ส่วนที่ 2 ภาคถนนสายนี้ไม่มีผู้มาก่อน ตอนที่ 13 ชีวิตถ้าเป็นเช่นแรกเจอ (7)

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตอนเช้าตื่นขึ้นมาในถ้ำหน้าผา ตาแรกก็เห็นภาพคาวเลือดน่าหวาดกลัวเช่นนั้น ต่อจากนั้นก็เป็นการหนีตาย แล้วหนีตาย แม้จะเคยมีการโต้ตอบประโยคสั้นๆ สองสามคำ แต่ความจริงแล้ว นี่ยังเป็นครั้งแรกที่เฉินฉางเซิงมีเวลามองรูปร่างของสาววัยเยาว์ชุดขาวผู้นี้อย่างจริงจัง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะโดนพิษหรือสาเหตุอื่น โหนกแก้มของสาววัยเยาว์ชุดขาวบวมผิดปกติเล็กน้อย แม้จะไม่สามารถปิดบังความสดใสสวยงามของคิ้วตานางได้ แต่แม้ไม่มีความนูนบวมเหล่านี้ ก็เป็นแค่ความสดใสสวยงามเท่านั้น…สำหรับผู้หญิงธรรมดา สดใสสวยงามเป็นคำคุณศัพท์ที่ดีมาก แต่เผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์รุ่นหลังนั้นเป็นลูกครึ่งระหว่างเผ่าจิตวิญญาณพิสุทธิ์โบราณและเผ่าปีศาจพฤกษา แต่ไหนแต่ไรมีชื่อเสียงด้านความสวยงาม มิฉะนั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่เป็นเป้าหมายของเหล่าตระกูลสูงส่งเผ่ามนุษย์และเผ่ามารที่ตะกละมากที่สุด ในเมื่อสาววัยเยาว์เป็นคนเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์ สดใสสวยงามคำนี้ ทำได้แค่บรรยายว่านางมีหน้าตาธรรมดาเท่านั้น

นางกอดสองเข่าเหมือนเด็กทารก นอนหันข้างอยู่บนที่ราบหญ้าสีเขียว ตาหลับสนิท ขนตายาวไม่กะพริบแม้แต่นิดเดียว ราวกับหลับลึกไม่ตื่น แต่เฉินฉางเซิงจำดวงตาของนางได้ นัยน์ตาคู่นั้นของนางในถ้ำหลงเหลือความประทับใจที่ลึกซึ้งอย่างยิ่งกับเขา นัยน์ตาของเขาใสสะอาดมาก ล้วนถูกลั่วลั่วและถังซานสือลิ่วชมว่าสะอาดจนนำมาส่องคนได้ นัยน์ตาของนางก็ใสสะอาดมาก แต่ไม่เหมือนเขา

นัยน์ตาของนางเหมือนน้ำฤดูใบไม้ร่วง กลับไม่ใช่น้ำทะเลสาบ แต่เป็นสีน้ำที่จางกว่าใสกว่า

ถ้วยเครื่องเคลือบสีเขียวชิ้นนั้นที่วางเงียบๆ อยู่ใต้ชายคา ฝนฤดูใบไม้ผลิที่สดใหม่ตกลงที่พื้นดินใหญ่ ไหลตามมุมชายคาตึ๋งๆ กลายเป็นทำนองพิณ ผ่านไปไม่นาน ฝนฤดูใบไม้ผลิก็ค่อยๆ หยุดลง แสงตะวันฉายออกมาอีกครั้ง ถ้วยใต้ชายคาชิ้นนั้นเหมือนกับก่อนหน้านี้ แต่ในถ้วยมีน้ำเพิ่มขึ้นมาบางส่วน ไม่มีสี กลับนำมาซึ่งความหมายของฤดูใบไม้ผลิ ไม่มีรสชาติ ราวกับชาใหม่ที่เพิ่งชงไปครั้งหนึ่ง

ใช่ ก็คือน้ำชั้นนั้นในถ้วยเครื่องเคลือบสีเขียว ใสและจืด แต่ไม่บาง

มองสาววัยเยาว์ที่หลับสนิท เฉินฉางเซิงอยากให้นางลืมตาขึ้นมาก ให้ตัวเองได้เห็นสีน้ำหลังฝนตกใหม่จากป่าลึกอีกครั้ง

