ตอนที่ 233 สร่างเมา 

 

 

 

 

 

นางเหยียดมุมปากยิ้มอย่างจนใจ ก่อนจะเหลือบมองไปทางเริ่นหว่านเอ๋อร์ 

 

 

อีกฝ่ายหมอบอยู่บนโต๊ะอย่างหมดอาลัยตายอยาก เพราะถูกสถานการณ์ตรงหน้าทำให้รู้สึกอึดอัดใจยิ่งนัก เมื่อเห็นสายตาของนางส่งมาก็รีบขยิบตาให้ในทันที 

 

 

อวี้อาเหรายกจอกเหล้าไปทางนาง แล้วดื่มลงไป 

 

 

อีกด้านหนึ่งนั้น ฮ่องเต้เห็นว่ามีแต่อาหารไม่มีการเริงระบำ ก็หันไปมองเจี่ยซูเฟย “มหรสพในงานเลี้ยงครั้งนี้มอบหมายให้เจ้าเป็นคนจัดการ เหตุใดจึงไม่เห็นมีเลยเล่า” 

 

 

“เสวียนจี การแสดงเล่า” เจี่ยซูเฟยหันหน้ากลับไปถามจวินเสวียนจี 

 

 

“เสด็จพ่อและเสด็จแม่อย่าได้ทรงร้อนพระทัยไป ประเดี๋ยวก็เรียบร้อยแล้วเพคะ” จวินเสวียนจียิ้มบางๆ สองมือประสานปรบเป็นจังหวะ ทันใดนั้นก็เกิดเสียงประโคมดนตรีดังขึ้นในพระตำหนัก มีนางระบำเดินเข้ามาจากด้านนอก แล้วเริงระบำด้วยฝีเท้าแผ่วเบาเข้ามาด้านใน 

 

 

เมื่อฝ่าบาททอดพระเนตรเห็นดังนั้น ก็เอ่ยชื่นชมพลางยิ้มขึ้น “ไม่เลว” 

 

 

จวินเสวียนจีทอดมองด้วยความพึงพอใจ จนกระทั่งสายตาเหลือบมามองอวี้อาเหราราวกับไม่ได้จั้งใจ สีหน้าของนางจึงชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะชื่นชมการเริงระบำต่อ  

 

 

อวี้อาเหราแค่นจมูก กล่าวกับหลิงอ๋องขึ้นว่า “เสด็จพ่อ ลูกดื่มสุราเร็วไปสักหน่อย ขอออกไปเดินเล่นด้านนอกให้สร่างเมาหน่อยนะเพคะ” 

 

 

“อืม เจ้าไปเถิด แต่อย่าเถลไถลเล่า” หลิงอ๋องตอบรับอย่างเบิกบานใจ ก่อนสั่งขึ้นอีกว่า “เจาเอ๋อร์ เจ้าไปคอยดูแลคุณหนูด้วย” 

 

 

อวี้อาเหราหันไปขยิบตาให้เริ่นหว่านเอ๋อร์ นางเองก็หาข้ออ้างออกไปเช่นเดียวกัน 

 

 

สายพระเนตรของฝ่าบาททอดมองมายังร่างของพวกนางอย่างเงียบๆ ก่อนจะเคลื่อนย้ายสายพระเนตรกลับไปอีกคร้ง 

 

 

เมื่อมาถึงด้านนอกตำหนัก เสียงดนตรีก็ยิ่งแผ่วเบาลง อวี้อาเหรานวดคลึงหน้าผากของตนเองเบาๆ แล้วสั่งเจาเอ๋อร์ว่า “เจ้าไปนำน้ำแกงแก้เมาค้างมาให้ข้าทีเถิด เมื่อครู่ไม่ทันระวังจึงดื่มไปมากหน่อย เวียนหัวไปหมดแล้ว” 

 

 

“เจ้าค่ะ” เจาเอ๋อร์ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นจึงถอยไป 

 

 

