ช่องว่างในที่ราบทุ่งหญ้าเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา นอกจากสัตว์อสูรที่อาศัยอยู่ข้างในตลอดเหล่านั้นแล้ว สิ่งมีชีวิตปราดเปรื่องเปี่ยมด้วยสติปัญญาที่มาจากข้างนอกก็ยากที่จะทำความเข้าใจรูปแบบการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ยังคงเป็นประโยคเดิม ไม่มีทิศทาง แน่นอนว่าไม่สามารถหาทางออกได้ ตอนที่เฉินฉางเซิงกำลังปวดหัวกับเรื่องนี้ ร่มกระดาษทองจู่ๆ ก็ชี้ไปทิศทางหนึ่ง…เดินไปในทางนั้นที่ไม่น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด กระทั่งอาจไม่ถึงขั้นเป็นทางเลือกที่ถูกต้อง แต่ตอนนี้มีทิศทางหนึ่ง อย่างไรก็ดีกว่าก่อนหน้านี้ที่เดินอย่างไร้จุดหมาย ก็เหมือนกับเป็นโจทย์ข้อหนึ่ง เจ้าขบคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก จู่ๆ เพื่อนร่วมห้องบอกคำตอบหนึ่งแก่เจ้า เจ้าไม่แน่ใจว่าเขากำลังหลอกเจ้าหรือปลอบเจ้า แต่นอกจากเอาคำตอบนี้ลอกลงไปในข้อสอบ เจ้ายังมีตัวเลือกอะไรอีก? อีกทั้งเจตจำนงกระบี่นั้นมีอยู่จริง ร่มกระดาษทองมีความแค้นอะไรถึงต้องพาเขาไปยังหนทางตายให้ได้?
ในตอนนี้เมื่อเฉินฉางเซิงยืนยันทิศทางการเดินได้ แม้ร่างกายยังคงอ่อนแอ ความอยากนอนเหมือนอสรพิษม้วนกดทับร่างกายของเขา แต่สภาพจิตใจสงบขึ้นมามาก นั่งลงที่ข้างสวีโหย่วหรง แผ่นหลังพิงหินผลึก ฝืนง่วง จ้องตาของนาง รอนางตื่น
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร ขนตาของสวีโหย่วหรงสั่นเล็กน้อย แล้วก็ตื่นขึ้นมา สีน้ำใสหลังฝนตกใหม่สองสายนั้นเข้าสู่สายตาของเฉินฉางเซิงอีกครั้ง ทำให้เขาชะงักไร้คำพูดเล็กน้อย เหมือนกับตอนที่เฉินฉางเซิงตื่นขึ้นมาในถ้ำหน้าผา สองคนห่างกันใกล้มาก ดวงตาจ้องมองซึ่งกันและกัน แต่ในสายตาของสาววัยเยาว์ไม่ปรากฏความลนลานตกใจ ไม่มีความเขินอาย ไม่มีความระมัดระวัง ยิ่งไม่มีความหวาดกลัว มีเพียงความสงบ
ดวงตาของนางใสสะอาดมาก ไม่ปนเปื้อนฝุ่นละอองและเรื่องราวประสบการณ์ ราวกับทารกคลอดใหม่ แต่ความสงบนี้ กลับเหมือนมีความรู้สึกที่เจนจัดประจักษ์เรื่องราวบนโลก ผ่านประสบการณ์มานานยาวนานชนิดหนึ่ง เหมือนกับคนชราชมสายฝน สองความรู้สึกนี้ไม่ปะทะกัน กลับหลอมรวมด้วยกัน กลายเป็นแรงดึงดูดใจที่มหัศจรรย์อธิบายยากชนิดหนึ่ง
อาจเป็นเพราะเหนื่อยล้าเกินไป หรืออาจเป็นไปได้ว่าเพราะดวงตาคู่นี้น่าหลงใหลเกินไป เฉินฉางเซิงไม่ได้ขยับสายตา
หนุ่มสาวนอนอยู่กลางกองหญ้าเขียว ห่างกันไม่ถึงหนึ่งนิ้ว จ้องมองซึ่งกันและกันอย่างเงียบๆ
แต่อย่างไรก็เป็นไปไม่ได้ที่จะจ้องซึ่งกันและกันอย่างนี้ตลอดไป สิ่งที่น่าตลกก็คือ คนที่เขินอายเล็กน้อยหรือตื่นเต้นขึ้นมาก่อน คือเฉินฉางเซิง
เขาย้ายสายตาด้วยความอึดอัดเล็กน้อย มองไปยังดงหญ้าที่อยู่บริเวณไม่ไกล พูดว่า “เจ้าตื่นแล้ว?”