ต่อจากนั้น เขานึกถึงตอนแรกเจอในถ้ำหน้าผา เคยเห็นรอบนัยน์ตาของนางปนเปื้อนเปลวไฟสีเขียวอึมครึมที่แปลกประหลาด…ถ้าคาดเดาไม่ผิด นั่นน่าจะเป็นพิษที่ฝังเอาไว้ของหนานเค่อ…พิษร้ายของขนหางนกยูง กำจัดออกไปยากมาก มิน่าในฐานะที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ถนัดในการใช้ยาหญ้าล้างพิษของเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์ ก็ถูกพิษทำให้อ่อนแอขนาดนี้ได้เช่นกัน

เฉินฉางเซิงเอามือวางไปบนชีพจร สังเกตเห็นว่าเส้นลมปราณของนางกลับว่างเปล่า แทบจะไม่เหลือปราณแท้ใดๆ ที่ยิ่งน่ากลัวกว่าคือ เลือดของนางไหลออกเยอะเกินอย่างเห็นได้ชัด ชีพจรอ่อนแอไร้แรง ถ้ายังเป็นอย่างนี้ต่อไปอีก กลัวว่านางอาจจะตายไปอย่างเงียบๆ ในความฝัน

การสังเกตนี้ทำให้เขาตื่นเต้นขึ้นมา รีบคิดวิธี เพียงแต่ยาและอาหารที่พกติดตัว ถูกเขาเอาออกมาตีคนในสนามต่อสู้เมื่อวาน เขาคิดแล้วคิดอีก เอาจิตสัมผัสส่งเข้าไปในที่ด้ามจับกระบี่ เงียบขรึมไปเป็นเวลานาน ในที่สุดก็หากล่องใบหนึ่งเจอในที่ที่ว่างเปล่าไร้สิ่งของ

นั่นเป็นกล่องใบสุดท้าย หนักหน่วงอย่างยิ่ง เมื่อครู่ปรากฏอยู่บนกองหญ้าเขียว ก็ทำให้พื้นดินจมลงไปในน้ำสามส่วน

เปิดฝากล่องออกมา ใบไม้ทองที่สว่างสะดุดตาจำนวนมากและหินผลึกครึ่งกล่องเต็มๆ ปรากฏออกมาอยู่ที่ข้างหน้าเขา ข้างบนสุดยังมีตำราบางๆ หนึ่งชุด นั่นเป็นตำรารวบรวมเคล็ดลับวิชาเพลงกระบี่แห่งเขาหลีซาน

นี่เป็นหนึ่งในของกำนัลกราบอาจารย์ตอนเข้าสำนักที่ลั่วลั่วมอบให้เขา เป็นชิ้นที่โดยตรงที่สุด และก็ล้ำค่าที่สุด

ถ้านำใบไม้ทองและหินผลึกในกล่องนี้มาซื้อบ้าน น่าจะซื้อทั้งตรอกไป่ฮวามาได้สบาย

ถ้าเขายอมทำลายตำรารวบรวมเคล็ดลับวิชาเพลงกระบี่แห่งเขาหลีซานเล่มนั้นทิ้ง ขนาดชิวซานจวินก็ยังต้องมาทำความเคารพขอบคุณเขาได้

แต่ในที่ราบทุ่งหญ้าที่อันตรายแห่งนี้ ใบไม้ทองและตำรารวบรวมเคล็ดลับวิชาเพลงกระบี่แห่งเขาหลีซานไม่มีอะไรให้เอาไปใช้ได้ เขาเอาใบไม้ทองเกือบทั้งหมดไปไว้ฝั่งหนึ่ง เอาตำรารวบรวมเคล็ดลับวิชาเพลงกระบี่แห่งเขาหลีซานวางกลับไปที่เดิม เอาหินผลึกครึ่งกล่องนั้นออกมาทั้งหมด วางกองจนเต็มข้างกายนาง จากนั้นเดินไปยังชายขอบของพื้นที่หญ้าสีเขียว จ้องแหล่งน้ำตื้นๆ เหล่านั้นแล้วเริ่มเหม่อลอย ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ อยากทำอะไร

หลังจากนั้นสักพัก มือขวาของเขาจุ่มลงไปในน้ำทะเลสาบ

เพียงแต่การหายใจและการเต้นของหัวใจของเขาในตอนนี้ช้าอย่างยิ่ง ท่าทางก็แน่นอนว่าช้าตามไปด้วย ท่าทางของมือไม่ไปพร้อมกันกับที่วางแผนอย่างสิ้นเชิง น้ำค่อยๆ กระเพื่อมเพิ่มขึ้น กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ในขณะที่กำลังรู้สึกทำอะไรไม่ถูก เขาจู่ๆ ก็สังเกตได้ว่ารอบข้างผิวน้ำข้างแขนถูกแช่เป็นเกล็ดน้ำแข็งบางๆ ชั้นหนึ่ง

