ส่วนที่ 2 ภาคถนนสายนี้ไม่มีผู้มาก่อน ตอนที่ 12 ชีวิตถ้าเป็นเช่นแรกเจอ (6)

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหน นางตื่นขึ้นมา

ตอนตื่นขึ้นมา นางสังเกตว่าเสื้อผ้าของนางใส่กลับไปใหม่เหมือนเดิม สายคาดเอวรัดเรียบร้อยเหมือนเดิม จัดอย่างเรียบร้อย กระทั่งเศษหญ้าสักนิดก็ไม่มี ขนาดร่องรอยการหนีตายสักนิดก็ยังมองไม่เห็น ที่ใต้เสื้อผ้า นางรู้สึกถึงการมีอยู่ของผ้าพันแผล ไม่รู้ว่าจัดการรอยบาดแผลอย่างไร ความเจ็บปวดลดลงไปมาก ราวกับสามารถเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ได้

นางลืมตาโตขึ้น มองบริเวณอกของตัวเอง รู้สึกถึงขอบเขตของผ้าพันแผล จินตนาการภาพของกองหญ้าป่าในก่อนหน้านี้ สีหน้ามีความอ้างว้างเล็กน้อย

ผ่านไปสักพัก นางหมุนสายตาอย่างยากลำบากเล็กน้อย หาเงาหลังของเจ๋อซิ่ว

เจ๋อซิ่วนั่งยองๆ อยู่ข้างหญ้าน้ำ เป็นสถานที่ที่เป็นพื้นดินและไกลจากนางที่สุดของที่ราบทุ่งหญ้าแห่งนี้ ชายเสื้อด้านล่างถูกฉีกทิ้ง ขาสองข้างเผยอยู่ด้านนอก ท่าทีมองไม่ค่อยได้ เหมือนสุนัขตัวหนึ่ง

ชายเสื้อที่ถูกฉีกทิ้ง น่าจะกลายเป็นผ้าพันแผลที่บริเวณอกของนาง

นางมองไปที่บริเวณอกของนางอีกครั้ง ไม่ทราบเพราะเหตุใดถึงรู้สึกผิดปกติอย่างมาก ใจคิด ‘ทำไมเจ้าถึงยังไม่ได้รับอนุญาต ก็ถอดเสื้อของผู้คน?’

พูดขึ้นมาก็น่ามหัศจรรย์ดี หลังจากที่ไม่จำเป็นต้องซ่อนเพศอีก นางก็เริ่มเหมือนมีความคิดแบบเด็กผู้หญิง อย่างเช่นใช้คำว่าผู้คนในการแทนตัวเอง ไม่ใช่คำว่าข้า แต่แค่ยังไม่ได้กลายเป็นคำว่าผู้อื่นชั่วคราวเท่านั้น

นางยิ่งคิดยิ่งรู้สึกผิดปกติ โดยเฉพาะเจ๋อซิ่วจนถึงตอนนี้ก็ไม่ได้หันกายมา นี่ทำให้นางยิ่งเสียใจถึงขั้นสุด…แง! นางปล่อยโฮออกมา

ได้ยินเสียงร้องไห้ เงาหลังของเจ๋อซิ่วที่ข้างหญ้าน้ำสั่นเล็กน้อย

ผ่านไปสักพัก รู้สึกว่าเสียงร้องไห้ไม่น่าจะหยุดลง เขาเดินตามเสียงร้องไห้มา นั่งอยู่ข้างหน้านาง พยายามใช้น้ำเสียงที่เนิบช้าพูดว่า “หยุดร้องไห้ได้แล้ว”

เสียงร้องไห้ของชีเจียนจู่ๆ ก็หยุดลง บนใบหน้าเล็กๆ เปรอะเปื้อนเต็มไปด้วยน้ำตา

เจ๋อซิ่วชะงักงัน พูดต่อไปว่า “…มิฉะนั้นจะกระตุ้นให้สัตว์อสูรเหล่านั้นมา เป็นเรื่องยุ่งยากอีก”

นี่คือไม่มีอะไรจะพูด จึงหาอะไรมาพูด

ไม่ว่าจะบรรลุนิติภาวะหรือผู้เยาว์ อย่างไรก็ตาม เหล่าบุรุษไม่เคยเข้าใจ เวลาเช่นนี้ไม่มีอะไรพูด ก็ช่างสรรหาอะไรพูด ส่วนใหญ่จะเท่ากับว่าไม่มีเรื่องจึงสรรหาเรื่อง และก็เท่ากับรนหาที่ตายเช่นกัน

