เวินหลานฉีรู้สึกไม่สบายตัวอยู่บ้าง เธอรู้สึกว่ามีวัตถุเย็นๆ กดอยู่ตรงลำคอของเธอ จึงลืมตาขึ้นมาช้าๆ
เธอเบิกตาโพลง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความหวาดผวา เพราะเธอเห็น…สิ่งที่กดอยู่บนลำคอของเธอ…คือมีดปอกผลไม้เล่มหนึ่ง ปลายมีดเย็นๆ นั้นบาดผิวนุ่มของเธอจนแสบไปหมด
“แกตื่นแล้วเหรอ งั้นดีเลย แกมันนังแพศยา ฉันจะให้แกได้เห็นกับตาว่าตัวเองตายยังไง! หึ กล้ามาอ่อยคู่หมั้นของฉัน แกต้องไม่ตายดี!” หลินฉิงยิ้มเย็นฉายแววนึกสนุก
เวินหลานฉีนึกออกแล้วว่าเธอคือใคร ผู้หญิงเสียสติของฮั่วฉินเยี่ยนคนนั้นนั่นเอง นึกไม่ถึงว่าจะมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ ใช่สิ ที่นี่คือโรงพยาบาลเมืองหลวง จะเจอเธอก็ไม่แปลก…
เวินหลานฉีไม่กล้าขยับตัวมั่วซั่ว อย่างไรเสียตอนนี้มีดเล่มหนึ่งก็จ่อคอของเธออยู่
“หลินฉิง คุณฟังฉันนะ ฉันไม่ได้อ่อยเขา เขายังเป็นคู่หมั้นของเธออยู่” เวินหลานฉีลองใช้กลยุทธ์จิตวิทยา เพื่อให้เธอปล่อยมือ
“แกอย่ามาโกหกหน่อยเลย เมื่อเช้าฉันเห็นว่าเขาป้อนโจ๊กให้แก อย่างสนิทสนมกันขนาดนั้น ถ้าแกไม่ได้อ่อยเขาแล้วมันคืออะไร!” สายตาของหลินฉิงเต็มไปด้วยความคับแค้นใจ ร่างกายก็สั่นเทิ้มขึ้นมา ปลายมีดลากผ่านลำคอขาวดุจหิมะของเวินหลานฉี จนเกิดรอยแผลตื้นๆ
“เราเป็นแค่เพื่อนกัน! จริงๆ นะ คุณเชื่อฉันนะ!” เวินหลานฉีแสร้งมองหลินฉิงด้วยสายตาไม่มีโทษไม่มีความผิด
เธอเห็นเงาสูงใหญ่ปรากฏตัวอยู่ข้างหลังของหลินฉิง ใจเป็นกังวลก็ปล่อยวางได้ในที่สุด เธอแสร้งพูดต่ออย่างไม่ตื่นตระหนก “เขาพูดอยู่ทุกวันว่าเขาคิดถึงเธอมาก ตอนแรกเขาเตรียมจะกลับไปเยี่ยมคุณ เขายังพูดอยู่เลยนะ ว่าช่วงก่อนหน้านี้ไม่ได้ไปหาคุณ เพราะเตรียมงานแต่งอยู่ไงล่ะ เขาอยากเซอร์ไพรส์คุณ จริงๆ นะ…”
เวินหลานฉียังไม่ทันพูดจบ หลินฉิงก็โดนฮั่วฉินเยี่ยนผู้อยู่ข้างหลังลากออกไปอย่างรวดเร็ว เธอโดนน็อคจนมีดปอกผลไม้ร่วงลงบนพื้น
ฮั่วฉินเยี่ยนส่งตัวเธอให้ตำรวจที่รีบวิ่งมาหน้าประตู
“ฉีฉีตกใจแย่เลยสินะ ผมไปจัดการแป๊บนะ เดี๋ยวจะรีบกลับมา” ฮั่วฉินเยี่ยนลูบแก้มของเวินหลานฉี แล้วหมุนกายตามตำรวจออกไป
เวินหลานฉีนั่งนิ่งอยู่บนเตียง เธอยังไม่ฟื้นคืนจากบรรยากาศเมื่อสักครู่ ต่อให้จะพูดอย่างไร เธอก็เป็นแค่หญิงสาวคนหนึ่ง พอตื่นขึ้นมาเห็นมีดจ่อที่คอของตัวเอง ต่อให้จิตใจแข็งแกร่งแค่ไหน แต่เนื้อแท้ก็กลั้นไว้ไม่ไหวหรอก
เวินหลานฉีนอนลงเงียบๆ ผ่านไปเนิ่นนาน เธอก็รู้สึกว่าตนถูกสวมกอดจากด้านหลัง กลิ่นอายเย็นชาของฮั่วฉินเยี่ยนโอบล้อมตัวเธอ และจู่โจมเข้ามาอย่างรุนแรง
จนเธอคล้อยตามไปกับการช่วงชิงลมหายใจ ในขณะเดียวกันฮั่วฉินเยี่ยนก็โอบกอดเธอไว้