แน่นอนว่านางตื่นแล้ว ประโยคนี้ก็คือไม่มีคำพูด จึงหาอะไรมาพูด ก็เหมือนกับเจ๋อซิ่วที่อยู่อีกฝั่งของที่ราบทุ่งหญ้า เฉินฉางเซิงก็ไม่ถนัดการพูดจาเช่นกัน โดยเฉพาะเวลาที่อยู่กับผู้หญิง แต่ประโยคนี้มีความหมายอีกอย่างจริงๆ
สวีโหย่วหรงส่งเสียงอืมเสียงหนึ่งเบาๆ
เฉินฉางเซิงพูดว่า “เช่นนั้นก็เปลี่ยนกะเถอะ”
สวีโหย่วหรงยักคิ้วเล็กน้อย “หือ?”
เฉินฉางเซิงพูดว่า “เจ้านอนมานานขนาดนี้ ตาข้านอนสักพัก”
ในถ้ำหน้าผา เขางัวเงียตื่นมาจากการนอน รู้ว่าถูกสาววัยเยาว์ผู้นี้ช่วยชีวิตเอาไว้ ต่อจากนั้น สาวผู้นี้ทิ้งประโยคหนึ่งไว้ แล้วก็เข้าสู่การหลับลึกที่ยาวนาน นี่ทำให้เขารู้สึกถึงความกดดันอันใหญ่หลวง ราวกับโลกของเขาและนางสองคนล้วนอยู่บนบ่าของเขา จนกระทั่งตอนนี้ เขามั่นใจว่านางตื่นอย่างแท้จริง ถึงจะสบายใจขึ้นมาหน่อย
เขาเอาโลกของทั้งสองคนคืนในกับนางที่ปลอดโปร่งอย่างสมบูรณ์ ฉะนั้นเขาก็น่าจะพักผ่อนได้สักพัก พอคิดเช่นนี้ ความง่วงที่ราวกับคลื่นน้ำจู่ๆ ก็ท่วมท้นทุกอณูรูขุมขน กล้ามเนื้อ กระดูก ตั้งแต่ยอดศีรษะถึงนิ้วเท้า รวมถึงสภาพจิตใจ ไม่รอสวีโหย่วหรงตอบรับแต่อย่างใด เขาก็หลับตาลง เริ่มหลับลึก หรือจะพูดว่าสลบไปก็ได้
ก็เหมือนกับเฉินฉางเซิงที่นอกถ้ำหน้าผา สวีโหย่วหรงไม่มีการเตรียมพร้อมใดๆ กันการหลับลึกของเขา ชะงักสักพักถึงจะมีสติกลับมา ยันกองหญ้าเขียวแล้วลุกขึ้นมานั่งอย่างลำบาก ถึงจะสังเกตเห็นว่ามีหินผลึกล้ำค่าจำนวนมากกองอยู่ข้างกาย มองไปยังรอบๆ สี่ทิศ สังเกตว่าที่จริงแล้วตัวเองมาถึงในที่ราบทุ่งหญ้าแห่งนั้น นี่ทำให้นางเงียบขรึมเป็นเวลานานอีกครั้ง
ในที่สุดก็เดินเข้ามาในที่ราบทุ่งหญ้าแห่งนี้อยู่ดี แล้วยังจะมีความเป็นไปได้ในการเดินออกไปหรือไม่?