เริ่นหว่านเอ๋อร์มองนาง แล้วกล่าวขึ้นว่า “พี่เหรา ท่านไม่เป็นไรนะเจ้าคะ เมื่อครู่ข้าเห็นท่านยกสุราดื่มเข้าไปไม่น้อยเลย” 

 

 

“ไม่เป็นไร เพียงแค่คิดไม่ถึงว่าสุรานี้เพียงลงคอไปก็ไม่เท่าไหร่ แต่ยามออกฤทธิ์กลับร้ายแรงนัก ข้าเพียงแค่รู้สึกเวียนหัวตาลายเท่านั้น นั่งอยู่ด้านในก็วิงเวียน ดังนั้นเลยออกมาข้างนอก ตอนนี้ก็ดีขึ้นมากแล้วล่ะ” อวี้อาเหราว่า เมื่อเห็นเริ่นหว่านเอ๋อร์มีสีหน้าเงียบขรึม จึงชะงักไป “เจ้าเป็นอะไรไป” 

 

 

เริ่นหว่านเอ๋อร์ส่ายหน้า ไม่ยอมพูดจา 

 

 

แต่กระนั้นอวี้อาเหราก็รู้ดีอยู่แก่ใจ “เจ้าคิดถึงองค์ชายเป่ยเจียงอีกแล้วใช่หรือไม่” 

 

 

“…เจ้าค่ะ” เริ่นหว่านเอ๋อร์เห็นนางมีทีท่ามั่นใจ นางก็อึกๆ อักๆ อยู่สักพักก่อนจะยอมพยักหน้าแต่โดยดี “แม้ว่าเขาจะทำเช่นนั้นกับข้า แต่เพราะมีสายสัมพันธ์ต่อกันมานานหลายปี จะไม่ให้เจ็บปวดใจได้หรือเจ้าคะ” 

 

 

อวี้อาเหราเม้มปากเล็กน้อย “ก็จริง” 

 

 

เรื่องเช่นนี้หากเกิดขึ้นกับใครก็ไม่วายจะต้องเป็นทุกข์ แล้วเด็กสาวที่ซื่อบริสุทธิ์อย่างเริ่นหว่านเอ๋อร์จะทนได้อย่างไร แม้ว่านางจะยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เสมอ แต่ในจิตใจก็ยังคงเศร้าหมองอยู่นั่นเอง 

 

 

ลมหนาวพัดผ่านใบหน้า ทิ้งความหนาวเย็นเอาไว้ ต้นไม้และดอกไม้ที่ถูกปลูกเอาไว้อย่างพิถีพิถันถูกสายลมพัดผ่านตัวต้นและกิ่งใบ จนสั่นไหวอยู่ท่ามกลางลมหนาว 

 

 

หลังจากเงียบงันไปสักครู่ เริ่นหว่านเอ๋อร์ก็แย้มยิ้มออกมา “พี่เหรา อย่ามัวแต่สนใจเรื่องของข้าเลย ข้าไม่เป็นอะไรจริงๆ แม้ว่าอีกไม่นานเขาจะต้องแต่งงานกับผู้อื่น แต่นั่นก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับข้า!” 

 

 

“อืม คิดได้เช่นนั้นก็ดีแล้ว” อวี้อาเหรารู้ว่านางพยายามที่จะฝืนยิ้มออกมาเท่านั้น จึงทำได้แต่เพียงพยักหน้าคล้อยตาม  

 

 

เจาเอ๋อร์ยกน้ำแกงแก้เมาค้างเข้ามา “คุณหนู ท่านดื่มเสียหน่อยเถิดเจ้าค่ะ” 

 

 

อวี้อาเหรายกน้ำแกงขึ้นดื่มสองสามอึก ทันใดนั้นหัวสมองก็โล่งสบายไม่น้อย คงต้องบอกว่าสุราในวังหลวงนั้นไม่เหมือนกับเหล้าของที่อื่น แม้ว่านางจะคอแข็งอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อดื่มสุราชนิดนี้เข้าไปก็ทำให้เวียนหัวได้ง่ายๆ  

 

 

 

 

 

ตอนที่ 234 ละอายใจ 

 

 

 

 

 

