ตอนที่ 148 ขอโทษ

พ่ายรักวิวาห์ลวง

“ประธานเวิน? คุณคือใคร ฉีฉีเป็นอะไร!” เสียงในสายฟังดูคุ้นๆ อยู่บ้าง ฮั่วฉินเยี่ยนจึงเอ่ยถามอย่างร้อนใจ

 

 

“ฉันคือเสี่ยวมั่ว เลขาของประธานเวิน ตอนนี้ประธานเวินกำลังถูกนำตัวไปปฐมพยาบาลที่โรง’ บาล เพราะอาหารเป็นพิษค่ะ คุณหมอบอกว่าสถานการณ์อันตรายมาก ประธานฮั่วคุณรีบมาดูเถอะ!” เสี่ยวมั่วพูดด้วยเสียงสั่นเครืออยู่บ้าง

 

 

“ได้ ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้ อยู่โรง’ บาลไหน” ทันทีที่ฮั่วฉินเยี่ยนได้ยินว่าเกิดเรื่องกับเวินหลานฉี ก็กระวนกระวายใจ

 

 

“โรง’ บาลเมืองหลวงค่ะ ตอนนี้เราใกล้จะถึงแล้ว!” เสียงตอบของเสี่ยวมั่วเจือแววสะอึกสะอื้นอย่างเห็นได้ชัด

 

 

ทันทีที่วางสาย ฮั่วฉินเยี่ยนก็พุ่งตัวออกจากบริษัททันที ขึ้นรถแล้วขับฝ่าไฟแดงต่อเนื่องกันไปหลายแยก จนสุดท้ายก็มาถึงโรงพยาบาลเมืองหลวง

 

 

พอได้ยินว่าเกิดเรื่องกับเวินหลานฉี ฮั่วฉินเยี่ยนยังจะมีกะจิตกะใจที่ไหนไปประชุมต่อ ถ้าเวินหลานฉีมีอันเป็นไปขึ้นมา แล้วมรดกและอำนาจมากมายขนาดนั้นจะมีประโยชน์อะไร เธอต้องไม่เป็นอะไร! ครั้งก่อนเขาเกือบจะเสียเธอไปแล้ว ครั้งนี้ยังจะเป็นแบบนี้อีก ฮั่วฉินเยี่ยนเกินจะรับไหวแล้วจริงๆ ตอนเขารีบมาถึงโรงพยาบาล เวินหลานฉีก็ถูกเข็นเข้าไปล้างท้องในห้องผ่าตัดแล้ว

 

 

“ตกลงเรื่องมันเป็นยังไง ฉีฉีอาหารเป็นพิษได้ยังไง” ฮั่วฉินเยี่ยนถามอย่างใจเย็น

 

 

“ประธานเวิน…ให้…ให้ฉันไปชงกาแฟให้ พอฉัน…เพิ่งยกกาแฟเข้าไปเสิร์ฟ ประธาน…ประธานเวินจิบไปได้คำหนึ่ง จาก…จากนั้น…จากนั้นก็ล้มลงไป…” เสี่ยวมั่วสะอึกสะอื้นหนักขึ้น เธอคิดว่ากาแฟแก้วนั้นของตนทำให้เวินหลานฉีเป็นอันตราย ในใจกำลังโทษตัวเองอย่างยิ่ง

 

 

“เสี่ยวมั่ว กาแฟแก้วนั้นคุณชงมันยังไง” ฮั่วฉินเยี่ยนคิดว่าเรื่องนี้ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น จึงซักไซ้ไล่เลียง

 

 

“ฉันไม่ได้เป็นคนชงกา…กาแฟ เป็นพนักงานมาใหม่…ตอนนั้นฉันมีงานพอดี เขา…เขาบอกว่าเขาจะช่วยฉันชง…” เสี่ยวมั่วตอบ

 

 

“มาใหม่?” ฮั่วฉินเยี่ยนขมวดคิ้ว เขาเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง

 

 

“ใช่ค่ะ แผนกบุคคลเพิ่งรับสมัครเข้ามาใหม่คนหนึ่ง เพราะพนักงานคนเดิมลาคลอดพอดี เลยรับเข้ามาแทนเธอชั่วคราวคนหนึ่ง”

 

 

“ส่งข้อมูลของเขามาให้ผม แล้วก็ติดต่อ 110 ให้ตรวจสอบกาแฟแก้วนั้นด้วย” ฮั่วฉินเยี่ยนพูดกับเสี่ยวมั่ว

 

 

ดูเหมือนเขาจะรู้แล้วว่าเป็นใคร ผู้หญิงคนนั้น เรื่องครั้งก่อนตนยังไม่ได้ไปหาเธอเลย นึกไม่ถึงว่าเธอจะทนไม่ไหวขนาดนี้ ถึงได้แจ้นมาถึงที่เร็วขนาดนี้อีกครั้ง และครั้งนี้เขาจะไม่ยอมให้เธอวิ่งหนีไปได้ง่ายๆ ขนาดนั้นอีกเด็ดขาด!

