปกันเถอะ……”

องค์ชายพยักหน้ารับ หยิบกระเป๋าที่วางอยู่บนโซฟา เชอร์รีนจูงมือซาราง แล้วเดินออกจากร้านเวดดิ้งไป

เดินไปได้เพียงสองก้าว ก็ถูกพนักงานเรียกเอาไว้ หยิบชุดแต่งงานที่ฉีกขาดมาตรงหน้าเธอ “คุณผู้หญิง ค่าชุดแต่งงานนี้คุณยังไม่ได้ชำระนะคะ?”

เมื่อได้ยินดังนั้น เปลวไฟแห่งความโกรธของเชอร์รีนก็ปะทุขึ้น พูดไปตรงๆว่า“ ฉันไม่ได้เป็นคนฉีกชุดแต่งงานนี้”

“เมื่อครู่คนที่ลองชุดแต่งงานนี้มีแค่คุณเชอร์รีน ไม่มีลูกค้าคนไหนได้ลอง และห้องลองของเราก็มีแค่คุณเชอร์รีนคนเดียวที่ใช้ คุณเชอร์รีนไม่ได้ทำ แล้วใครเป็นคนทำล่ะคะ ?”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เชอร์รีนรู้แค่แน่นหน้าอกไปหมด ตลกสิ้นดี ห้องลองชุดมีเธอคนเดียวที่ใช้ แล้วออกัสเข้าไปได้ยังไง ?

แต่ว่า ต่อหน้าขององค์ชาย เธอย่อมพูดมันไปแบบนั้นไม่ได้ และแก้ต่างอะไรไม่ได้ มิฉะนั้น……

“ชุดแต่งงานสงสัยว่าฉันคงไปเกี่ยวเข้ากับอะไร เท่าไรค่ะ ฉันชดใช้ให้” เชอร์รีนไม่ได้โต้แย้งอะไรกับเธออีก เอ่ยถามออกไป

เมื่อเดินออกจากร้านเวดดิ้ง สายตาที่มีคำถามของเชอร์รีนหันมองมาที่องค์ชาย “ตอนนี้ เราจะไปร้านอื่นกันไหม?”

“ได้”องค์ชายตอบ

พวกเขาตระเวนไปร้านเวดดิ้งทั่วเมืองทะเลหทัย แต่ไม่มีร้านไหนขายชุดแต่งงานให้พวกเขาเลย

ใช้หัวแม่เท้าคิดก็คิดได้ว่าเป็นฝีมือของใคร เชอร์รีนรู้สึกความโกรธอัดแน่นอยู่ในอก ทำอะไรกับมันไม่ได้

เธอไม่คิดมาก่อนว่า คนอย่างออกัสก็จะกินรวบในเมืองทะเลหทัยด้วย แต่ว่า เขาไม่คิดเลยเหรอว่าการกระทำแบบนี้มีแค่เด็กน้อยเท่านั้นที่ทำกัน ?

และ ในขณะเดียวกัน ในใจก็มีความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก ราวกับจนใจ และราวกับ……

“ดูแล้วคงทำอะไรที่เมืองทะเลหทัยไม่ได้แล้ว ในเมื่องานแต่งของเราก็ไม่ได้จะจัดที่เมืองทะเลหทัย ชุดแต่งงานกลับไปที่เมืองsแล้วเราค่อยไปจองกันก็ได้” หญิงสาวพูดขึ้น

ดวงตาขององค์ชายมืดมนเล็กน้อย ความคิดก็ฟุ้งซ่านขึ้นมา เขาไม่ได้โง่ ร้านเวดดิ้งไม่มีทางที่จะไม่ขายชุดแต่งงาน มันย่อมต้องมีสาเหตุ และสาเหตุก็เป็นเพราะออกัส……

เพียงแต่ว่า เขาไม่คิดที่จะปล่อยมือจากเธอ ช่วงนี้ชีวิตเขามีความสุขมาก ความใฝ่ฝันของเขาก็คือการได้ใช้ชีวิตที่เรียบง่ายแบบนี้ เขาอยากจะให้ความสุขและความสงบอยู่แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ

“กลับเมืองsกันเถอะ ”เขาก็มีความคิดแบบนี้เหมือนกัน

ทั้งสองมีความเห็นตรงกัน เชอร์รีนไปจองตั๋วเครื่องบิน วางแผนจะกลับเมืองS ในวันถัดไป รายละเอียดที่เหลือกลับไปแล้วค่อยว่ากัน

อีกฟากหนึ่ง

ที่สนามบิน

ออกัสยืนอยู่ที่สนามบินที่ซึ่งมีผู้คนไปมาขวักไขว่ หยิบโทรศัพท์มือถือ กำลังคุยกับปลายสาย

ผ่านไปสักพัก เขาก็วางสาย สีหน้าเคร่งเครียด ตั๋วเครื่องบินที่เร็วที่สุดที่จะบินไปยังเมืองบีเจถือไว้อยู่ในมือ ตอนนี้รอแค่เวลาขึ้นเครื่องเท่านั้น

หลังจากที่กลับมาจากสหรัฐอเมริกา ร่างกายของหัวหน้ามัทนาก็อ่อนแอมาโดยตลอด แต่ก็ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ไม่คิดว่า จู่ๆเธอก็เป็นลมหมดสติ นี่แสดงให้เห็นว่า ร่างกายของเธออ่อนแออย่างถึงที่สุดแล้ว

ในมือของหยาดฝนก็มีตั๋วเครื่องบินด้วยเช่นกัน สีหน้าดูเป็นกังวล และเอาแต่มองดูนาฬิกาบนข้อมืออยู่ตลอดเวลา

จากนั้น เสียงประกาศตามสายก็ดังขึ้น ทั้งสองคนก็ไปเช็กอิน สามชั่วโมงต่อมาเครื่องบินก็ลงจอดที่เมืองบีเจ ไม่ได้ไปที่รับรองทหาร แต่ไปที่โรงพยาบาลแทน

ไฟในห้องผ่าตัดยังคงสว่างอยู่ ไกรวิทย์นั่งอยู่ที่เก้าอี้ตรงทางเดิน ไม่เจอกันแค่ช่วงสั้นๆ เขาดูแก่ลงไปมาก

“ออกัส มาแล้วเหรอ”เมื่อได้ยินเสียงเท้า เขาก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แล้วเอ่ยถาม

“คุณตา เกิดอะไรขึ้นครับ?”สีหน้าที่เคร่งเครียดของออกัสยังคงไม่เปลี่ยน ตัวเกร็งไปหมด

“ฉันไปซูเปอร์มาร์เก็ตมา คนใช้กำลังทำอาหารเย็น ยายแกลื่นล้มกับพื้น”ระหว่างที่พูด สีหน้าของไกรวิทย์ก็เต็มไปด้วยการกล่าวโทษตัวเอง

มองไปยังไฟในห้องผ่าตัดที่ยังสว่างอยู่ ขาที่เรียวยาวของออกัสก็ขยับเคลื่อนไหว เดินไปยังมุมห้อง กดโทรออกไปหาสุนันท์ “แม่ครับ คุณยายเป็นลมหมดสติ แม่นั่งเที่ยวบินที่เร็วที่สุดมาที่เมืองบีเจนะ”

“ได้ แม่รู้แล้ว”สุนันท์ตอบกลับสั้นๆ

หลังจากนั้น ออกัสก็กดโทรไปหาสิงหา ตอนแรกไม่มีคนรับสาย ผ่านไปสักพัก ก็จึงรับสาย“ออกัส”

“พ่อ คุณยายเป็นลมหมดสติ ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาลในเมืองบีเจ”

สิงหายังคงลำบากใจเล็กน้อย“อำเภอซีซ่าตอนนี้กำลังซ่อมแซม ฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ ค่อนข้างยุ่งปลีกตัวไม่ได้จริงๆ รออีกสองวันแล้วฉันค่อยไปที่เมืองบีเจนะ”

“ไม่ได้ ต้องมาเดี๋ยวนี้ ผมไม่สนว่าที่อำเภอซีซ่างานจะยุ่งมากแค่ไหน ”น้ำเสียงเย็นชาและแกมบังคับ พูดจบ ออกัสก็กดวางสายในทันที