นางพึ่งพาสภาพจิตใจที่ทะลุปรุโปร่ง เอาความคิดวุ่นวายเหล่านี้ระบายออกไปจากสมอง เริ่มถอดจิตสังเกตด้วยตนเอง สังเกตว่าแม้สายตาตอนนี้จะชัดเจนกว่าตอนเช้าบางส่วน แต่พิษที่หนานเค่อฝังลงไปในร่างกายของตัวเองไม่ได้จางหายไป ยังคงแพร่เข้าไปในร่างกายและสมองของนางอย่างต่อเนื่อง ปัญหาใหญ่สุดก็คือเส้นเลือดมีสัญญาณความแห้งแล้งอย่างเห็นได้ชัด
ไม่ใช่ปราณแท้ผลาญมากเกินไป แม้จะเป็นอย่างนี้ก็จริง แต่เลือดใกล้จะไหลหมดแล้ว
เลือดเป็นเหตุผลของการมีชีวิตอยู่ ไม่มีเลือด ก็จะไม่มีเหตุในการมีชีวิตอยู่ ความจริงแล้ว ถ้าพิจารณาตามสภาพบาดแผลในตอนเช้า ตอนนี้นางน่าจะยังสลบต่ออยู่ ไม่น่าจะตื่นขึ้นมา…แต่ครั้นตื่นมา ร่างกายยังคงทำงานต่อไปได้ ต้องการเลือดที่มากกว่านี้ แต่นางตื่นขึ้นมาแล้ว แปลว่าสภาพดีขึ้นหน่อย
นางเห็นตัวงูพิการที่อยู่บนกองหญ้า คิดวิเคราะห์เล็กน้อย พอจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ในสายตาที่มองไปยังเฉินฉางเซิงอีกครั้งมีความมิตรมากขึ้นมาส่วนหนึ่ง เป็นผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์เหมือนกัน ถูกเผ่ามารไล่ฆ่า ช่วยเหลือซึ่งกันและกันเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล เฉินฉางเซิงใช้ความจริงพิสูจน์ตัวเองแล้วว่าไม่ใช่คนที่ทิ้งสหาย ฉะนั้นนางก็ควรที่จะมีการตอบแทนบ้าง มือขวาวางลงที่จุดชีพจรเบาๆ
ชีพจรของเฉินฉางเซิงเต้นช้าเล็กน้อย ช้ากว่าคนปกติมากกว่าสามเท่า แต่สภาพชีพจรเสถียรมาก แม้จะอ่อนแอยุ่งเหยิงเล็กน้อย แต่ต่างกับคนใกล้ตายอย่างสิ้นเชิง
ช่วงรุ่งอรุณตอนอยู่ในดงต้นอ้อ นางเคยจับชีพจรให้เขา ในขณะเดียวกันได้ใช้ถาดดาวโชคชะตาคำนวณ ทั้งๆ ที่ชีวิตคนนี้ไม่ยืนยาว ทำไมตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่อย่างดี? นางคิดแล้วคิดอีก รู้สึกว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับความเหน็บหนาวของหยินบริสุทธิ์ยิ่งที่อยู่ในร่างกายเขาสายนั้น นางมองไปยังเฉินฉางเซิง ใจคิดต้าลู่บ่มมังกรซ่อนเสือ*อย่างที่คิด พรรคภูเขาหิมะไร้พ่ายสมัยนั้นถึงผ่านมาเนิ่นนานแล้วก็ยังคงห้ามดูถูก
และในเวลาเดียวกันกับที่นางมองไป ท่ามกลางหญ้าสีเขียวมีเสียงกรนดังขึ้น แบกนางหนีตายด้วยร่างกายที่บาดเจ็บสาหัสมาเป็นเวลานาน อีกทั้งยังต้องต่อสู้กับวิชาจำศีลของมังกรดำ เฉินฉางเซิงเหนื่อยล้าถึงขั้นสุดมานานแล้ว ตอนนี้ผ่อนคลายลงมา กลับนอนอย่างหอมหวานอย่างหาที่เปรียบมิได้ ไม่ต้องพูดถึงเสียงกรนดั่งฟ้าผ่า แม้จะเป็นเสียงฟ้าผ่าจริงก็คงจะไม่สามารถทำให้เขาตื่นได้