“คุณหนู คุณหนูหว่านเอ๋อร์ พวกเราก็ออกมาข้างนอกได้สักพักหนึ่งแล้ว ตอนนี้พวกเราก็กลับเข้าไปดีหรือไม่เจ้าคะ” เมื่อนางดื่มน้ำแกงแก้เมาค้างจนหมดถ้วยแล้ว เจาเอ๋อร์ก็รีบพูดขึ้น อวี้อาเหราและเริ่นหว่านเอ๋อร์จึงสาวเท้าเข้าไปในตำหนัก แต่เพิ่งจะเดินมาถึงหน้าประตูก็พลันพบเข้ากับเงาร่างที่คุ้นตา 

 

 

ฟู่เส่าชิงสวมอาภรณ์หรูหราสีแดงสดเดินเข้ามา ความสง่างามของเขาพุ่งเข้าสู่สายตาในทันที ใบหน้าหล่อเหลาไปกันได้ดีกับเสื้อผ้าหรูหรา ดูสะดุดตาเสียยิ่งกว่าฉลองพระองค์ลายมังกรของฮ่องเต้ เส้นผมไม่ได้ถูกจัดการอย่างละเอียดลออนัก เพียงใช้ผ้าผูกผมสีแดงผูกเอาไว้เท่านั้น แต่กลับดูงดงามเป็นเอกลักษณ์อย่างเป็นธรรมชาติ 

 

 

ด้านข้างของเขาก็คือจวินอู๋เหินที่สวมชุดปักลายดอกไห่ถังสีขาวพื้นสีน้ำเงินเข้ม 

 

 

คนทั้งสองดูงดงามเปล่งประกาย ท่วงท่าสง่างามยิ่งนัก! 

 

 

อวี้อาเหรามองไปยังฟู่เส่าชิง ทันใดนั้นก็แย้มยิ้มออกมา “องค์ชายเป่ยเจียง ท่านที่สวมชุดสีแดงมาเช่นนี้ วันนี้ก็เตรียมที่จะแต่งงานแล้วหรือ” 

 

 

“แต่งงานอะไรกัน” แววตาของฟู่เส่าชิงฉายประกายจริงจัง “ข้าจะแต่งงานวันนี้เสียที่ไหน หากข้าคิดที่จะแต่งงานจริง จะแต่งวันไหนก็เหมือนกันทั้งนั้น อย่างไรเสียก็มีหญิงสาวมากมายที่พร้อมจะแต่งให้ข้าอยู่แล้ว เกรงแต่ว่าข้าจะไม่ชอบพวกนางก็เท่านั้น” 

 

 

อวี้อาเหราพรูลมหายใจออกมา “ความสามารถทางการพูดของเจ้านี่เก่งกาจขึ้นเรื่อยๆ เลยนะ” 

 

 

“ไหนเลยจะเก่งเท่าคุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋องเล่า” ฟู่เส่าชิงแย้มยิ้มอย่างไม่จริงจังนัก “ได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้คุณหนูรองนั้นก็ยังดึงดันไล่ตามองค์รัชทายาทมานานหลายปี แต่ก็ยังไม่ได้ใจองค์รัชทายาทเลยแม้แต่น้อย ช่างทำให้ความพยายามของเจ้าต้องเสียเปล่ายิ่งนัก” 

 

 

“พอแล้ว!” น้ำเสียงที่อ่อนโยนอยู่เป็นนิจของเริ่นหว่านเอ๋อร์แปรเปลี่ยนไปเป็นเสียงเล็กแหลมทันที สองเบ้าตาแดงก่ำหันไปมองฟู่เส่าชิง “พี่ชิง ท่านอยากจะว่าข้าว่าหน้าไม่อายที่วิ่งตามท่านมิใช่หรือ ถ้าเช่นนั้นท่านก็ว่าข้าเสียสิ เหตุใดถึงต้องอ้อมค้อมต่อว่าพี่เหราด้วย” 

 

 

เมื่อเห็นท่าทีแข็งกร้าวอย่างน้อยครั้งที่จะได้เห็นของนางนั้น ฟู่เส่าชิงก็ชะงักงันไปในทันที 

 

 

เริ่นหว่านเอ๋อร์สูดจมูก “อีกอย่าง หลังจากนี้ข้าจะไม่ไล่ตามท่านอีกต่อไปแล้ว เช่นนั้นท่านก็ไม่ต้องกลัวว่าข้าจะต้องทำให้ใครต้องลำบากใจอีก!” 

 

 

“หว่านเอ๋อร์” ฟู่เส่าชิงนิ่งงัน ดวงตาที่แฝงรอยยิ้มเอาไว้หม่นหมองลงเล็กน้อย ริมฝีปากของเขาอ้าค้าง อยู่ในท่าทีเช่นนี้เป็นเวลานาน ในที่สุดเขาก็ก้มหน้าลง ไม่ได้พูดอะไรแม้แต่ครึ่งคำ 

 

 

เริ่นหว่านเอ๋อร์เมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้ของเขา น้ำตาก็ไหลรินลงมาทันทีอย่างห้ามไว้ไม่อยู่ ดูราวกับน้ำหลากที่ไหลทะลัก เพียงพริบตาที่ไหลลงมานั้นจะหยุดอย่างไรก็หยุดไม่อยู่เสียแล้ว 

 

 

จวินอู๋เหินมองมาที่พวกเขาอย่างไม่เข้าใจนัก “เหตุใดถึงร้องไห้เสียแล้วเล่า หรือว่าข้าก็พลาดอะไรไปอย่างนั้นหรือ” 

 

 

“หุบปาก” อวี้อาเหราและฟู่เส่าชิงตะโกนขึ้นมาพร้อมกัน 

 

 

เรื่องนี้จวินอู๋เหินไม่เกี่ยวข้องด้วยเลยแม้แต่น้อย เช่นนั้นเขาจึงทำได้แต่เพียงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันไม่กล้าพูด 

 

 

อวี้อาเหราจ้องมองฟู่เส่าชิง จากนั้นก็ลากตัวเริ่นหว่านเอ๋อร์ไป “ไปเถิด พวกเราไม่ต้องไปสนใจเขา เข้าไปด้านในกันก่อน หากท่านพ่อและท่านอาสะใภ้ของเจ้ามาพบเข้าคงยากที่จะอธิบายแน่” 

 

 

แต่ยามที่พวกนางกำลังจะก้าวเท้าเข้าไปข้างใน กลับไม่รู้เลยว่าฝ่าบาทและเหล่าผู้คนที่ได้เห็นเหตุการณ์นั้น ได้ลุกจากที่นั่งเดินตรงเข้ามากันทั้งหมดแล้ว 

 

 

“เกิดอะไรขึ้น” ในเวลาไม่นาน ฝ่าบาทก็ทอดพระเนตรพวกเขาเหล่านั้นด้วยความสงสัย จนเห็นน้ำตาบนใบหน้าของเริ่นหว่านเอ๋อร์ “เหตุใดแม่นางหว่านเอ๋อร์ถึงได้ร้องไห้ ใครรังแกเจ้าหรือ” 

 

 

เริ่นกุ้ยเฟยเองก็ชะงักไป “ใช่แล้ว หว่านเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไร” 

 

 

“ท่านพี่ ข้า…” เริ่นหว่านเอ๋อร์พูดตะกุกตะกักขณะที่เงยหน้าขึ้นไปมองฟู่เส่าชิง นางรู้นิสัยพี่สาวของตนเอง รวมถึงท่านพ่อและท่านอาสะใภ้ของตัวเองเป็นอย่างดี หากรู้ว่านางถูกพี่ชิงรังแกเข้าจะต้องโกรธเคืองเป็นแน่ นางเองก็ไม่กล้าพูด แม้ว่าตอนนี้ในใจของนางจะรังเกียจ แต่ความรู้สึกที่มีมาตลอดหลายปีนั้นไม่ใช่เรื่องสูญเปล่า เหตุใดจึงจะใจร้ายปล่อยให้เขาโดนทำร้ายได้เล่า