เค่อต่อไป เขาดึงมือขึ้นมาจากในน้ำ กลางนิ้วมือจับงูน้ำที่อ้วนสวยตัวหนึ่งไว้แน่น งูน้ำตัวนั้นไม่ดิ้นรนใดๆ ถูกแช่แข็งอย่างเห็นได้ชัด

ตอนนี้ขนาดแรงจับงูน้ำของเขาก็ยังไม่มี แต่ไอหนาวเย็นที่กระจายออกมาจากในร่างกาย กลับสามารถช่วยเขาทำอะไรบางอย่าง

ขยับไปที่ข้างกายนางอย่างช้าๆ อีกครั้ง เขาเอากระบี่สั้นออกมาตัดหัวงูน้ำทิ้ง จากนั้นเอาไปไว้ข้างริมฝีปากนาง เริ่มกรอกเลือดเข้าไป

นางในตอนนี้ไม่รู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น แน่นอนว่าไม่รู้จักการกลืน หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีเลือดงูบางส่วนไหลออกมาจากริมฝีปาก ภาพนี้มองดูแล้วมีความคาวเลือดเล็กน้อย

หลังจากนั้นสักพัก เลือดงูน้ำก็ไหลออกมาหมดแล้ว เขาเอางูวางไปไว้ข้างตัว มองหน้าสาววัยเยาว์ เอาผ้าเช็ดหน้าออกมาจากชายเสื้อ เริ่มเช็ดให้นางอย่างละเมียดละไม

แม้จะอยู่ในเวลานี้ เขาก็ยังคงใช้วิธีใช้ชีวิตอย่างเช่นในเวลาปกติ

เลือดของงูน้ำอุดมด้วยไฟ เหมาะสมที่จะนำมาเสริมเลือดที่สุด อีกทั้งบวกกับกองหินผลึกจำนวนมากข้างกายนาง อย่างน้อยก็น่าจะมั่นใจได้ว่านางจะไม่ตายไปในความฝัน

เวลานี้เฉินฉางเซิงเพิ่งจะวางใจลงได้บ้าง นั่งอยู่ข้างกายนาง มองหญ้าสีเขียวรอบข้างที่ไม่สามารถมองทะลุออกไปได้ เริ่มเหม่อลอยอย่างแท้จริง

ขาดยา ไม่สามารถเสริมเลือดโดยตรง ยากที่จะรักษานางให้หาย อีกทั้งสถานการณ์ของเขาก็ย่ำแย่มากเช่นกัน

มังกรดำหลับลึกอยู่ในน้ำทะเลสาบนอกแดนลี้ลับ เกล็ดหิมะหนาวเย็นที่ปล่อยออกมาซ่อมแซมบาดแผลบนอวัยวะภายในของเขาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็แก้ไขได้เฉพาะหน้าเท่านั้น

ในเวลานี้เขาอ่อนแอมาก การเต้นของหัวใจและการหายใจช้าอย่างยิ่ง คล้ายกับสัตว์เลือดเย็นที่อยู่ในสถานการณ์ก่อนเข้าฤดูหนาวอย่างมาก

นี่หมายความว่าฤดูกาลจำศีลใกล้เข้ามาแล้ว

วิธีที่มังกรดำนำมาช่วยเหลือเขาก็คือจำศีล

จำศีลก็คือการนอนหลับ

ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดก็คือนอน การนอนครั้งใหญ่ นอนจนกระทั่งชั่วฟ้าถล่มดินทลาย

แต่เขานอนไม่ได้ เพราะว่านางนอนอยู่ ฉะนั้นเขาจำเป็นต้องตื่นอยู่

ความรู้สึกเช่นนี้ทรมานมาก

……

……

อยากนอนแต่นอนไม่ได้ ภาพนั้นช่างสวยงามปานใด ในฐานะที่เป็นวิธีทำโทษที่มีประโยชน์ที่สุด คงจะจินตนาการได้ว่ามันสุดทนอย่างไร เฉินฉางเซิงเพื่อที่ให้หนังตาที่หนักไม่ปิดลงมา วิริยะอุตสาหะทำการทดลองพยายามหลากหลายแบบ ตบหน้า ล้างหน้า หยิกขา ลองตั้งสมาธิ จนท้ายที่สุด จิตสัมผัสของเขาตกไปที่หินสีดำก้อนนั้น ถึงจะจู่ๆ ตื่นขึ้นมาอย่างแท้จริง

หินสีดำและสมุดจดบันทึกวางไว้ด้วยกันอยู่ที่มุมเปล่าเปลี่ยวอย่างยิ่งในโลกนั้นของเขา ถ้าไม่ใช่ตั้งใจค้นหา คงจะเสียโอกาสไปอย่างง่ายดาย หรืออาจเป็นเพราะสาเหตุนี้ อีกทั้งแม้จะเป็นเวลาที่ใกล้ตาย ในสติของเขาก็ยังรู้สึกว่าล้ำค่า ฉะนั้นเมื่อคืนเขาจึงไม่ได้นำก้อนหินสีดำและสมุดจดบันทึกไปรวมกับสิ่งของเหล่านั้นโยนเข้าไปในปีกแสงสองสายนั้นด้วยกันเพื่อช่วยให้ตัวเองรอดชีวิต

ตั้งแต่เมืองซีหนิงถึงจิงตู การถอนสัญญาสมรสไม่เคยเป็นเรื่องสำคัญ สำหรับเขาแล้ว สิ่งที่สำคัญคือการสอบใหญ่ เพราะมีเพียงอย่างหลังนี้ เขาถึงจะนั่งสงบนิ่งในหอหลิงเยียนได้หนึ่งคืน เพื่อการนี้เขาใช้เวลาและพละกำลังสติปัญญาไปมหาศาล สุดท้ายถึงจะทำเป้าหมายที่มองดูไม่น่าจะเป็นไปได้สำเร็จ แต่แล้วเมื่อเทียบกับสิ่งที่ออกแรงไปในก่อนหน้านี้ ภายใต้สภาพผลลัพธ์ที่เขาได้รับในหอหลิงเยียนกลับมีความน่าสังเวชกว่าเล็กน้อย เขาหาความลับในการท้าลิขิตพลิกโชคชะตาไม่เจอ หาเจอแค่ก้อนหินสีดำก้อนนี้และสมุดจดบันทึก

ฉะนั้นเขาจึงรักษาก้อนหินสีดำและสมุดจดบันทึกนี้เอาไว้อย่างดีเป็นพิเศษ หวังว่าจะหาอะไรที่มากกว่านั้นเจอ ความจริงก็เหมือนจะเป็นเช่นนี้ คืนก่อนเข้าสุสานเทียนซูชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ แผ่นป้ายหินเหล่านั้นลอยอยู่ในความทรงจำของเขา ตั้งแต่ต้นจนจบกลับไม่อาจแต่งเติมท้องฟ้าดวงดาวแหล่งนั้นให้เต็มได้ และในเวลานั้นหินสีดำก็แสดงบทบาทเป็นตัวละครที่สำคัญอย่างยิ่ง ช่วยให้เขาทะลุไปถึงขั้นปลายของระดับทะลวงอเวจีได้ในคราวเดียว แล้วสมุดจดบันทึกเล่มนี้ล่ะ?

ตำแหน่งมันตรงกัน นี่เป็นประโยคแรกในสมุดจดบันทึก และก็เป็นประโยคที่เขาจำได้แม่นสุด

เขามองไปยังที่ราบทุ่งหญ้า ความเขียวเข้มข้นจนแยกไม่ออก รับรู้และรู้สึกถึงประโยคนี้อย่างเงียบๆ ไม่ได้สังเกตเห็นอะไร กลับรู้สึกว่าจู่ๆ เมื่อคืนตัวเองและเจ๋อซิ่วกระโดดจากยอดหน้าผาเข้าไปในสระเยือกเย็น สุดท้ายกลับว่ายออกมาจากพื้นผิวทะเลสาบ ตอนที่เขาเพื่อที่จะหลบหลีกการไล่ฆ่าของสาวรับใช้คู่ของหนานเค่อแล้วจมลงไปที่ใต้ทะเลสาบ สุดท้ายกลับมาที่ฝั่งนี้กลับกระโดดเข้าไปในท้องฟ้าค่ำคืน…ตำแหน่งมันตรงกัน อีกทั้งตรงข้ามกัน?

โลกในสวนโจวนี้ไม่ใช่เป็นพื้นราบ แต่เป็นตำแหน่งพื้นราบสองผืนประกอบกันขึ้นมา? ใช้หน้าผาภูเขาที่อยู่ต้นน้ำที่สุดสายนั้นเป็นขอบเขต ภูเขาทะเลสาบสว่างไสวฝั่งนั้นเป็นโลกหนึ่ง ภูเขาที่ราบราบทุ่งหญ้าฝั่งนี้เป็นโลกอีกโลกหนึ่งที่ตรงกัน ถนนเชื่อมโยงระหว่างสองโลกก็คือสระเยือกเย็นสระนั้น รวมถึงสระที่อยู่หน้าเขาอัสดงสิบกว่าลี้แห่งนั้นด้วย?

เฉินฉางเซิงคิดคำนวณโลกเหล่านี้อยู่ในใจอย่างเงียบๆ ต่อจากนั้น เขาก็นึกถึงเมื่อวานว่าเพราะเหตุใดตนเองและเจ๋อซิ่วถึงไปโลกของภูเขาหน้าผาฝั่งนั้นด้วยกัน เพราะเหตุใดถึงกลับไปที่โลกด้านหน้าของสวนโจวจากโลกฝั่งนั้น…นั่นล้วนเป็นเพราะเจตจำนงกระบี่สายหนึ่ง ตอนแรกสุดเดินตามเจตจำนงกระบี่ สุดท้ายกลับคล้ายจะถูกเจตจำนงกระบี่สายนั้นนำพาออกไป

เมื่อคืนเขาใกล้ตายไปที่ส่วนลึกของทะเลสาบ วินาทีสุดท้ายเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติ จะลืมได้อย่างไร

เขาก้มศีรษะมองลูกโลหะที่อยู่ในฝ่ามือ ลูบเบาๆ ผุดความคิดเล็กน้อย

ตามจิตสัมผัสที่ขยับเล็กน้อย เสียงเสียดสีและเสียงปะทะที่ละเอียดแน่นดังขึ้นชุดหนึ่ง จู่ๆ ร่มกระดาษทองก็ปรากฏในมือของเขา

หลังจากเงียบขรึมสักพัก เขาก็ยืนขึ้นมา เอาร่มกระดาษทองยื่นไปเบื้องหน้า

ร่มกระดาษทองไม่มีการตอบสนองใดๆ

เขาหมุนขยับร่างกาย ร่มกระดาษทองหมุนช้าๆ ในท้องฟ้า นำลมหลายสายขึ้นมา

ตอนที่ร่มกระดาษทองชี้ไปยังทิศทางที่เขาคิดว่าเป็นสถานที่บางแห่งทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ จู่ๆ ก็หยุดลง

ไม่ใช่เขาทำให้ร่มกระดาษทองหยุดลง แต่ร่มกระดาษทองราวกับไม่อยากขยับอีกแล้ว สายลมบนกองหญ้าสีเขียวจู่ๆ ก็หายไปอย่างไร้วี่แวว

การสั่นสะเทือนที่เบาเล็กน้อยแต่ชัดเจน ส่งจากส่วนหัวของร่มไปยังซี่โครงร่ม ส่งไปยังด้ามจับร่ม ส่งไปในมือเขา สุดท้ายส่งไปในใจเขา

เจตจำนงกระบี่สายหนึ่งปรากฏอยู่ที่บริเวณไกล

เจตจำนงกระบี่สายนี้เบาบางมาก ก็เหมือนกับความรู้สึกที่เขาได้รับที่ข้างสระเยือกเย็นเมื่อวาน แต่รุนแรงมาก ทำให้ความรู้สึกของเขาเกิดความเกรงกลัวออกมาหลายส่วน

เจตจำนงกระบี่สายนั้นไร้เสียงไร้ลม ราวกับหยุดอยู่ตรงนั้นมาหลายปีแล้ว แต่การปรากฏตัวก็แทนการเรียกร้องอย่างหนึ่ง

เฉินฉางเซิงนึกถึงภาพเมื่อคืนในช่วงเวลาสุดท้ายที่ร่มกระดาษทองนำพาตัวเองวิ่งวุ่น พูดอย่างงึมงำว่า “เจตจำนงกระบี่สายนี้กำลังหาเจ้าอยู่หรือ?”

หลังเงียบขรึมสักพัก เขามองร่มกระดาษทองพลางพูดว่า “หรือว่า…เจ้าก็คือสิ่งที่นำมาใช้ค้นหาเจตจำนงกระบี่สายนี้?”