เฉินฉางเซิงในห้วงฝันหวาน ขยับปากเป็นครั้งคราว เหมือนกินอะไรอยู่ในฝัน อีกทั้งยังกำมือ กระทืบเท้าเป็นครั้งคราว มองดูแล้วเหมือนเด็กทารกมาก ทำให้สวีโหย่วหรงทนไม่ไหวหัวเราะออกมา
และแล้วในเวลานี้ ส่วนลึกที่ราบทุ่งหญ้า ถ้าพูดให้แม่นยำกว่านี้ก็คือที่บริเวณห่างไกล พลันมีเสียงพิณส่งมา
สีหน้าสวีโหย่วหรงไม่เปลี่ยน ในสายตากลับเกิดความระมัดระวัง
นางไม่ลืมว่าผู้เฒ่าดีดพิณท่านนั้นเป็นผู้เฒ่าของเผ่าพ่อมดมังกรเทียน และสิ่งที่เผ่าพ่อมดมังกรเทียนถนัดมากที่สุดก็คือการใช้พิษและสัตว์อสูร…ในช่องว่างของที่ราบทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหลนั้นบิดเบี้ยว นางตื่นมาแค่สักพัก ก็เห็นความแปลกประหลาดในนั้น แต่ช่องว่างที่บิดเบี้ยวไม่สามารถกั้นเสียงได้ อีกทั้งสัตว์อสูรที่ซ่อนอยู่ในที่ราบทุ่งหญ้าเหล่านั้น แน่นอนว่าต้องมีบางวิธีที่จะสามารถเดินทางได้อย่างอิสระ
สายตาที่ราวกับน้ำตกทอดลงบนผิวน้ำ ความหนาวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากความสงบบนผิวน้ำค่อยเกิดระลอกคลื่น คลื่นน้ำที่ไม่ค่อยชัดเจนกระจายไปยังรอบทิศ ราวกับมีหนอนตัวเล็กจำนวนมากกำลังเดินอยู่ แต่ความจริงแล้วบนผิวน้ำไม่มีอะไรทั้งสิ้น ระลอกคลื่นเหล่านี้เกิดจากบริเวณที่ห่างไกลมาก หรือไม่ก็ใต้ดินที่ลึกมาก
จิตสัมผัสที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งสายหนึ่ง กระจายไปยังบริเวณห่างไกลตามสายตาของนาง เข้าไปยังดงหญ้าที่แน่นขนัด รวมถึงโคลนเปียกแฉะใต้ดิน
ความรู้สึกนั้นแต่ไหนแต่ไรมามีสองด้าน ด้วยเหตุนี้ ชีวิตที่อยู่ในดงหญ้าแน่นเหล่านั้นรวมถึงที่ส่วนลึกใต้โคลนตม จึงรู้สึกถึงไอพลังปราณของนางอย่างชัดเจน
นั่นเป็นไอพลังปราณที่มาจากบรรพกาล ยิ่งใหญ่มีอำนาจอย่างไร้ที่เปรียบ
ในที่ราบทุ่งหญ้าที่บริเวณห่างไกลเกิดเสียงดังที่ไม่สบายใจสองสามเสียง จากนั้นเป็นเสียงเสียดสีที่เล็กละเอียดจำนวนมาก การสั่นสะเทือนที่มาจากใต้ดินกำลังห่างไกลไปอย่างเงียบๆ ไอพลังปราณของสวีโหย่วหรงกระจายไปยังรอบทิศของที่ราบทุ่งหญ้าด้วยวิธีกดทับชนิดหนึ่ง สัตว์อสูรจำนวนมากที่ตื่นตระหนกด้วยเสียงพิณแล้วตามหาเหยื่อไปทั่วต่างพากันหลบหนีกระจาย แต่…ยังมีสัตว์อสูรจำนวนมากที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงทิศทางของพวกมัน
ไอพลังปราณของสวีโหย่วหรง เป็นที่สูงส่งที่สุดและยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ครั้นนางอยู่ในสภาพที่อ่อนแอ สำหรับสัตว์อสูรเหล่านี้ นับเป็นสิ่งที่หอมหวนที่สุด
ถ้าตอนนี้มีคนสามารถมองจากท้องฟ้าไปยังที่ราบทุ่งหญ้า ก็จะมองเห็นภายในระยะหลายสิบลี้ ซ่อนเงาหลังของสัตว์อสูรเอาไว้จำนวนมากราวกับน้ำท่วม ค่อยๆ ล้อมมายังที่ที่สวีโหย่วหรงและเฉินฉางเซิงอยู่ สิ่งที่ทำให้รู้สึกขนลุกคือ สัตว์อสูรจำนวนมากขนาดนี้ขณะกำลังเดินอยู่ กลับไม่มีเสียงออกมาแม้แต่นิดเดียว