ชีเจียนชะงักแล้วชะงักอีก ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง นางสะอึกสะอื้นไม่ออกเสียง ฉะนั้นมองดูแล้วน่าสงสารอย่างหาที่เปรียบมิได้

เจ๋อซิ่วเงียบขรึมสักพัก อธิบายว่า “เจ้าก็รู้ ตอนนี้ข้ามองอะไรไม่เห็น ฉะนั้น…”

ไม่ได้รอเขาพูดประโยคนี้จบ ชีเจียนร้องไห้อย่างโศกเศร้ากว่าเดิม คิดอย่างเสียใจอย่างยิ่ง แม้เจ้ามองไม่เห็น แต่ทั้งร่างกายของผู้อื่นถูกเจ้าลูบจับจนหมด เจ้ายังจะไม่ยอมรับอีกหรือ? เจ้ายังไม่อยากรับผิดชอบหรือ?

เจ๋อซิ่วรู้สึกปวดหัวมาก เขามีชีวิตมาสิบกว่าปี ต่อสู้มาสิบกว่าปี ที่ที่ราบหิมะไม่รู้ว่าพบเจอสัตว์อสูรและเผ่ามารที่น่ากลัวเยอะแค่ไหน เผชิญกับความเป็นตายจำนวนมาก กลับ…ไม่เคยเจอสถานการณ์เช่นนี้ ใจคิดจะทำอย่างไร? ร้องไห้เช่นนี้อีกต่อไป กระทบรอยบาดแผลจะทำอย่างไร?

ฟังเสียงสะอึกสะอื้นของชีเจียน เขาไม่สบายใจยิ่ง และก็ไม่ค่อยเข้าใจ ใจคิดในฐานะที่เป็นศิษย์ปิดสำนักของพรรคกระบี่หลีซาน ระดับขั้นของเจ้าสูงปานนี้ อายุยังน้อยก็อยู่ขั้นทะลวงอเวจีขั้นกลาง วิชากระบี่เก่งกล้าเช่นนี้ ขนาดกวนเฟยไป๋ยังมิอาจเป็นคู่แข่งของเจ้าได้ เป็นที่ยอมรับ ในสุสานเทียนซูก็ดูไปถึงแผ่นป้ายแผ่นที่สาม ดูอย่างไรก็ยอดเยี่ยมมาก แต่ทำไมถึง…ชอบร้องไห้เล่า?

ไม่รู้จะจัดการอย่างไร เขาทำได้เพียงนั่งเงียบขรึมอยู่ข้างๆ กลับไม่รู้ว่า วิธีเช่นนี้เข้ากันกับหลักเหตุผลในการอยู่ร่วมกันของชายหญิงได้พอดี

ปัญหาในด้านอารมณ์ของผู้หญิง แต่ไหนแต่ไรต้องมอบให้เวลาเป็นคนจัดการ บ่อยครั้ง พวกนางเพียงแค่รู้สึกเสียใจโศกเศร้า อยากร้องไห้ ฉะนั้นเจ้าก็ปล่อยให้พวกนางร้องไห้ก็พอ อยู่เคียงข้างก็พอ เวลาที่ต้องส่งผ้าเช็ดมือก็ส่ง เวลาที่จำเป็นต้องมอบหัวไหล่ก็อย่าเกรงใจ ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าพูดจาปลอบใจอยู่ข้างๆ อย่างไม่หยุดหย่อน ในขณะที่พวกนางยังไม่ได้สงบลงมาอย่างแท้จริง ในขณะที่ยังไม่อยากทำอะไร หากเจ้าทำอะไรก็ล้วนเป็นเรื่องเกินพอดีทั้งนั้น

อย่างที่คิด เสียงร้องไห้ค่อยๆ แผ่วลง ชีเจียนก้มหัวเหมือนนกน้อยตัวหนึ่งที่เจอเรื่องตกใจ พูดอย่างอับอายว่า “เจ้า…รู้ตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหม?”