 

 

ติ๊ด ไฟสีแดงของห้องผ่าตัดเปลี่ยนเป็นสีเขียว คุณหมอสวมชุดผ่าตัดหลายคนเดินออกมา และถอดหน้ากากอนามัยออก

 

 

“หมอ! ภรรยาของผมเธอเป็นยังไงบ้าง” ฮั่วฉินเยี่ยนเข้าไปถามอย่างรีบร้อน

 

 

“คุณผู้หญิงข้างในคนนั้นพ้นขีดอันตรายแล้วครับ โชคดีปริมาณสารพิษที่ดูดซึมเข้าไปไม่มาก และส่งมาโรงพยาบาลได้ค่อนข้างทันเวลา ไม่อย่างนั้น…ผมไม่อยากจะพูดถึง” คุณหมอตรงหน้าถอนหายใจอย่างโล่งอก

 

 

หลังจากนั้นพยาบาลหลายคนก็เดินออกมา พร้อมกับเข็นเตียงคนไข้ของเวินหลานฉีออกมาด้วย ฮั่วฉินเยี่ยนจึงถลาเข้าไป ด้วยอยากเห็นว่าเวินหลานฉีเป็นอย่างไรบ้าง

 

 

“คุณพยาบาล? ทำไมเธอยังไม่ฟื้นขึ้นมาล่ะ” ฮั่วฉินเยี่ยนเห็นว่าเวินหลานฉียังคงหลับตาอยู่อย่างนั้น จึงถามอย่างกระวนกระวาย

 

 

“เพราะฉีดยาชาเข้าไปค่ะ เลยอาจจะยังต้องรอให้ผ่านไปสักพัก คุณวางใจเถอะ เธอไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ พักที่โรงพยาบาล เพื่อดูอาการอีกสักสองสามวันก็ดีขึ้นแล้ว” พยาบาลใกล้เขาที่สุดคนหนึ่งพูด

 

 

คนอื่นรอบข้างต่างมองอย่างตะลึง คนคนนี้ใช่ประธานฮั่วที่พวกเขารู้จักหรือเปล่า ฮั่วฉินเยี่ยนที่พวกเขารู้จักนั้นออกจะเป็นคนเย็นชาไร้อารมณ์ ไม่ว่าเจอเรื่องอะไรก็ไม่สะทกสะท้านไม่ใส่ใจ เคยเห็นเขาลุกลี้ลุกลนอย่างนี้เพราะบางอย่างเสียเมื่อไหร่

 

 

ดูท่าข่าวลือเรื่องสงครามเย็นระหว่างประธานเวินกับประธานฮั่วเหล่านั้นคงจะเป็นของปลอมทั้งนั้น ถ้าเป็นสงครามเย็นจริง ประธานฮั่วจะร้อนใจขนาดนี้เหรอ หลังจากทุกคนได้ยินข่าวคราวว่าเวินหลานฉีไม่เป็นอะไรแล้ว ก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

 

 

“ที่นี่เดี๋ยวผมจัดการเอง พวกคุณกลับไปเถอะ แล้วก็เรื่องของประธานเวินไม่ต้องบอกใครแล้วนะ” ฮั่วฉินเยี่ยนหันหลังกลับไปพูดกับทุกคน

 

 

ภายในห้องพักผู้ป่วย เวินหลานฉีค่อยๆ ลืมตาทั้งสองขึ้น แสงแดดอันอบอุ่นส่องจากหน้าต่างเข้ามา จนทั้งห้องสว่างขึ้นมา เวินหลานฉีจำได้แค่ว่าตนเหมือนจะโดนหามส่งโรงพยาบาล ส่วนเรื่องหลังจากนั้นเธอจำไม่ได้เลย

 

 

หันมองข้างกายเห็นฮั่วฉินเยี่ยนกำลังนั่งอยู่ข้างเตียง ก้มหน้าก้มตาไม่รู้กำลังคิดเรื่องอะไรอยู่

 

 

“อา…อาเยี่ยน…” เสียงของเวินหลานฉียังคงอ่อนเพลียอยู่มาก เธอเรียกเขาเบาๆ

 

 

“ฉีฉี? คุณฟื้นแล้วเหรอ เป็นไงบ้าง ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า” ฮั่วฉินเยี่ยนเห็นเวินหลานฉีลืมตาขึ้น จึงกระวีกระวาดเอ่ยถาม

 

 

เวินหลานฉีส่ายหัว “อาเยี่ยน…นี่ฉัน…เป็นอะไร” เวินหลานฉีถาม

 

 

“เมื่อเช้าหลังจากคุณดื่มกาแฟเข้าไป แล้วเกิดอาหารเป็นพิษ พวกเสี่ยวมั่วเลยส่งคุณมาโรงพยาบาล ตั้งแต่ผ่าตัดเสร็จจนถึงตอนนี้คุณก็เพิ่งจะตื่นขึ้นมา” ฮั่วฉินเยี่ยนพูดอธิบาย

 

 

“คุณ…คุณอยู่ที่นี่ได้ยังไง…” เวินหลานฉีเบือนหน้าหนีไม่มองฮั่วฉินเยี่ยน

 

 

ฮั่วฉินเยี่ยนเข้าใจว่าเวินหลานฉีหมายความว่าอะไร เธอยังคงตำหนิท่าทีเมินเฉยของเขาที่มีต่อเธอหลายวันก่อนหน้านี้อยู่

 

 

“ฉีฉีผมผิดเอง ผมไม่น่า…ผมไม่น่าคิดหยุมหยิมใจแคบกับคุณขนาดนั้น ไม่น่าทะเลาะกับคุณ และไม่น่าใช้น้ำเสียงแบบนั้นคุยกับคุณ…ฉีฉี ผมขอโทษ…” ฮั่วฉินเยี่ยนก้มหน้าพูดพลางกุมมือเวินหลานฉี

 

 

เวินหลานฉีตื่นตะลึงอยู่บ้าง เธอนึกไม่ถึงว่าฮั่วฉินเยี่ยนจะขอโทษเธอจริงๆ คนหยิ่งยโสอย่างเขา เธอแทบจะไม่เคยเห็นเขาพูดขอโทษใครอย่างจริงจังมาก่อน ภายในใจเวินหลานฉีรู้สึกสะเทือนใจแปลกๆ อยู่บ้าง

 

 

“อืม…” เวินหลานฉีพึมพำเสียงเบา

 

 

ฮั่วฉินเยี่ยนสัมผัสได้ว่ามือของตนที่กุมมือของเวินหลานฉีอยู่นั้น ถูกเธอกระชับแน่นขึ้น จึงหัวเราะเบาๆ

 

 

โทรศัพท์ของฮั่วฉินเยี่ยนดังขึ้น เขาก้มหน้ามอง แล้วเผยรอยยิ้มอย่างไม่อาจคาดเดา

 

 

“ฉีฉี ผมออกไปทำธุระก่อนนะ เย็นหน่อยผมจะเข้ามาเยี่ยมคุณใหม่ ผมเรียกเฉียวมู่ให้มาอยู่เป็นเพื่อนคุณแล้ว เธอน่าจะกำลังมาถึงแล้วล่ะ คุณก็เป็นเด็กดี อย่าซนนะ” ทันทีที่ฮั่วฉินเยี่ยนพูดจบ ประตูห้องก็มีเสียงร่าเริงดังขึ้นมา

 

 

“ต้าฉี! เธอเป็นไงบ้าง ได้ยินว่าเธออาหารเป็นพิษ ทำฉันตกใจจริงๆ! พอเห็นว่าเธอไม่เป็นไร ฉันค่อยสบายใจขึ้นหน่อย” ทันทีที่เฉียวมู่เดินเข้ามา ก็โผเข้าหาเตียงของเวินหลานฉีพลางพูดจ้อกแจ้กจอแจ

 

 

ฮั่วฉินเยี่ยนจ้องเธอเขม็ง “คุณอย่าเสียงดัง ฉีฉีกำลังพักผ่อนอยู่”

 

 

“ฉีฉี งั้นผมไปก่อนนะ” ฮั่วฉินเยี่ยนพูดกับเวินหลานฉีด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

 

 

เวินหลานฉีพยักหน้า

 

 

“เฮ้อ…นี่สินะความแตกต่าง ดุกับฉันขนาดนี้ แต่กับภรรยาตัวเองกลับอ่อนโยนเหลือเกิน…” ฮั่วฉินเยี่ยนเพิ่งจะเดินออกไป เฉียวมู่ก็เริ่มค่อนแขวะ

