ตอนที่ 231 อ่อนแอจนปลิวลม 

 

 

 

 

 

“ลุกขึ้นเถิด” พระสุรเสียงก้องกังวานไปทั่วพระตำหนัก ทั่วทั้งบริเวณล้วนเงียบสงบ เสียงนี้ราวกับเป็นเสียงระฆังที่ดังในยามเช้า ทิ้งไว้เป็นร่องรอยภายในใจของทุกคน 

 

 

หลังจากที่ฮ่องเต้ประทับนั่งลงแล้วก็เงยพระพักตร์ขึ้นเล็กน้อยมองไปรอบบริเวณ จากนั้นจึงกล่าวขึ้นด้วยความนิ่งงันว่า “เหตุใดถึงไม่เห็นองค์ชายเป่ยเจียงเล่า งานเลี้ยงนี้ก็จัดขึ้นเพื่อเขาแล้วเหตุใดเขาถึงไม่ปรากฏตัว” 

 

 

“ทูลฝ่าบาท คิดว่ายังคงมาไม่ถึง บ่าวจะส่งคนไปตามเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ” หวังเซิ่งเต๋อตอบ 

 

 

“ดูเหมือนเสวียนจี เจ้าสองและเจ้าสามก็ยังมาไม่ถึงเช่นกัน จริงสิ เซิ่นซื่อจื่อเล่า เหตุใดวันนี้ถึงได้หายไปหลายคนนัก เจ้าได้ส่งเทียบเชิญให้พวกเขาหรือไม่” 

 

 

“ฝ่าบาทได้โปรดตรวจสอบพ่ะย่ะค่ะ บ่าวไหนเลยจะกล้าขัดราชโองการ” หวังเซิ่งเต๋อตกใจ ครั้นแล้วถึงได้ปรับสีหน้าแล้วเอ่ยตอบว่า “องค์หญิงใหญ่ทรงรับสั่งว่าจะเสด็จมากับเริ่นกุ้ยเฟยและเจี่ยซูเฟย ส่วนทางเซิ่นซื่อจื่อนั้น…”  

 

 

อวี้อาเหราเอียงหูรอฟัง 

 

 

“คนจากจวนเซิ่นอ๋องรายงานว่า ร่างกายของเซิ่นซื่อจื่อไม่ค่อยแข็งแรง เช่นนั้นจึงไม่สามารถมาร่วมงานได้พ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“เซิ่นชื่อจื่อป่วยอีกแล้วหรือ” ฮ่องเต้เลิกพระขนงขึ้น ไม่ทราบว่าในดวงพระเนตรนั้นกำลังฉายความรู้สึกใด 

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ” หวังเซิ่งเต๋อพยักหน้า 

 

 

“ให้หมอหลวงไปดูอาการที่จวนเซิ่นอ๋องด้วย” ฮ่องเต้รับสั่ง 

 

 

“บ่าวเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หวังเซิ่งเต๋อรับคำก่อนจะเดินอ้อมไปด้านหลัง จากนั้นฮ่องเต้ถึงค่อยเงยหน้าขึ้นมองไปทางทุกคนอีกครั้ง พลางตรัสขึ้นว่า “วันนี้องค์ชายจากเป่ยเจียงเสด็จมาจากแดนไกล เราจึงตั้งใจจะจัดงานเลี้ยงเพื่อต้อนรับเขา ในวังนั้นได้จัดมหรสพไว้มากมาย หากคุณหนูจากจวนใดมีความสามารถทางด้านร้องรำก็เชิญเข้ามาร่วมสนุกได้” 

 

 

หลังจากตรัสจบ ขันทีก็ส่งสายตาทันที นางกำนัลจำนวนหนึ่งก็ยกอาหารเข้ามา ดูทั้งสวยงามและน่ารับประทาน 

 

 

ภายในตำหนักตกแต่งประดับประดาอย่างหรูหรางดงาม พระตำหนักที่ประดับประดาไปด้วยทองคำและอัญมณีดูไม่มีชีวิตชีวา ทั่วทั้งบริเวณเงียบสงัด ไม่มีเสียงจอแจจนเกิดไปนัก หลังจากยกอาหารมาวางแล้ว ที่ด้านนอกก็มีเสียงแหลมเล็กของขันทีดังขึ้น เริ่นกุ้ยเฟยและเจี่ยซูเฟยที่แต่งกายอย่างหรูหราก็เดินเข้ามาพร้อมกัน ขนาบข้างด้วยจวินเสวียนจีและจวินไหวซ่ง ดูช่างงดงามไร้ที่ติ 

 

 

จวินเสวียนจีสวมอาภรณ์ตัวยาวที่ทำจากดิ้นเงินดิ้นทอง ทว่าเพียงชุดเรียบง่ายนั้นนางกลับแต่งออกมาได้อย่างโดดเด่นยิ่งนัก เมื่ออยู่ท่ามกลางผู้คนแล้วดูสะดุดตา มองคราแรกก็สามารถแยกนางออกได้แล้ว เครื่องประทินโฉมที่บางเบาแต่สง่างามยิ่งทำให้นางดูงดงามขึ้นอีกหลายส่วน ทั่วทั้งร่างเปล่งประกายของชนชั้นสูง ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะสามารถเลียนแบบได้ 

 

 

อย่างเช่นจวินไหวซ่งที่อยู่ด้านข้างนางนั้นก็ถือว่าเป็นตัวอย่างที่ดี ใบหน้าที่เดิมทีไม่โดดเด่นเลยแม้แต่น้อย ยามนี้เมื่ออยู่ข้างจวินเสวียนจีแล้วก็ยิ่งดับแสงเข้าไปอีก 

 

 

ทว่าด้านหลังของจวินไหวซ่งนั้นกลับยังมีหญิงสาวร่างบอบบางในอาภรณ์สีฟ้าอ่อนอีกนางหนึ่ง นางก้มหน้าก้มตาลงด้วยท่าทีสำรวม ดูบอบบางราวกับว่าหากมีสายลมพัดผ่าน ร่างของนางก็สามารถลอยปลิวไปตามลมได้ ใบหน้าเล็กเรียวของนางนั้นดูงดงามสะคราญ ระหว่างคิ้วมีแต้มสีแดงเข้มอยู่หนึ่งจุด ร่างกายอรชรดูงดงามยิ่งนัก 

 

 

อวี้อาเหรามองนางจนตกตะลึง “นางเป็นใครกัน” 

 

 

“คุณหนูคงจะลืมแล้วกระมัง นางก็คือองค์หญิงสาม จวินไหวโหรวอย่างไรเจ้าคะ” เจาเอ๋อร์ตอบ 

 

 

“อ้อ ที่แท้นางก็คือจวินไหวโหรวที่นอนป่วยเกือบตลอดทั้งปีนั่นเอง” จวินมองสำรวจอีกฝ่ายอย่างพินิจพิจารณา  

 

 

ใบหน้าด้านข้างของจวินไหวโหรวก้มลงต่ำ มองไม่ออกถึงอารมณ์ที่แสดงออกมา แต่ริมฝีปากของนางนั้นเม้มเข้าหากันเล็กน้อย เพื่อรักษารอยยิ้มน้อยๆ เอาไว้บนหน้า ในที่สุดนางก็เงยหน้าขึ้น แม้ว่านางจะดูอ่อนแอ แต่สายตานั้นกลับดูสดใส ฟันขาวสะอาด ดวงตาสุกใสแบ่งแยกขาวดำชัดเจน เส้นผมสีดำสนิทที่ทอดยาวไปด้านหลังนั้นดูอ่อนนุ่มเป็นยิ่งนัก 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 232 ปากหวานก้นเปรี้ยว 

 

 

 

 

 

อวี้อาเหราเงียบงันไป ก่อนจะได้ยินเจาเอ๋อร์เอ่ยพึมพำอยู่ข้างๆ ว่า “ได้ยินมาว่ามารดาขององค์หญิงสามนั้นเป็นเพียงนางกำนัลที่ไม่ได้โดดเด่นอะไรนัก ยามนั้นได้มีโอกาสปรนนิบัติรับใช้ฝ่าบาทโดยไม่ได้ตั้งใจ หลังจากให้กำเนิดองค์หญิงสามแล้วก็ลาโลกไปก่อนวัยอันควร จนกระทั่งจากไปแล้วก็ยังไม่มีตำแหน่งและสถานะแม้แต่น้อย ชาติกำเนิดของนางก็ช่างต่ำต้อยยิ่งนัก ทว่าด้วยความที่ฝ่าบาททรงรักใคร่สงสาร จึงมีรับสั่งให้เริ่นกุ้ยเฟยเลี้ยงดูองค์หญิงจนเติบใหญ่ เริ่นกุ้ยเฟยมีอำนาจในวังหลัง สถานะสูงส่งเป็นที่น่าเคารพ เพราะอย่างนั้นองค์หญิงสามจึงพอมีสถานะขึ้นมาบ้าง มิเช่นนั้นแล้วนางคงมีชีวิตไม่ต่างจากนางกำนัลคนหนึ่งเจ้าค่ะ” 

 

 

อวี้อาเหราถอนสายตาออกมาจากร่างของจวินไหวโหรว ก่อนที่สายตาจะย้ายไปมองยังร่างของเริ่นกุ้ยเฟยและเจี่ยซูเฟย 

 

 

ไม่ต้องกล่าวนางก็เข้าใจเป็นอย่างดีว่าหญิงผู้วาดดอกไม้ไว้สีแดงไว้บนหน้าผาก มีหน้าตางดงามเหมือนฮองเฮาพระองค์ก่อนนั้นคงจะเป็นเจี่ยซูเฟยไม่ผิดแน่ นางงดงามสมคำล่ำลือ งดงามแม้กระทั่งจวินเสวียนจีก็ไม่อาจทัดเทียมได้ จึงไม่แปลกที่ฝ่าบาทจะให้ความรักใคร่มานานปีไม่เสื่อมคลาย ส่วนใหญ่คงจะเป็นเพราะนางมีรูปร่างหน้าตาที่เหมือนกับฮองเฮาพระองค์ก่อน 

 

 

แต่พระธิดาของนางอย่างจวินเสวียนจีนั้น กลับดูไม่ค่อยเหมือน 

 

 

ผู้ที่ยืนอยู่ด้านข้างนั้นก็คงจะเป็นเริ่นกุ้ยเฟยอย่างไม่ต้องสงสัย แม้ว่าจะไม่ได้งดงามเป็นหนึ่งไม่มีสองอย่างเจี่ยซูเฟย แต่ก็ดูงามสง่า และมีท่าทีของฮองเฮาผู้เป็นมารดาของแผ่นดินอยู่ด้วยหลายส่วน 

 

 

สายตาของคนเหล่านี้มองตรงไปยังด้านหน้า ก่อนจะยอบกายลงถวายบังคม “ถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ” 

 

 

“ลุกขึ้นเถิด” ดูไปแล้วฝ่าบาทก็ช่างมีความสุขยิ่งนัก ทรงโบกพระหัตถ์และบอกให้พวกนางยืนขึ้น 

 

 

หลังจากที่พวกนางแต่ละคนนั่งลงแล้ว ฝ่าบาทก็ทอดพระเนตรจวินไหวโหรวด้วยความแปลกพระทัย “เหตุใดวันนี้โหรวเอ๋อร์ถึงมาได้ ที่ป่วยหนักหายแล้วหรือ” 

 

 

“ทูลเสด็จพ่อ ที่ป่วยหนักครั้งก่อนมิอาจกล่าวได้ว่าหายแล้วเพคะ แต่เพราะหลายวันมานี้ได้หมอหลวงช่วยดูแล ตอนนี้ร่างกายก็ดีขึ้นมาก ขอบพระทัยเสด็จพ่อที่ทรงใส่พระทัย แต่โหรวเอ๋อร์ร่างกายอ่อนแอนัก วันทั้งวันเอาแต่นอนซมอยู่บนเตียง มิอาจเข้าเฝ้าเสด็จพ่อได้ ในใจก็รู้สึกผิดยิ่งนักเพคะ” จวินไหวโหรวลุกขึ้นยืนโดยอาศัยการประคองจากสาวใช้ด้านข้าง 

 

 

“เจ้ารีบนั่งลงเถิด ฝ่าบาทไม่ทรงตำหนิเจ้าหรอก” เมื่อเริ่นกุ้ยเฟยเห็นดังนั้นก็รีบพูดขึ้นมา 

 

 

“ขอบพระทัยเพคะเสด็จแม่” จวินไหวโหรวนั่งลงอย่างว่าง่าย 

 

 

ฮ่องเต้ทรงพระสรวลน้อยๆ “เจ้าแข็งแรงขึ้นก็ดีแล้ว ส่วนเราย่อมมีคนคอยปรนนิบัติอยู่แล้ว กุ้ยเฟย มารดาแท้ๆ ของโหรวเอ๋อร์ก็มาด่วนจากไปเสียก่อน เจ้าก็ดูแลนางดีๆ เถิด” 

 

 

“เพคะ หม่อมฉันรับพระบัญชา” 

 

 

“อืม” ฮ่องเต้พยักหน้าอย่างพึงพอใจ ในยามนี้เองเจี่ยซูเฟยก็ร้องขึ้นว่า “องค์หญิงโหรวนั้นช่างน่าสงสารจริงๆ มารดานั้นจากไปตั้งแต่อายุยังน้อย แม้แต่สถานะก็ไม่มี หากไม่ใช่เพราะได้พี่หญิงกุ้ยเฟยคอยดูแล ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร…” 

 

 

“อะแฮ่ม” เริ่นกุ้ยเฟยกระแอมอย่างไม่ค่อยพอใจนัก 

 

 

แน่ชัดว่าเจี่ยซูเฟยนั้นจงใจที่จะหาเรื่องทำให้จวินไหวโหรวรู้สึกลำบาก ตัวนางนั้นแม้ว่าจะได้รับความสงสารจากฮ่องเต้ แต่มารดาของนางนั้นกลับทำให้ฮ่องเต้รังเกียจ แม้ว่าจะเสียชีวิตไปมากกว่าสิบปีแล้วแต่ก็ยังไม่ได้รับการอวยยศเลยแม้แต่น้อย เพราะสถานะเช่นนี้ แม้ว่านางจะถูกเลี้ยงดู เติบโตขึ้นข้างกายของเริ่นกุ้ยเฟย แต่นางก็มีธิดาของตัวเองเช่นกัน ดังนั้นหลายปีมานี้นางจึงได้รับสายตาเย็นชาจากคนในวังไม่น้อย 

 

 

แต่ว่าเจี่ยซูเฟยจะพูดถึงคนที่ตายไปเพื่อเหตุใดกัน 

 

 

เมื่อฝ่าบาทได้สดับเช่นนี้ก็รู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง พระขนงขมวดเข้าหากันแน่น 

 

 

เจี่ยซูเฟยเองก็รู้สึกว่าตนเองหลุดวาจาที่ไม่ควรจะเอ่ยออกไป ทันใดนั้นนางก็ยกยิ้ม แล้วยกจอกเหล้าบนโต๊ะขึ้นมา “เป็นหม่อมฉันที่กล่าววาจาผิดไปเพคะ หากฝ่าบาทและองค์หญิงโหรวไม่พอใจ หม่อมฉันก็ขออภัยด้วยเหล้าจอกนี้” 

 

 

“เจี่ยซูเฟยตรัสเกินไปแล้วเพคะ” จวินไหวโหรวฝืนยิ้มออกมา 

 

 

อวี้อาเหรามองพวกนางแสดงละครตบตากัน ก่อนจะดื่มสุราที่อยู่บนโต๊ะด้วยความเบื่อหน่าย งานเลี้ยงของวังหลวงอะไรกัน ชาววังเหล่านี้กลับเล่นละครปากหวานก้นเปรี้ยวให้ดูต่างหากเล่า ได้ยินแล้วก็เบื่อยิ่งนัก นางเท้าศีรษะแล้วมองไปด้านหลัง ก่อนจะเห็นว่าอวี้จื่อเยียนจ้องมองมาที่นางด้วยความดุร้าย