คำถามนี้ซ่อนสองความหมาย ตอบไม่ง่ายอย่างยิ่ง…ถ้าเขารู้ก่อนที่จะทำ ฉะนั้นการสัมผัสร่างกายจำนวนมากที่เกิดขึ้นหลังเรื่องนี้ โดยเฉพาะภาพก่อนหน้านั้น ก็จะทำให้เกิดคำอธิบายที่เป็นด้านลบได้มากกว่า ดีที่เจ๋อซิ่วเป็นคนไม่ค่อยถนัดในการพูดจา ฉะนั้นเขายังคงเงียบขรึมไม่พูด…เงียบขรึมจะทำให้เกิดคำอธิบายได้หลายแบบ ชีเจียนสามารถเลือกคำอธิบายแบบที่นางรู้สึกสบายที่สุด

ความจริงแล้ว เจ๋อซิ่วคาดไม่ถึงจริงๆ

ระหว่างการหลบหนีก่อนหน้านี้ มีบางครั้ง โดยเฉพาะตอนที่แบกนางข้ามภูเขา ตอนที่ได้ยินเสียงอืมๆ ที่แผ่วเบาของนาง เขาเหมือนจะมีความคิดเล็กน้อย แต่ความคิดเหล่านั้นจู่ๆ ก็หายไปโดยไม่คิดให้ลึกซึ้งต่อไปอย่างสิ้นเชิง เพราะว่าเขาอย่างไรก็คาดไม่ถึง ศิษย์ปิดสำนักของพรรคกระบี่หลีซาน…เป็นเด็กผู้หญิง

เวลานี้มานึกย้อนถึงภาพเหล่านั้นที่กระท่อมในสุสานเทียนซูในตอนนั้น แน่นอนว่ามีคำอธิบายที่ไม่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิง ตอนนั้นพวกเขาเจ็ดคนอยู่ที่ใต้ชายคาเดียวกัน เจ๋อซิ่ว เฉินฉางเซิงและถังซานสือลิ่วครองห้องใน ศิษย์ทั้งสี่ของพรรคกระบี่หลีซานอยู่ห้องนอก ทุกวันเวลานอน โก่วหานสือ กวนเฟยไป๋และเหลียงปั้นหูยัดอยู่รวมกัน กลับเหลือพื้นที่กว้างใหญ่ให้ชีเจียน ที่สำคัญที่สุดคือ ชีเจียนมีผ้าห่มเป็นของตัวเอง ตอนนั้นเจ๋อซิ่วและเฉินฉางเซิงยังรู้สึกว่ากลุ่มคนโก่วหานสือทั้งหลายตามใจชีเจียนศิษย์น้องชายเล็กคนนี้มากเกินไป หรือว่าศิษย์ปิดสำนักของพรรคกระบี่หลีซานมีฐานะที่พิเศษอะไร ตอนนี้เพิ่งรู้ว่า ที่จริงเพียงแค่ชายหญิงล้วนแตกต่าง

ต่อมาควรทำอย่างไร? เจ๋อซิ่วเงียบขรึมไร้คำพูด ชีเจียนก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร บรรยากาศที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกชนิดหนึ่งย้อนไปมาอยู่ระหว่างชายหนุ่มและสาววัยเยาว์ไม่ไปไหน

และในเวลานี้ บริเวณส่วนลึกของที่ราบทุ่งหญ้าก็ส่งแรงสั่นสะเทือนมา ต่อจากนั้นก็เป็นเสียงร้องดั่งเสียงฟ้าผ่าที่ทุ้มต่ำ เจ๋อซิ่วได้ยินเสียงสีหน้าก็แปรเปลี่ยนเล็กน้อย เงี่ยหูฟังสักพัก ยืนยันว่านั้นเป็นสัตว์อสูรที่ยิ่งใหญ่น่าหวาดกลัวประเภทหนึ่ง ไม่สนใจอะไรมากอีก เอาแป้งฝุ่นที่ใช้ในการลบล้างกลิ่นออกมา โปรยไปที่รอบสี่ทิศของดงหญ้า ในขณะเดียวกันก็เหมือนกับหนึ่งวันหนึ่งคืนที่ผ่านมาเช่นนั้น หันหลังนั่งยองๆ ที่ข้างหน้าชีเจียน

ในเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนที่ผ่านมา พวกเขาทำซ้ำกระบวนการนี้หลายครั้งมาก ตามหลักแล้ว น่าจะชำนาญมาก แต่อาจจะเป็นเพราะสาเหตุที่รู้ว่าชีเจียนเป็นเด็กผู้หญิง ท่าทางของเจ๋อซิ่วจึงมีความแข็งทื่อเล็กน้อย สองมือที่ยื่นไปด้านหลังก็แข็งเกร็ง มองดูเหมือนเป็ดตัวหนึ่งที่ต้มใกล้จะสุก