ในกองหญ้าสีเขียวเกิดลมสายหนึ่ง ขนปีกที่ขาวบริสุทธิ์ราวกับหิมะคู่หนึ่งปรากฏขึ้นที่ด้านหลังนาง
ก่อนหน้านี้ตอนหลับลึก ปราณแท้ของนางได้รับการฟื้นฟู และก็ฟื้นฟูเลือดไปบางส่วน ถูกนางใช้ไปในตอนนี้จนหมดสิ้นอย่างไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียว
นางมองไปยังเฉินฉางเซิง เตรียมยื่นมือจับสายคาดเอวของเขา แต่แล้วไม่รู้ทำไม กลับหยุดที่กลางทาง
……
……
ณ ที่ราบทุ่งหญ้าเส้นรอบวงขนาดหลายสิบลี้ ถูกสัตว์อสูรนับหมื่นหัวแปรเปลี่ยนเป็นสนามสู้รบ แต่แล้วความอันตรายที่แท้จริง อยู่นอกสนามต่อสู้ อยู่ในที่ที่ไกลกว่านี้
ท่ามกลางหญ้าน้ำที่แน่นขนัดเหล่านั้น ทิ้งเงาอึมครึมที่เข้มข้นอย่างยิ่งบนผิวน้ำ ในเงาอึมครึมซ่อนปีศาจแร้งเอาไว้หลายร้อยตัว
ปีศาจแร้งเหล่านั้นมีขนเทาเต็มตัว จะงอยปากเงาวับแหลมคมกว่ากระบี่ธรรมดาเสียอีก
ที่น่ากลัวกว่าคือสายตาของปีศาจแร้งเหล่านี้ เย็นชาและโหดเหี้ยม ความเร็วในการบินสูงอย่างยิ่ง อาศัยอยู่ในท่ามกลางภูเขาตะวันออกเฉียงใต้ในโลกภายนอก ปีศาจแร้งตัวหนึ่งสามารถสังหารผู้บำเพ็ญเพียรขั้นถอดจิตธรรมดาได้ ดีที่ปีศาจแร้งที่อยู่ที่ดินแดนต้าลู่ตะวันออกมีจำนวนน้อยมาก แต่ใครจะคาดคิดได้ ในสวนโจวมีมากมายปานนี้
ปีศาจแร้งหลายร้อยตัว ไม่มีสักตัวที่ขยับขนปีก เพียงแต่จับจ้องยังบริเวณหนึ่งในส่วนลึกที่ราบทุ่งหญ้า สายตาเย็นชากระหายเลือด เงียบเชียบจนทำให้คนรู้สึกหวาดกลัว
เสียงพิณที่ลอยมาจากที่ไกลยิ่งกว่าสายนั้น เงาแร้งสีเทาอยู่ท่ามกลางหญ้าน้ำ แสดงให้เห็นความอึมครึมอย่างยิ่ง
……
……
สวีโหย่วหรงหันหลังไป มองไปยังบริเวณไกลของที่ราบทุ่งหญ้า
นางไม่รู้ว่าในที่ฝั่งนั้นซ่อนบางสิ่งที่อันตรายอย่างไรเอาไว้ และก็ไม่ได้เอาถาดโชคชะตาออกมา มีเพียงความรู้สึก นางรู้ว่าบินหนีไม่ใช่ตัวเลือกที่ดี ตอนนี้นางบาดเจ็บหนักรักษาให้หายยาก ไม่อาจแสดงความเร็วออกมาได้ทั้งหมด อีกทั้งยังไม่สามารถแยกแยะทิศทางในที่ราบทุ่งหญ้าได้ชัดเจน ถ้าเลือกที่จะบิน เป็นไปได้ที่อาจจะตายในท้องฟ้าแห่งนี้ได้
ท้องฟ้าสีฟ้าเข้มบนที่ราบทุ่งหญ้าแห่งนี้ มองดูแล้วกว้างใหญ่ไพศาลไม่มีที่สิ้นสุด สามารถบินได้อย่างอิสระ แต่ความจริงอันตรายมาก
ถ้านางคนเดียว อาจจะหนีไปได้สำเร็จ แต่ตอนนี้มีชายหนุ่มที่กำลังนอนหลับอยู่ข้างหลังนาง กรนเสียงดังดั่งฟ้าผ่า
*บ่มมังกรซ่อนเสือ ผู้มีความสามารถที่ยังไม่เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาสาธารณชน ยอดฝีมือที่ยังไม่ถูกรับรู้