แผ่นหลังของเวินหลานฉีชนเข้ากับแผงอกแกร่งของฮั่วฉินเยี่ยน แผ่นหลังเหยียดตรงเล็กน้อย ผ่านไปครู่ใหญ่ ถึงได้ผ่อนคลายตามลมหายใจสม่ำเสมอของเขาอย่างช้าๆ
เพียงแต่เธอยังคงไม่หันกลับมา เธอหลับตาจนแทบจะฝังหน้าลงไปในผ้านวม
ฮั่วฉินเยี่ยนถอนหายใจเบาๆ และก็ไม่ได้ฝืนบังคับเธอ เขายื่นมือพาดผ่านช่วงเอวของเธอ แล้วดึงเวินหลานฉีเข้ามาในอ้อมกอดของตน
วงแขนยาวอันทรงพลังโอบรอบเอวของเธอแน่น ทำให้ร่างของเขาแนบแน่นกับร่างตรงหน้าของเธอ โดยไม่มีช่องว่างเลยแม้แต่น้อย แนบแน่นเหมาะสมกันราวกับเกิดมาก็ตัวติดกันเช่นนี้
เวินหลานฉีกระถดตัวถอยหลัง เพื่อให้ฮั่วฉินเยี่ยนผู้อยู่ข้างหลังเขยิบเข้ามาใกล้อีกหน่อย คางแกร่งแนบอยู่บนลาดไหล่ของเธอ สูดดมกลิ่นหอมจางๆ จากซอกคอของเธอ ในใจก็สงบขึ้น ราวกับว่าอารมณ์ไม่มีความสุขก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และไม่มีทางส่งผลถึงอารมณ์ของเขาด้วย
ขอแค่ได้สัมผัสเวินหลานฉี ใจเขาก็ถูกยั่วยุได้ และถูกปลอบโยนได้อย่างง่ายดาย
ฮั่วฉินเยี่ยนรู้ ชาติกำเนิดของผู้หญิงในอ้อมกอดคนนี้ควรจะเป็นของเขา และจะเป็นไปชั่วชีวิต
เขาไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร แต่อย่างน้อยตอนนี้เขาหวัง ว่าเธอจะอยู่เป็นเพื่อนเขาไปตลอดชีวิต
สัมผัสได้ว่าร่างกายจากแข็งทื่อของคนในอ้อมกอด ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นนุ่มนวลผ่อนคลาย ระหว่างพวกเขาทั้งสองไม่มีคำพูดใดอีก ได้ยินเพียงแต่เสียงหัวใจเต้นเบาๆ ตึกตักๆ เบาบางหากแต่กลับทรงพลัง
ไม่รู้ทำไมข้างหลังรู้สึกได้ถึงหัวใจเต้นของฮั่วฉินเยี่ยนได้อย่างชัดเจน ตลอดเวลาที่ไม่คุยกัน อยู่ๆ เสียงแหบพร่าทุ้มต่ำก็ดังขึ้นมาข้างหู เสียงกระซิบทุ้มลึก หากแต่เซ็กซี่ราวกับเสียงเชลโล มอมเมาเธออย่างง่ายดาย
“ฉีฉี ไม่เป็นไรแล้ว…เธอโดนตำรวจจับเข้าคุกไปแล้ว…ไม่เป็นไรแล้วนะ…” ฮั่วฉินเยี่ยนพูดเสียงเบา ลมหายใจปัดผ่านใบหูของเธอ จึงเห็นใบหูของเธอแดงลามตั้งแต่กกหูไปถึงติ่งหูอย่างเห็นได้ชัด และลามไปยังลำคอเปลือยเปล่า จนกระทั่งหายเข้าไปในสาบเสื้อ
“อืม” เวินหลานฉีเพียงแค่ส่งเสียงอืมเบาๆ เธอยังคงไม่หันกลับมา และไม่ขยับด้วยซ้ำ
“จากนี้ไปผมจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายคุณได้อีก” ฮั่วฉินเยี่ยนพูด
ร่างกายของเวินหลานฉีแข็งทื่อ และสั่นอย่างเห็นได้ชัด
เวินหลานฉีไม่อาจรักษาท่าทีนิ่งๆ และไม่สะทกสะท้านได้อีกต่อไป เธอค่อยๆ หันกลับมา ฮั่วฉินเยี่ยนจึงถือโอกาสพลิกตัวของเธอกลับมา เพื่อให้เธอเผชิญหน้ากับเขาตรงๆ
เวินหลานฉีไม่ได้ขัดขืน เพียงแค่มองฮั่วฉินเยี่ยนด้วยดวงตามืดมิดและสั่นไหวเบาๆ
ผู้ชายคนนี้ยามรักเหตุผลใดก็ไม่จำเป็น เขาสามารถยกคุณขึ้นไปบนสวรรค์เก้าชั้นได้อย่างไร้ขีดจำกัด ให้คุณนั่งตัวตรงอยู่บนดั้นเมฆ เยาะหยันสรรพสิ่งมีชีวิตเบื้องล่างอย่างเต็มที่ มองพวกเธอพยายามปีนป่ายขึ้นมายังตำแหน่งตอนนี้และฟาดฟันแย่งชิงกัน โดยไม่เลือกวิธีการจนหัวร้างข้างแตก
ส่วนเธอยังคงนั่งนิ่งหน้าตาเฉย เฉกเช่นจักรพรรดินีผู้สูงส่ง ที่ถูกเขารักและทะนุถนอม
แต่ถ้าเขาไม่ต้องการเธอแล้วล่ะก็ คงทอดทิ้งเหมือนรองเท้าที่ใช้จนเก่า เหมือนขยะสกปรกตามพื้น แม้แต่ปรายตามองยังไม่มองเลยด้วยซ้ำ
เหมือนกับเหยียนน่า เหมือนกับหลินฉิง
ส่วนเขาฮั่วฉินเยี่ยน สุดท้ายแล้วแม้แต่ความห่วงใยเล็กๆ น้อยๆ คงคร้านจะให้ทานเสียด้วยซ้ำ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ร่างกายของเวินหลานฉีก็สั่นเทิ้มอย่างไม่อาจควบคุมได้
ตอนนี้ผู้ชายที่โอบกอดเธออยู่ตรงหน้าคนนี้รักและทะนุถนอมเธออย่างที่สุด ยกย่องและปกป้องเธอไว้ในใจวันแล้ววันเล่า
ถึงที่สุดแล้วเธอก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง จิตใจบอบบางสุดจะทน และโดนเขาทำให้สะเทือนใจได้ค่อนข้างง่ายดาย เธอกล้ารับรองว่าถ้าเขาเป็นอย่างนี้ไปตลอด เธอต้องตกลงไปในหลุมพรางลึก จนไม่มีทางดิ้นหลุดไปไหนได้ กระทั่งเคยชินกับความลุ่มหลงของเขา
และพอเคยชินจนเป็นธรรมชาติแล้ว จากลุ่มหลงกลายเป็นรักเฉยๆ ตอนที่เธอถูกพิชิตใจถึงที่สุด เธอไม่อยากจะคิดเลย ถ้าฮั่วฉินเยี่ยนเบื่อเธอในตอนนั้นขึ้นมา เธอจะเป็นอย่างไร เธอจะรับได้หรือเปล่า
เธอก็แค่ผู้หญิงโง่ๆ คนหนึ่ง ลองได้รักแล้วก็จะมุ่งมั่นเดินไปจนถึงที่สุด ไม่รู้จักเลี้ยวโค้ง รักจนถึงที่สุดเท่าทั้งตัวและหัวใจ ถึงขั้นชีวิตก็ชดใช้ให้ได้
ถึงตอนนั้นถ้าบาดเจ็บขึ้นมา เธออาจจะตายไร้ศพเลยก็ได้
เวินหลานฉีจ้องแผงอกเขาอย่างกลัดกลุ้ม เสื้อเชิ้ตกลัดกระดุมถึงแค่เม็ดที่สามอย่างเกียจคร้าน เผยให้เห็นแผงอกหนั่นแน่นน่ากินชวนน้ำลายสอ
พอคิดถึงผู้ชายไร้ความรู้สึกคนนี้ ยามรักก็รักคุณเท่าฟ้า แต่ยามไม่ต้องการคุณก็สามารถผลักคุณลงไปในหุบเหวลึกหมื่นวา เธอจึงรู้สึกโกรธขึ้นมา
ถือสิทธิ์อะไรทุกอย่างถึงต้องเป็นไปตามจังหวะก้าวของเขา ทำไมแม้แต่แรงจะคัดค้านและช่องว่างยังไม่มีเลย
อย่างตอนนี้เขาโอบเธอไว้ในอ้อมกอดอย่างแน่นหนา แต่เคยถามอะไรเธอไหม
ยิ่งคิดเวินหลานฉีก็ยิ่งโมโห เธอทุบลงไปบนแผงอกของเขาอย่างโมโห ปล่อยให้สติสัมปชัญญะแตกซ่านอย่างนั้น และไม่รู้ว่าตนไปเอาความกล้าหาญมาจากไหน ในหัวเธอสับสนไปชั่วขณะ เธอจึงอ้าปากงับแผงอกที่โผล่พ้นออกมาข้างนอกของเขา
ซี๊ด! ฮั่วฉินเยี่ยนสูดลมหายใจ ตาทั้งสองข้างเบิกโพลง ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้หญิงคนนี้เกิดบ้าอะไรขึ้นมา เธอเอาความกล้าขนาดนี้มาจากไหน นึกไม่ถึงเลยว่าจะกล้ากัดเขา!
หัวยังคงพิงแนบอยู่กับหน้าอกของเขาไม่ยอมผละจากไป หน้าอกของเขาถูกกัดจนเจ็บปวดแสบปวดร้อน เขาถึงขั้นสัมผัสได้ถึงของเหลวอุ่นร้อนไหลลงมาอย่างช้าๆ ทั้งเจ็บทั้งคัน
แต่เวินหลานฉีก็ไม่ปล่อย กดลงมาทั้งแรงทั้งแม่นยำ ฮั่วฉินเยี่ยนเองก็ไม่กล้าผลักเธอออกแรงนัก โดนกัดแล้วยังกลัวจะทำร้ายเธออีก อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าตนรักเธอจริง รักจนไม่มีทางถอนตัวได้ และไม่มีทางทำอะไรเธอได้
ความโกรธแค้นที่เวินหลานฉีมีต่อฮั่วฉินเยี่ยน ความจนใจและความรู้สึกไร้กำลังที่มีต่อเขา ความรู้สึกเสียใจต่ออนาคตของตนที่กำลังจะถูกเขาควบคุม และความหวั่นกลัวในผลลัพธ์อันน่าสมเพชที่จะตามมาเมื่อเธอถึงคราวตกอับในตอนสุดท้าย ทั้งหมดทั้งมวลหลอมรวมอยู่ในรอยกัดนี้
สำหรับผู้ชายตรงหน้าคนนี้ เธอทั้งโกรธเกลียดและรักจริง แต่ทำอย่างไรได้ สุดท้ายแล้วความรู้สึกพวกนี้จะกลายเป็นความไร้พลังที่ถูกพิชิตใจต่อตัวเอง
รสชาติหวานคาวค่อยๆ เข้าปากนั้นแฝงรสชาติเค็มฝาดเข้าไปด้วย และนั่นคือน้ำตาของเธอนั่นเอง
ในที่สุดเธอร้องไห้ออกมาโดยไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว
เธอกลัว กลัวว่าสุดท้ายแล้วจะถูกฮั่วฉินเยี่ยนพิชิตใจได้แล้ว แต่ฮั่วฉินเยี่ยนกลับไม่ต้องการเธอแล้ว
นั่นเป็นสิ่งที่เธอไม่อาจรับได้
ขณะเดียวกันเธอก็โกรธตัวเอง เพราะความรัก ความลุ่มหลงเหล่านี้ของเขา และท้ายสุดแล้วเธอก็ควบคุมไว้ไม่ได้
เธอจึงร้องไห้ออกมา ร้องไห้จนไม่มีแรง ลาดไหล่สั่นเทิ้มไปตามแรงสะอื้น หากแต่ผู้ชายคนนี้ก็ยังดันทุรัง ราวกับไม่รู้สึกถึงความเจ็บอย่างไรอย่างนั้น เขายอมให้เธอกัดโดยไม่ร้องสักแอะ
เธอกัดเขาจนเลือดไหลออกมาอยู่แล้ว เขาจะไม่เจ็บเลยเหรอ
แต่ผู้ชายคนนี้กลับไม่ส่งเสียงน่าเกลียดออกมาสักคำ
แล้วเวินหลานฉีก็ค่อยๆ เบาแรงลง ไม่รู้ว่าเพราะกัดจนเหนื่อย เมื่อยปาก หรือปวดใจกันแน่ แต่อย่างไรก็ตามปากเธอนั้นมีกลิ่นคาวเลือดของฮั่วฉินเยี่ยนคละคลุ้งเต็มปาก และพบว่าตนเองกัดต่อไปไม่ไหวแล้ว
จิตใจของคนก็มีเนื้อมีหนัง ยิ่งไปกว่านั้นผู้ชายคนนี้ก็เป็นคนที่เธอตกหลุมรักโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ต่อให้โมโหหรือโกรธสักแค่ไหน ก็หักใจไม่ลง หรือต้องให้กัดเนื้อเขาจริงเหรอ
เวินหลานฉีผละปากออก นัยน์ตามีน้ำตาคลอมองแผลตรงหน้าอย่างเลือนราง รอยฟันลึกขนาดนั้น แผลที่เขาโดนเธอกัดนั้นบวมเป่ง หย่อนยานอย่างกับเนื้อจะหลุดออกมาได้ตลอดเวลาอย่างไรอย่างนั้น
บนรอยฟันมีเลือดแดงฉาน เจือกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง จนบาดแผลเปื้อนเลือดไปหมด บนแผ่นอกของเขาคล้ายกับเคยโดนมีดแทงก็มิปาน จะเห็นได้ว่าเธอกัดลงไปโหดเหี้ยมแค่ไหน
เมื่อเห็นว่าในที่สุดเธอไม่กัดแล้ว ฮั่วฉินเยี่ยนก็ขมวดคิ้วกลั้นความเจ็บปวด น้ำเสียงเจ็บจนแหบพร่า “ไม่กัดแล้วเหรอ”
เวินหลานฉีมองบาดแผลของเขาอย่างเลื่อนลอย โดยไม่พูดอะไรสักคำ
ถึงแม้ฮั่วฉินเยี่ยนจะไม่ชอบผผู้หญิงร้องไห้ แต่เมื่อเห็นท่าทางของเวินหลานฉี เขาก็รังเกียจไม่ลง
ฮั่วฉินเยี่ยนมองเธอสะอึกสะอื้นแผ่วเบา เขาก้มหน้าอย่างจนปัญญา แล้วพรมจูบซับน้ำตาบนดวงหน้าของเธอเบาๆ
จูบไล้ไปตามคราบน้ำตาของเธอ ริมฝีปากบางเย็นเยียบประทับจูบตรงมุมปากเธอเบาๆ ดูดซับเลือดและน้ำตาบนริมฝีปากทีเล็กละน้อย
กลิ่นเลือดคาวหวาน และเค็มปะแล่มหลอมรวมกัน เขาใช้ลิ้นกวาดต้อนเบาๆ อย่างแช่มช้า ไล้เลียเลือดบนกลีบปากของเธอเข้าไปในปากของตน
ขณะเงยหน้าขึ้นมา กลีบปากเดิมทีซีดเผือดนั้นก็ถูกกลีบปากอวบอิ่มเป็นประกายของเขา เติมความชุ่มชื้นให้นานแล้ว
นิ้วมือของเวินหลานฉีลูบแผลที่โดนเธอกัดเบาๆ รอยเลือดข้างบนยังไม่แห้งเหือดไปทั้งหมด
“เจ็บไหม” เวินหลานฉีถามเสียงเบา
“เจ็บ” ฮั่วฉินเยี่ยนพึมพำแผ่วเบา ด้วยอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก จะไม่เจ็บได้เหรอ ผู้หญิงคนนี้กัดได้โหดเหี้ยมจริงๆ เลยนะ! ไม่ปรานีกันเลยสักนิด
เวินหลานฉีกลืนน้ำลายเล็กน้อย ฮั่วฉินเยี่ยนเห็นท่วงท่าการกลืนน้ำลายบนลำคอระหงทั้งหมด
ต่อให้เป็นความฝัน ฮั่วฉินเยี่ยนก็นึกไมถึงว่าเวินหลานฉีจะก้มหน้าลงมา ประทับจูบบาดแผลของเขา ปลายลิ้นน้อยๆ ยื่นออกมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ แล้วกวาดเลียบาดแผลของเขาเบาๆ
เธอกวาดเลียตามแนวรอยฟันของเขา กวาดเลียเลือดข้างบนเข้าไปในปากของเธอ