มองเห็นสภาพเช่นนี้ของเขา ชีเจียนหยุดร้องไห้เปลี่ยนเป็นยิ้มแทน ตบหลังเขาเบาๆ ให้เขานั่งยองๆ ต่ำลงไปกว่านี้ จากนั้นปีนขึ้นไปอย่างช้าๆ สองมือคล้องคอของเขาอย่างเป็นธรรมชาติ

น่าจะเป็นเพราะปัจจัยทางจิตใจ เจ๋อซิ่วรู้สึกว่าความรู้สึกที่ส่งมาจากด้านหลังนุ่มนิ่มมากขึ้น

ท่ามกลางที่ราบทุ่งหญ้าสิบกว่าลี้ พื้นดินข้างใต้หญ้าป่าเป็นเนินดินขึ้นลงอย่างต่อเนื่อง เกิดเสียงนกร้องน่ากลัวที่ราวกับเสียงฟ้าผ่า ไม่รู้ว่าเป็นสิ่งของอะไรกำลังมุ่งไปยังข้างหน้าอย่างรวดเร็ว แสงตะวันในตอนนี้เร่าร้อนอย่างมาก ทะลุผ่านแหล่งน้ำใต้ดงหญ้า ส่องสว่างเงาหลังของสัตว์อสูรจำนวนมาก ราวกับคลื่นน้ำเกลียวหนึ่ง กำลังไล่ตามพวกเขา มองดูช่างสะเทือนใจอย่างยิ่ง

ที่ข้างหน้าสุดของคลื่นสัตว์อสูร เจ๋อซิ่วและชีเจียนไล่ต้อนแสงตะวันที่ยิ่งมายิ่งสูง ยิ่งมายิ่งสว่าง เดินเหยียบย่ำน้ำตลอดทาง นางยังคงเป็นตาของเขา เขายังคงเป็นขาของนาง

“เดินไปทิศไหน?”

“ทิศตะวันตกเฉียงใต้เหมือนจะมีทุ่งหญ้าแห่งใหญ่ สภาพพื้นที่สูงหน่อย หรือจะไปลองดู? เสียงนั้นส่งมาจากทางตะวันออก เจ้าจำเป็นต้องเร็วหน่อย”

บทสนทนาจบลง สงบนิ่งเป็นเวลานาน มีเพียงเสียงผิวน้ำที่ถูกเหยียบย่ำ น้ำกระเซ็นไปทั่ว หญ้าป่าเริ่มสูง

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ชีเจียนถามด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ตกใจมากใช่ไหม?”

เจ๋อซิ่วเงียบขรึมสักพัก พูดว่า “ใช่”

นางคล้องคอของเขา ซบไหล่ของเขา ดมกลิ่นคุ้นเคยที่ส่งมาจากปลายจมูก ถามด้วยเสียงเบาต่อว่า “เจ้ามีความคิดเห็นเช่นไร?”

เจ๋อซิ่วไม่ได้ตอบ เพราะไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร ความคิดเห็น? ความคิดเห็นอะไร? ความคิดเห็นตอนที่ปลายนิ้วลากผ่านบนร่างกายที่สั่นเทิ้มของเจ้าหรือ?

ไม่ ในสมองของชายหนุ่มเผ่าหมาป่าในตอนนั้นมีแต่ความว่างเปล่า ไม่มีความคิดใดๆ

นางคิดในใจ…เงียบขรึมแปลว่าไม่ดีใจหรือ? ผ่านไปอีกสักพัก เสียงของนางเบากว่าเดิม ถามเหมือนมีความตื่นเต้นเล็กน้อย “แล้วเจ้าคิดว่าข้าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายดีกว่า?”

คำถามนี้ไม่เจ็บใจ แต่โดนจุดสำคัญโดยตรง

เจ๋อซิ่วคิดแล้วคิดอีก ตั้งแต่เมื่อวานเจ้าก็เริ่มอือๆ อาๆ กอดตนแน่นตลอดทาง ถ้าเจ้าเป็นผู้ชาย ภาพฉากนี้ไม่ค่อยสวยจริงๆ จึงพูดว่า “ผู้หญิงดีกว่า”

ชีเจียนเขินอายเล็กน้อย พูดด้วยเสียงเบาดั่งยุงว่า “มีผู้หญิงอยู่ด้วยเดิมทีก็ดีอยู่แล้ว เจ้าหมายถึงอย่างนี้ใช่เปล่า”

เจ๋อซิ่วแค่คิด ก็ไม่ค่อยดี ตอนนี้การกระทำของเจ้าไม่เขื่องโขเช่นนั้นเหมือนแต่ก่อนอีก นี่มันเป็นเพราะอะไร?