 

 

ฮั่วฉินเยี่ยนขับรถออกจากเขตเมือง ไปหยุดหน้าบ้านชั้นเดียวหลังหนึ่งแถบชานเมือง

 

 

ในบ้านชั้นเดียวมีผู้หญิงคนหนึ่ง ถูกมัดอยู่ทั้งร่างกายเปลือยเปล่า ไม่ผิดหรอก ผู้หญิงคนนี้คือเหยียนน่า

 

 

เหยียนน่ามองฮั่วฉินเยี่ยนเดินเข้ามาอย่างหวาดกลัว ตอนแรกยังแอบดีใจกับความสำเร็จของแผนการครั้งนี้อยู่เลย ทว่านึกไม่ถึงว่าผ่านไปไม่นาน เธอจะถูกโปะยาสลบแล้วพากลับมาจากบาร์ พอตื่นขึ้นมาก็ถูกใครบางคนถอดเสื้อผ้า แล้วมัดเอาไว้ที่นี่

 

 

เธอนึกไม่ถึงว่าฮั่วฉินเยี่ยนจะหาเธอเจอเร็วขนาดนี้ เหยียนน่าเบิกตาโพลง สายตาเต็มไปด้วยความหวาดผวา

 

 

“เหยียนน่า คุณคิดว่าผมฮั่วฉินเยี่ยนเป็นคนโง่จริงๆ เหรอ คิดว่าผมไม่รู้ว่าคุณเป็นคนก่อเรื่องครั้งนี้หรือไง ครั้งก่อนคุณบังเอิญโชคดีหนีรอดไปได้ จนหาเบาะแสไม่เจอ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผมจะจับคุณไม่ได้ตลอดไปหรอกนะ ครั้งนี้ยังคงตกอยู่ในกำมือผมสินะ” ฮั่วฉินเยี่ยนพูดยิ้มๆ

 

 

“ตอนแรกที่ปล่อยคุณไป เพราะเห็นแก่ว่าคุณไม่ได้ทำเรื่องร้ายแรงอะไร แต่ตอนนี้คุณกลับมาทำร้ายเวินหลานฉีซ้ำแล้วซ้ำอีก ผมไม่มีทางนั่งมองโดยไม่สนใจได้อีกต่อไปจริงๆ คุณว่าไงล่ะ จริงไหม” ฮั่วฉินเยี่ยนพูดต่อ

 

 

เหยียนน่าพยายามดิ้นรนอย่างสุดชีวิต แต่ช่วยไม่ได้เมื่อร่างกายถูกมัดอยู่ แม้แต่ปากยังถูกปิดไว้ เธอได้แต่มองฮั่วฉินเยี่ยนล้วงปืนออกมา และจบชีวิตอันแสนสั้นของเธอ

 

 

ฮั่วฉินเยี่ยนหมุนกายเดินออกจากบ้านชั้นเดียว เขาพยักหน้ากับเฉิงหมิงและซั่งกวนเชียนผู้ยืนรออยู่หน้าบ้าน แล้วขับรถจากไปทันที

 

 

โดยพวกเขาไม่ได้สังเกตเงาของคนคนหนึ่งหลบอยู่อีกฝั่งหนึ่งของถนน ซึ่งกำลังแอบสอดแนมทุกอย่างนี้อย่างเงียบๆ และคนคนนั้นก็คือฮั่วจวิน

 

 

ฮั่วจวินเห็นเหยียนน่าโดนฮั่วฉินเยี่ยนจัดการ ภายในใจของเขาแอบเย้ยหยันความโง่เขลาของเหยียนน่าเงียบๆ ขณะเดียวกันก็แอบคิดในใจ ว่าจะดูถูกฮั่วฉินเยี่ยนไม่ได้เลย นึกไม่ถึงว่าจะหาตัวเหยียนน่าเจอได้เร็วขนาดนี้ ดูท่าเขาคงมีสายแฝงตัวอยู่ในชานเมืองด้วยเหมือนกัน

 

 

ฮั่วฉินเยี่ยนกลับมาถึงโรงพยาบาล ทันทีที่เพิ่งจะเดินเข้าไปในห้องพักผู้ป่วย เขาก็เห็นเฉียวมู่ จิ่งหลานและเวินหลานฉีทั้งพูดคุย และหัวเราะกัน แต่เมื่อเห็นจิ่งหลานอยู่ที่นี่ด้วย ไฟโทสะนิรนามในใจของฮั่วฉินเยี่ยนก็ถูกจุดติดขึ้นมาอีกครั้ง หากแต่เขายังคงพยายามสงบสติอารมณ์ลง อย่างไรเสียไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ เขาเพิ่งจะขอโทษเวินหลานฉีไปหยกๆ อีกอย่างหลังจากนั้นเขาก็เข้าไปทำความเข้าใจสถานการณ์กับหมอมาแล้ว เขากล่าวโทษเวินหลานฉีด้วยความเข้าใจผิดจริงๆ นั่นแหละ

 

 

แต่จิ่งหลาน…เขายังคงต้องแฝงความระแวดระวังอยู่ เพราะถึงอย่างไรจิ่งหลานก็เคยติดตามเป็นเพื่อนเวินหลานฉี ตอนอยู่ต่างประเทศนานขนาดนั้น และครั้งนี้ยังเข้าไปปกป้องเวินหลานฉีโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย และอันตรายของตัวเองอีก เขาไม่อาจรับประกันได้ว่าจิ่งหลานจะไม่อาจพิชิตใจเวินหลานฉีเข้าสักวัน

 

 

มิหนำซ้ำวันนั้นเขาได้ยินกับหูตัวเอง ว่าจิ่งหลานเคยสารภาพรักกับเวินหลานฉีมาก่อน พอนึกถึงตรงนี้ในใจของฮั่วฉินเยี่ยนก็ไม่สบายใจ หากแต่เวินหลานฉีอยู่ตรงนี้ด้วย เขาจึงยังไม่สามารถแสดงตัวออกไปได้ เขาทำได้เพียงแสร้งทักทายจิ่งหลานด้วยสีหน้าเป็นมิตร

 

 

จิ่งหลานเข้าใจการกระทำภายในใจทุกอย่างของฮั่วฉินเยี่ยนดี เพราะพวกเขาเป็นผู้ชายเหมือนกัน เขาย่อมเข้าใจ ว่าภายในใจของฮั่วฉินยี่ยนกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ อย่าเห็นแก่ว่าเขากับตนแสร้งทำสีหน้าเป็นมิตรขนาดนั้น ใครจะรู้ว่าในใจของเขากำลังคิดอะไรอยู่ล่ะ เหอะ

 

 

ขณะทุกคนกำลังพุดคุยกันอยู่นั้น ประตูห้องพักผู้ป่วยก็มีเสียงอย่างกับแสงอาทิตย์เสียงหนึ่ง ดังขึ้นมาอีกครั้ง “หลานฉี! ผมมาเยี่ยมคุณแล้ว”

 

 

เมื่อได้ยินเสียงของอวิ๋นซี เวินหลานฉีก็หัวเราะอย่างจนปัญญา “ทำไมพวกคุณมาที่นี่กันหมดเลยล่ะ ฉันแค่อาหารเป็นพิษเองนะ”

 

 

ฮั่วฉินเยี่ยนเห็นศัตรูหัวใจของตัวเอง ซึ่งไม่รู้ได้ข่าวคราวมาจากไหนถึงได้รีบแจ้นมา ในใจก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ เขานั่งเสียดายอยู่อีกฝั่ง ว่าทำไมตอนแรกตนถึงปล่อยให้เวินหลานฉีจากไปตั้งนานขนาดนั้น และปล่อยให้คนพวกนี้มีโอกาส ไม่อย่างนั้นจะมีเรื่องของพวกเขาได้เสียที่ไหนล่ะ

 

 

เฉียวมู่รู้เพียงว่าตน…ทำตัวไม่ถูกชะมัด ผู้ชายที่ชอบเวินหลานฉีทั้งสามคนอยู่ที่นี่กันหมด แม้จะบอกว่าคนหนึ่งเป็นตัวจริง ส่วนอีกสองคนนั้นเป็นแค่คนธรรมดา…แต่…ทำไมเธอถึงยังรู้สึกว่าบรรยากาศนี้มัน…พิลึกกึกกือขนาดนี้กันนะ…

 

 

“ต้าฉี พรุ่งนี้ฉันค่อยมาเยี่ยมเธอใหม่นะ วันนี้ดึกแล้ว ฉันกลับก่อนนะ!” หลังจากเฉียวมู่ทักทายอย่างรีบๆ ก็เดินออกไปจากห้องพักผู้ป่วยทันที เฉียวมู่สูดอากาศสดชื่นข้างนอก แล้วอุทานอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ ทำไมข้างกายเวินหลานฉีถึงมีหนุ่มหล่อขนาดนี้ตลอดเลยนะ…