ตอนที่ 149 ผู้หญิงเสียสติคนนั้น

พ่ายรักวิวาห์ลวง

เฉียวมู่เดินไปแล้ว ภายในห้องพักผู้ป่วยจึงเหลือเพียงชายหนุ่มทั้งสามคนกับเวินหลานฉี ได้แต่มองกันไปมา ตอนแรกอวิ๋นซีอยากจะพูดอะไรมากกว่านี้อีกหน่อย แต่เมื่อเห็นสีหน้าไม่พอใจของฮั่วฉินเยี่ยน ดูเหมือนว่าบรรยากาศวันนี้คงไม่เหมาะจะพูดอะไรบางอย่างสักเท่าไร จึงบอกลาอย่างรู้จักวางตัว

 

 

“ฉี…งั้นคุณพักผ่อนให้เต็มที่เถอะ ผมกลับห้องพักผู้ป่วยก่อนนะ” เมื่อเห็นว่าทุกคนต่างแยกย้ายกันออกไป จิ่งหลานเองก็พูดกับเวินหลานฉีบ้าง

 

 

“งั้นผมไปส่งคุณแล้วกัน” ทันใดนั้นฮั่วฉินเยี่ยนก็ยืนขึ้น และพูดกับจิ่งหลาน

 

 

“ได้” ทำไมจิ่งหลานจะไม่รู้ว่าฮั่วฉินเยี่ยนต้องการอะไรกันแน่ เขายังทำเป็นใจดีมาส่งตนกลับน่ะเหรอ ไม่ใช่คิดว่าตนกับเวินหลานฉีแตะเนื้อต้องตัวกันมากเกินไป เลยอยากจะมาคุยกับเขาหรือไง

 

 

เวินหลานฉีมองทั้งสองคน แม้เธอจะรู้สึกลังเลอยู่บ้าง แต่ทว่าก็ไม่ได้พูดอะไร

 

 

“งั้นนายก็ระวังแผลด้วยนะ พักผ่อนเยอะๆ” เวินหลานฉีพูดกับจิ่งหลาน

 

 

ฮั่วฉินเยี่ยนเข็นวีลแชร์จิ่งหลานออกจากห้อง พวกเขาไม่ได้พูดอะไรกันเลยตลอดทาง จวบจนกระทั่งถึงห้องพักผู้ป่วยของจิ่งหลาน

 

 

พอมาถึงห้อง ฮั่วฉินเยี่ยนก็นั่งลงข้างเตียง ส่วนจิ่งหลานนั่งอยู่บนวีลแชร์ ทั้งสองมองหน้ากันโดยไม่พูดอะไร จนสุดท้ายฮั่วฉินเยี่ยนก็เป็นฝ่ายเอ่ยปาก

 

 

“คุณกับผมต่างก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน บางอย่างผมคงไม่ต้องปิดบังคุณหรอก ว่ามาเถอะ คุณคิดยังไง” ฮั่วฉินเยี่ยนเอ่ยปากอย่างเย็นชา แสงไฟสลัวส่องกระทบใบหน้าด้านข้างของเขา สะท้อนให้เห็นเค้าโครงอวัยวะบนใบหน้าอย่างชัดเจน

 

 

“อะไรคือผมคิดยังไง ผมยังคิดยังไงได้ด้วยเหรอ” จิ่งหลานหรี่ตา ขมวดคิ้วพลางพูดอย่างจนปัญญา

 

 

“คุณอย่าคิดว่าผมไม่รู้นะ ว่าคุณคิดอะไรกับฉีฉี คิดว่าเธอไม่เข้าใจแล้วผมจะไม่เข้าใจเหรอ” ฮั่วฉินเยี่ยนเลิกคิ้ว และจ้องจิ่งหลานเขม็ง

 

 

“เธอเป็นของคุณแล้ว ต่อให้ผมไม่เต็มใจแค่ไหนแล้วยังจะทำอะไรได้ กลับกันถ้าเป็นคุณ ตอนนั้นคุณทำร้ายเธอ ทำให้เธอจากไป แล้วตอนนี้เธอกลับมาแล้ว คุณกลับไม่รักษาให้ดีงั้นเหรอ ฮั่วฉินเยี่ยนคุณยังจะกล้าพูดอีกเหรอ ว่าคุณรักเธอจริง” จิ่งหลานหันกลับมามองฮั่วฉินเยี่ยนและพูด ด้วยน้ำเสียงเย็นชาอย่างกับไม่มีอุณหภูมิเลยแม้แต่น้อย ท่าทีที่เขาปฏิบัติต่อเวินหลานฉีในอดีตกับตอนนี้นั้นแตกต่างกัน ราวกับเป็นคนละคนโดยสิ้นเชิง

 

 

“ผมเนี่ยนะไม่รักเธอจริง? งั้นคุณคิดว่าใครรักเธอจริงล่ะ อวิ๋นซี? หรือคุณเอง?” ฮั่วฉินเยี่ยนหัวเราะเบาๆ ครั้งหนึ่ง

 

 

“ตกลงว่าคุณอยากพูดอะไรกับผมกันแน่ แต่พูดไปก็ไม่เป็นไรหรอก” จิ่งหลานไม่อยากจะกวนฮั่วฉินเยี่ยนไปมากกว่านี้แล้วจริงๆ เขาแค่อยากจบการเจรจานี้ให้เร็วที่สุดจะได้พักผ่อนเสียที เพราะเขาเองก็เป็นห่วงร้อนใจมาทั้งวันแล้ว บาดแผลบนร่างกายเขายังไม่หายดี เขายังไม่อยากถ่วงขนาดนี้ละนะ

 

 

“ผมแค่อยากให้คุณอยู่ห่างจากฉีฉีหน่อย ผมจะบอกคุณให้นะ เธอเป็นของผม และเป็นของผมได้แค่คนเดียวเท่านั้น” ฮั่วฉินเยี่ยนยกยิ้มแล้วพูด ใบหน้าเจือรอยยิ้มหยิ่งยโสราวกับผู้ชนะ

 

 

ท่าทีเช่นนี้ทำให้จิ่งหลานไม่สบายใจยิ่งนัก เขาเข้าใจว่าเวินหลานฉีรักฮั่วฉินเยี่ยนมาตั้งแต่ต้นจนจบ เขาเย้าหยอกให้เธอหัวเราะ เขาอยู่เป็นเพื่อนเธอ เขาช่วยเธอก้าวผ่านทุกความยากลำบาก ทว่าก็เทียบไม่ได้กับผู้ชายที่ทำให้เธอร้องไห้คนนี้ ดังนั้นเขาไม่อยากจะชักสีหน้าใส่ฮั่วฉินเยี่ยน

 

 

“ฉีฉีเป็นเพื่อนของผม และตอนนี้ผมก็เป็นผู้ช่วยของเธอ จะคบค้าสมาคมแลกเปลี่ยนกันอย่างเหมาะสมไปทำไม ขอถามหน่อยว่าตรงไหนทำให้ประธานฮั่วไม่ถูกใจเหรอ” จิ่งหลานพูดอย่างไม่แยแส เขาก็ไม่ใช่นักเลงหัวไม้ตามตรอกซอกซอยอะไร เขาเป็นคนมีชาติตระกูล มีเกียรติมีศักดิ์ศรี ทำไมต้องเต็มใจให้ฮั่วฉินเยี่ยนแสดงความคิดเห็นอะไรก็ตามแต่แบบนี้ด้วย

 

 

“เพื่อน? เพื่อนที่ให้คุณเอาชีวิตมาปกป้องเธองั้นเหรอ เพื่อนที่ให้คุณปกป้องเธอรอบด้าน แม้ตัวเองจะได้รับบาดเจ็บงี้เหรอ จิ่งหลานคุณล้อเล่นอะไรกัน”

 

 

ถ้าเขาไม่พูดถึงสิ่งเหล่านี้ก็คงจะดี เพราะพอเขาพูดขึ้นมา จิ่งหลานก็รู้สึกว่าเวินหลานฉีอยู่กับเขาคงไม่มีความสุขเลยแม้แต่น้อย เขาไม่มีทางปกป้องเธอได้อย่างสิ้นเชิง เขามีสิทธิ์อะไรบอกว่ารักเธอ

 

 

จิ่งหลานกำลังจะโต้แย้ง แต่รู้สึกได้ถึงเสียงสั่นของโทรศัพท์ จึงหยิบขึ้นมาดู แล้วยิ้มอย่างเจ็บปวดรวดร้าว

 

 

“ฮั่วฉินเยี่ยน ผมรับปากคุณก็ได้ ว่าจะรักษาระยะห่างกับเวินหลานฉี และจะไม่คิดอะไรกับเธอนอกจากเพื่อน แต่คุณก็ต้องรับปากผมเหมือนกันว่าจะปกป้องเธอให้ดี อย่าให้เธอได้รับอันตราย ไม่อย่างนั้นผมจะแย่งเธอคืนกลับมาจากคุณ” จิ่งหลานพูดอย่างช้าๆ

 

 

“เรื่องพวกนี้ไม่ต้องให้คุณพูดหรอก ผมรู้อยู่แล้ว”

 

 

หลังจากฮั่วฉินเยี่ยนพูดประโยคสุดท้ายจบ ก็หันหลังเดินจากไป แม้เขาจะไม่เข้าใจนัก ว่าทำไมความรู้สึกของจิ่งหลานถึงเปลี่ยนไปเร็วขนาดนี้ เห็นๆ อยู่ว่าเตรียมตัวจะทะเลาะกับเขาเสียด้วยซ้ำ ดูเหมือนว่าอยู่ๆ เขาคงจะเข้าใจแล้วละมั้ง เหอะ จะยังไงก็แล้วแต่เขาแล้วกัน

 

 

หลังจากฮั่วฉินเยี่ยนเดินไป จิ่งหลานก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูข้อความที่เพิ่งส่งเข้ามา ชื่อผู้ติดต่อคนนั้นมีเพียงคำเดียว ‘ฉี’ แต่เนื้อหาของข้อความกลับเป็น “หลาน นี่ก็ดึกแล้ว รีบพักผ่อนเถอะ ฉันยังอยากจะร่วมมือกับนายให้เร็วที่สุดนะ”

 

 

น้ำเสียงของเธอเป็นห่วงเป็นใยชัดๆ แต่ประโยคสุดท้ายนั้นกลับเห็นได้ชัดว่าแข็งทื่อ เสียจนความสัมพันธ์ของเขากับเธอคงเป็นได้แค่เพื่อนที่มีผลประโยชน์ร่วมกันคนหนึ่ง แม้แต่ช่องทางพัฒนาความสัมพันธ์มากกว่านี้ยังไม่เหลือให้เขาเลยแม้แต่น้อย

 

 

คาดว่าเวินหลานฉีคงรู้จุดประสงค์ที่ฮั่วฉินเยี่ยนมาหาจิ่งหลานอยู่แล้ว เธอแค่อยากจะพยายามหาความเป็นไปได้อันน้อยนิด คลี่คลายความขัดแย้งของทั้งสองคน

 

 

ฮั่วฉินเยี่ยนกลับมาถึงห้องพักผู้ป่วยของเวินหลานฉี พอเห็นเวินหลานฉีบนเตียงคนไข้ อารมณ์เย็นชาเมื่อกี้อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย และแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอบอุ่น

 

 

จิ่งหลานนอนอยู่บนเตียงคนไข้ แต่หูกลับมีเนื้อเพลงบรรเลงซ้ำวนไปวนมาดังก้องอยู่นานมาก ‘ก็เพราะว่ารักเธอ ฉันถึงเลือกแสดงบทนี้ออกมา ให้เป็นอย่างที่ต้องการ…’

 

 

ในค่ำคืนอันมืดมิด ไม่มีใครรู้ว่าตื่นมาในรุ่งสางวันต่อมาจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น เฉกเช่นพวกเขาไม่รู้ว่าคลื่นลูกเดิมที่ยังไม่สงบนั้น กลับมีคลื่นลูกใหม่ก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง โดยไม่รู้ว่ามาจากแห่งหนใด

 

 

พวกเขาลืมไปแล้ว ว่ายังมีอีกคนหนึ่งอยู่ในโรงพยาบาลแห่งนี้เช่นกัน…

 

 

ภายในโรงพยาบาลยามเช้าตรู่ มีครอบครัวผู้มาอยู่เป็นเพื่อนคนไข้เดินเล่นกันมากมาย ในสวนดอกไม้เองก็มีคุณแม่คนหนึ่ง มาอยู่เป็นเพื่อนลูกสาวเสียสติของตน และเดินเล่นอยู่อย่างเงียบๆ

 

 

“คุณแม่~ แม่ว่าหนูเป็นแบบนี้เขาจะชอบหนูมากกว่าเดิมไหมคะ หลายวันขนาดนี้แล้วทำไมเขาไม่มาหาหนูเลย…แม่ เขาไม่รักหนูแล้วเหรอ” หลินฉิงหยิบดอกไม้ช่อหนึ่งทัดผม แล้วเบิกตาโตถาม

 

 

“จะเป็นไปได้ไงล่ะ ช่วงนี้คู่หมั้นของลูกออกไปทำงานต่างจังหวัดไง เขาไม่ได้อยู่ที่นี่ เดี๋ยวเขากลับมาก็มาหาหนูแล้ว” หญิงสาววัยกลางคนข้างๆ พูดด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า

 

 

เธอได้แต่โกหกลูกสาวของตนด้วยวิธีนี้ ฮั่วฉินเยี่ยนตระกูลใหญ่ กิจการใหญ่โต ไม่ใช่ผู้ที่สกุลหลินเล็กๆ อย่างเขาจะต่อกรได้เลย ยิ่งไปกว่านั้นที่ลูกสาวของตนเป็นเช่นนี้ ก็เพราะอาภัพที่ตัวเองก่อขึ้นมาเองละนะ…

 

 

ทันใดนั้นดวงตาของคุณแม่หลินฉิงก็เบิกโตกลมดิก นัยน์ตาเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง เพราะเธอเห็นฮั่วฉินเยี่ยน ซึ่งตนพูดว่ากำลัง ‘ไปทำงานต่างจังหวัด’ ปรากฏตัวไม่ไกลจากตรงหน้าของเธอ… ในมือของฮั่วฉินเยี่ยนนั้นถืออาหารเช้าสองชุด และกำลังเดินไปทางหอพักผู้ป่วยในโรงพยาบาล

 

 

เธอรีบเข้ามาบังสายตาของหลินฉิง ด้วยกลัวว่าหลินฉิงจะเห็นฮั่วฉินเยี่ยนเข้า แล้วก่อความวุ่นวายขึ้นมาอีก นิสัยลูกสาวคนนี้ของเธอตอนนี้เป็นสิ่งที่เธอไม่อาจคาดเดาได้ เธอกลัวว่าหลินฉิงจะก่อเรื่องอะไรนอกกรอบขึ้นมา

 

 

คุณแม่หลินฉิงใช้ชีวิตตลอดทั้งวันด้วยอารามตื่นตระหนกเช่นนี้ เธอคิดว่าฮั่วฉินเยี่ยนอาจจะมาเยี่ยมญาติละมั้ง คงไม่น่าจะบังเอิญขนาดให้หลินฉิงบังเอิญเจออย่างพอดิบพอดีหรอก พอคิดถึงตรงนี้ เธอจึงถอนหายใจโล่งอกอย่างเงียบ

 

 

ซึ่งเธอไม่รู้ว่าบางอย่างเป็นความบังเอิญที่ถูกลิขิตไว้แล้ว ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้ และเธอก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงลูกสาวของเธอได้ จนในที่สุดก็ทำลายชะตากรรมของตัวเอง

 

 

เธอพาหลินฉิงเดินไปหน้าลิฟต์ชั้นสาม ทันใดนั้นหลินฉิงก็ตะโกนขึ้นมา

 

 

“แม่! หนูไม่ได้หยิบดอกไม้มา! หนูต้องลงไปหยิบดอกไม้ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวตอนฮั่วฉินเยี่ยนมาเยี่ยมหนู หนูจะไม่สวย!” หลังจากหลินฉิงพูดจบ เธอก็เตรียมจะพุ่งตัวลงตึกไป

 

 

คุณแม่หลินฉิงคว้าตัวเธอไว้ “ฉิงฉิง หนูรอแม่อยู่ที่นี่นะ เดี๋ยวแม่จะไปหยิบดอกไม้มาให้หนูนะ”

 

 

หลินฉิงพยักหน้า

 

 

หลินฉิงรอคุณแม่อยู่หน้าลิฟต์สักพักก็ยังไม่เห็นแม่มา เธอจึงเดินตรงไปยังชั้นสาม แต่เธอจำห้องของตัวเองไม่ได้ว่าอยู่ห้องไหน จึงได้แต่เดินหาไปเรื่อยๆ

 

 

หลินฉิงเดินไปข้างหน้าเชื่องช้าอย่างไร้จุดหมายเช่นนี้ เธอไล่ดูตามช่องหน้าต่างทุกห้อง ด้วยอยากลองดูว่าตนจะหาห้องของตัวเองเจอไหม

 

 

เธอเห็นภายในช่องหน้าต่างห้องหนึ่ง มีชายคนหนึ่งกำลังป้อนโจ๊กให้ผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ อยู่ๆ ในใจเธอก็เกิดอิจฉาขึ้นมาอย่างรุนแรง เธอหวังเป็นอย่างยิ่งว่าฉินเยี่ยนจะกลับมาเร็วหน่อย และปฏิบัติต่อเธออย่างอ่อนโยนแบบนี้นะ

 

 

มองไปมองมา พอผู้ชายคนนั้นหันกลับมา หลินฉิงก็ต้องเบิกตาโพลง เพราะผู้ชายคนนั้น…คือ ‘คู่หมั้น’ ของเธอนั่นเอง

 

 

แต่คุณแม่บอกว่าฉินเยี่ยนออกไปทำงานต่างจังหวัด ไม่ได้อยู่ที่นี่นี่นา…หรือว่าคุณแม่โกหกเธองั้นเหรอ ทันใดนั้นสายตาของหลินฉิงก็เปลี่ยนเป็นดุร้าย

 

 

หลินฉิงหยุดมองนิ่งอีกสักพัก ผู้ชายคนนั้นคือ ‘คู่หมั้น’ ที่ตนเฝ้าคิดถึงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจริงๆ นะ! แต่ ‘คู่หมั้น’ ของตน…ทำไมถึงดีกับผู้หญิงคนอื่นขนาดนี้

 

 

นานเข้าสายตาของหลินฉิงก็ยิ่งโหดเหี้ยมมากขึ้น เธอคิดในใจ ว่าต้องเป็นเพราะผู้หญิงบนเตียงคนนั้นแน่! ถึงทำให้ฉินเยี่ยนไม่มาเยี่ยมตน แม้แต่คุณแม่ก็ช่วยเธอโกหกตนด้วยซ้ำ! ที่แท้ก็เพราะเธอนี่เอง!

 

 

“ฉิงฉิงๆ หนูอยู่ไหนเหรอลูก” เมื่อคุณแม่หลินฉิงไม่เห็นเงาลูกสาวของตนอยู่หน้าลิฟต์ ก็ตะโกนเรียกอย่างร้อนใจ

 

 

“โถ่เอ๊ย ฉิงฉิง ทำไมหนูถึงมายืนอยู่ตรงนี้ล่ะ กลับห้องกับแม่เร็วลูก แม่หยิบดอกไม้ที่ลูกจะเอากลับมาแล้ว” คุณแม่หลินฉิงดึงหลินฉิงให้เดินตาม โดยเธอไม่ได้สังเกตความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยของอารมณ์ในสายตาของลูกสาวตัวเองเลย และไม่ทันสังเกตว่าลูกสาวตนหันกลับไปจำหมายเลขห้อง…314 ด้วยซ้ำ

 

 

ฮั่วฉินเยี่ยนหันกลับมามองหน้าประตูครั้งหนึ่ง เขารู้สึกว่าเมื่อกี้เหมือนจะมีคนมองจ้องเข้ามาในห้องนี้ แต่พอหันกลับไปมองกลับไม่มีใคร

 

 

“อาเยี่ยน? ทำไมเหรอ” เวินหลานฉีเห็นสายตาของฮั่วฉินเยี่ยน จึงถามเขาอย่างฉงนสงสัย

 

 

“ไม่มีอะไร คุณอิ่มแล้วเหรอ” ฮั่วฉินเยี่ยนถามด้วยสายตาอ่อนโยน

 

 

“อืม…” เวินหลานฉีพยักหน้า

 

 

วันนี้จิ่งหลานไม่ได้มาเยี่ยมเธอ ดูเหมือนว่าเมื่อคืนข้อความนั้นของเธอจะได้ผล ก็ดี อย่างไรเสียเธอก็ไม่อยากเห็นความสัมพันธ์ของฮั่วฉินเยี่ยนกับจิ่งหลานหมดหวังเกินไปนัก แบบนี้เธอในฐานะคนกลางก็ไม่สบายใจ กลับกันเป็นแบบตอนนี้อาจจะดีที่สุดแล้วละมั้ง

 

 

ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปหนึ่งวันแล้ว พอถึงเวลาอาหารเย็น ในที่สุดหลินฉิงก็หาโอกาสหลบสายตาคุณแม่ออกมาได้ เธอจงใจบอกว่าอยากได้ของหลายอย่าง พอแม่ออกไปซื้อเลยต้องใช้เวลานานหน่อย และในช่วงเวลานี้…ก็เพียงพอให้เธอไปทำเรื่องที่อยากจะทำ หลินฉิงยิ้มเย็น นัยน์ตาทอประกายเย็นชา

 

 

เธอเดินมาถึงประตูห้องที่จำไว้เมื่อเช้า…ดี มีแค่ผู้หญิงคนนั้นเพียงคนเดียว หลินฉิงมองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสังเกตเห็น เธอก็เปิดประตูเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว

 

 

เธอเดินเข้าไปใกล้เตียงของเวินหลานฉีทีละก้าว…ด้วยฝีเท้าเบาเสียจนไม่ได้ยิน เวินหลานฉียังคงจมอยู่ในห้วงนิทราลึก จึงไม่ทันตระหนักถึงอันตรายตรงหน้าที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า

 

 

แสงสะท้อนจากมีดปอกผลไม้ในมือของหลินฉิงส่องกระทบใบหน้าของเวินหลานฉี…