……

……

ในดินแดนต้าลู่แห่งนี้มีนิทานพื้นบ้าน เป็นนิทานที่เกี่ยวกับปีศาจหมูแบกภรรยา (โป๊ยก่ายแบกภรรยา)

ใช่ ไม่ว่านิทานหรือความเป็นจริง เวลาส่วนใหญ่ ล้วนน่าจะเป็นผู้ชายแบกผู้หญิง ยากที่จะจินตนาการกลับกัน

ฉะนั้นในที่ราบทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่ไร้รากนี้ เจ๋อซิ่วแบกดรุณีน้อยชีเจียน ที่ปลายอีกฝั่งของที่ราบทุ่งหญ้า เฉินฉางเซิงก็แบกผู้หญิงคนหนึ่งเหมือนกัน

เดินทางในที่ราบทุ่งหญ้าเป็นเวลานานมากแล้ว ยังคงอยู่ในพื้นที่เปียกชื้น เดินยากลำบากมาก แสงตะวันที่รุนแรง ส่องสว่างต้นอ้อและหญ้าป่าที่ไม่รู้ชื่อเหล่านั้นในน้ำ ราวกับจะทำให้พืชสีเขียวทั้งหมดเปลี่ยนเป็นรูปปั้นแกะสลักทองและเงิน เขากลับไม่มีเหงื่อไหลแม้แต่หยดเดียว ร่างกายปล่อยไอหนาวออกมาอย่างต่อเนื่อง ขับไล่ความร้อน ต่อสู้กับแสงแดด

สวีโหย่วหรงหลับตาอยู่ ซบอยู่บนไหล่ของเขา ขนตาไม่กะพริบแม้แต่น้อย ขมุบขมิบปากเป็นครั้งคราว มองดูแล้ว มีเฉินฉางเซิงที่เป็นกาน้ำแข็งธรรมชาตินี้ นางหลับสบายอย่างมาก

จนกระทั่งตอนนี้ ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวจากการไล่ตามมาของหนานเค่อ เฉินฉางเซิงคิดในใจว่าเผ่ามารก็คงจะไม่อยากเสี่ยงในที่ราบทุ่งหญ้าแห่งนี้ น่าจะยอมแพ้แล้ว จึงเพิ่งจะวางใจลงได้ สติปล่อยวางในทันใด รอยบาดแผลและความเหนื่อยล้าก็เหมือนกับน้ำหลาก และก็เหมือนดินโคลนมัดขาสองข้างเข้าไว้ทันที ทำให้เขาไม่มีความต้องการที่จะก้าวไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว

รอบสี่ทิศล้วนเป็นพื้นที่เปียกและหญ้าป่า ไม่มีที่ให้นั่งพักโดยสิ้นเชิง เฉินฉางเซิงมองก้านหญ้าที่สูงกว่าคนเหล่านั้น ฝืนแบกสวีโหย่วหรงเดินต่อไป เพียงแต่ว่าตอนนี้ไม่ได้เดินไปที่ข้างหน้า แต่เป็นการหมุนรอบอย่างไม่หยุดหย่อน เหยียบย่ำเหล่าต้นอ้อและหญ้าป่ารอบข้างทั้งหมดให้ล้มลงอย่างช้าๆ ก้านสีเขียวที่ถูกกดทับจนเป็นพื้นที่ราบก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า

ยืมการบดบังของต้นอ้อและหญ้าป่า ยากมากที่คนข้างนอกจะสามารถมองเห็นภาพข้างใน แต่หากมีคนมองจากท้องฟ้าลงมาข้างล่าง ก็จะสามารถเห็นเป็นวงกลมเล็กเส้นรอบวงประมาณหลายจั้งที่ใช้หญ้าทำขึ้นมา สวีโหย่วหรงกอดเข่าสองข้าง นอนหันข้างอยู่บนกองหญ้าเขียว มองดูอ่อนแอน่าสงสารมาก เหมือนกับเด็กทารกที่เพิ่งคลอด

เฉินฉางเซิงนั่งอยู่ข้างกายนาง ก้มศีรษะมองหน้าของนาง มองเป็นเวลานานมาก สีหน้าตั้งใจอย่างยิ่ง เหมือนกับสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง