ตอนที่ 235 เคืองตา 

 

 

 

 

 

“หืม?” เริ่นกุ้ยเฟยเลิกคิ้วขึ้น ทันใดนั้นก็คาดเดาความในใจของนางได้ จึงกวาดสายตาไปทางฟู่เส่าชิง นอกจากเขาแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดที่จะทำให้น้องสาวของนางร้องไห้ได้อีก น้ำเสียงของนางจึงเย็นชาลง แต่ก็ยังคงไม่กล้าที่จะบันดาลโทสะต่อหน้าฝ่าบาท เช่นนั้นจึงลอบเหน็บแนมขึ้นว่า “วันนี้องค์ชายเป่ยเจียงสวมใส่อาภรณ์งดงามยิ่งนัก หญิงสาวทั่วทั้งตำหนักก็ไม่มีผู้ใดเทียบได้เลยเพคะ” 

 

 

เมื่อหัวข้อสนทนาถูกดึงไปทางฟู่เส่าชิง สายตาของทุกคนจึงเคลื่อนย้ายไปจากใบหน้าเริ่นหว่านเอ๋อร์ 

 

 

ฟู่เส่าชิงผุดรอยยิ้มลึกล้ำขึ้นมาอีกครั้ง “แน่นอนอยู่แล้ว” 

 

 

“เจ้า” สีหน้าของเริ่นกุ้ยเฟยดูไม่ดีนัก นางอับจนคำพูดโดยพลัน ด้วยเพราะไม่เคยเจอใครที่หน้าไม่อายถึงเพียงนี้มาก่อน หากเป็นคนอื่นเมื่อได้ยินนางพูดเช่นนี้ก็คงจะยอมถอยไปแล้ว ไหนเลยจะกล้าตอบรับเช่นนี้เล่า 

 

 

เพื่อระบายอารมณ์โกรธที่มีนั้น สายตาของนางก็กลับมามองที่ร่างของเริ่นหว่านเอ๋อร์อีกครั้ง พร้อมแค่นเสียงเย็นออกมา “หว่านเอ๋อร์ เจ้าอย่าได้กลัวไป จงพูดออกมาเถิดว่าใครกันที่กล้ารังแกเจ้า เราจะไม่ปล่อยไว้แน่!” 

 

 

ไม่ต้องรอให้เริ่นหว่านเอ๋อร์เอ่ยปาก เจี่ยซูเฟยก็พูดสอดขึ้นมาว่า “โอ พี่หญิงของน้อง คุณหนูหว่านเอ๋อร์อาจจะไม่ได้ถูกรังแกก็เป็นได้นะเพคะ ไม่เสียทีที่ได้ชื่อวาพี่สาวที่แสนดี รักและเป็นห่วงน้องสาวถึงเพียงนี้ หากข้ามีพี่สาวดีๆ เช่นนี้บ่างก็คงจะดียิ่งนัก” 

 

 

จวินเสวียนจีดึงชายเสื้อของเสด็จแม่ของตัวเอง เพื่อแสดงให้เห็นว่าเรื่องนี้นางไม่ควรสอดมือเข้าไปยุ่ง 

 

 

ไม่ว่าใครก็ฟังออกว่าเจี่ยซูเฟยไม่ได้พูดเพื่อแสดงออกให้เห็นถึงเจตนาที่ดีต่อสองพี่น้องตระกูลเริ่น นางนั้นเจ็บแค้นเริ่นกุ้ยเฟยมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ด้วยเพราะพวกนางมีชาติกำเนิดไม่ต่างกัน แต่เพียงแค่นางไม่อาจให้กำเนิดองค์ชาย ส่วนเริ่นกุ้ยเฟยกลับให้กำเนิดองค์ชายใหญ่และองค์หญิงสี่ รวมทั้งเลี้ยงดูองค์หญิงสาม ด้วยเหตุผลนี้นางจึงได้นั่งตำแหน่งกุ้ยเฟย ไม่อย่างนั้นตำแหน่งนี้ก็ควรจะเป็นของนางเสียด้วยซ้ำ! 

 

 

นางเพียงมีใบหน้าเหมือนฮองเฮาพระองค์ก่อนเท่านั้น แต่กลับไม่อาจให้กำเนิดองค์รัชทายาทได้! 

 

 

เริ่นกุ้ยเฟยยังคงรักษาท่าทีสง่างามของตัวเองเอาไว้ได้ “หากน้องหญิงอยากได้พี่สาวสักคนก็ไม่ใช่เรื่องยากมิใช่หรือ พวกเราเข้าวังมาพร้อมกัน แม้ว่าข้าจะอายุมากกว่าเจ้าไม่กี่ปี แต่พวกเราก็เรียกกันเป็นพี่เป็นน้อง ก็ถือว่าข้าเป็นพี่สาวของเจ้าเช่นกันมิใช่หรืออย่างไร” 

 

 

“เพคะ…” เจี่ยซูเฟยโดนบังคับให้ยอมรับ ทั้งๆ ที่ในใจนั้นไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง 

 

 

ทุกคนเห็นพวกนางสองคนกำลังเชือดเฉือนกัน ก็อดไม่ได้ที่จะชมดูละครสนุกๆ 

 

 

ฝ่าบาทขมวดพระขนงอย่างไม่ค่อยจะยินดีนัก “เรากำลังถามคุณหนูหว่านเอ๋อร์ แล้วพวกเจ้าจะพูดเรื่องตัวเองกันขึ้นมาด้วยเหตุใดกัน” 

 

 

“หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ” เริ่นกุ้ยเฟยและเจี่ยซูเฟยก้มหน้าลงในทันที 

 

 

เริ่นหว่านเอ๋อร์สูดจมูกน้อยๆ กล้ำกลืนความอาดูรในใจแล้วกล่าวว่า “ทูลฝ่าบาท หว่านเอ๋อร์มิได้เป็นอะไรเพคะ เพียงแต่เมื่อครู่ออกมาด้านนอกกับพี่เหรา ไม่ระวังทำให้ทรายปลิวเข้าตาจึงเกิดระคายเคือง น้ำตาเลยไหลไม่หยุดเช่นนี้เพคะ” 

 

 

“เคืองตารึ” ฮ่องเต้หรี่พระเนตรลงด้วยท่าทีที่เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อนัก 

 

 

“เพคะ” เริ่นหว่านเอ๋อร์พยักหน้ารับ 

 

 

เริ่นกุ้ยเฟยเห็นนางถูกฮ่องเต้ไต่ถามถึงเพียงนี้ ก็รู้ว่านางนั้นมีอะไรในใจที่ไม่อาจพูดได้ พอดีที่นางหันมาเห็นอวี้อาเหราเข้า จึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาทโปรดอภัย น้องสาวของหม่อมฉันคนนี้ไม่ถูกกับลมฝุ่นมาแต่ไหนแต่ไร อีกทั้งยังบ่อน้ำตาตื้น เช่นนั้นจึงชอบร้องไห้อยู่บ่อยๆ จริงสิเพคะ วันนี้คุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋องก็มาด้วย เมื่อเห็นคุณหนูรองแล้วหม่อมฉันก็นึกถึงองค์ชายรัชทายาทขึ้นมา ครั้งก่อนที่ทรงแอบหนีออกมาจากวังตะวันออกจึงถูกคุมตัวเอาไว้เป็นเวลานาน ตอนนี้พระพลานามัยของไทเฮาก็ยังไม่ดีขึ้น ฝ่าบาททรงปล่อยรัชทายาทออกมาเถิดเพคะ คิดว่าคงได้รับบทเรียนจากเรื่องครั้งนี้แล้ว คงจะไม่ทรงกล้าทำเรื่องเหลวไหลอีก” 

 

 

“ไม่กล้าทำเรื่องเหลวไหลรึ” ฮ่องเต้แค่นพระสุรเสียงออกมาอย่างไม่พอใจ “หากเจ้าบอกว่าคนอื่นไม่กล้ายังพอจะเชื่อได้บ้าง แต่รัชทายาทนั้น…” 

 

 

รัชทายาทนั้นถูกจำขังมาตั้งกี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว มีครั้งใดบ้างที่เขาจะปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น 

 

 

เริ่นกุ้นเฟยก็รู้เรื่องนี้อยู่แก่ใจ เช่นนั้นจึงกล่าววาจาโน้มน้าวด้วยความระมัดระวัง 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 236 ปล่อยองค์รัชทายาท 

 

 

 

 

 

“ไม่มีผู้ใดที่จะสมบูรณ์พร้อมไปเสียทุกอย่างหรอกเพคะ คนเราย่อมที่จะเคยทำเรื่องผิดพลาดกันบ้าง ไทเฮาทรงรักใคร่พระราชนัดดา ครั้งนี้ขอให้พระองค์ทรงเห็นแก่พระพลานามัยของไทเฮา ปล่อยรัชทายาทสักครั้งเถิดเพคะ ต่อไปหากทรงกล้าที่จะทำเรื่องอะไรเหลวไหลอีก ไทเฮาก็คงไม่อาจจะตรัสอะไรได้แน่ ต้าเยี่ยนของเรานั้นล้วนเอาความดีงามและความกตัญญูเป็นที่ตั้ง ฝ่าบาทต้องกระทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีถึงจะถูกต้องนะเพคะ” 

 

 

“ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล” ฮ่องเต้นิ่งคิดอยู่สักครู่ แล้วจึงหันมาออกคำสั่งกับหวังกงกง “หวังเซิ่งเต๋อ เจ้าไปถ่ายทอดราชโองการปล่อยตัวองค์รัชทายาทที่วังตะวันออก แล้วนำเขามาที่ตำหนักนี้ บอกเขาว่าครั้งนี้หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่พระอาการประชวรของไทเฮาและคำทูลขอของเริ่นกุ้ยเฟย เราก็ไม่มีทางปล่อยตัวเขาเป็นอันขาด!” 

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะทูลให้องค์รัชทายาททรงทราบ” หวังกงกงรีบรับคำสั่งในทันที 

 

 

เมื่อเห็นเขาจากไปแล้ว เจี่ยซูเฟยก็หันไปทางเริ่นกุ้ยเฟย “พี่หญิงกุ้ยเฟยช่างมีจิตใจที่ดียิ่งนัก แต่ไม่รู้ว่าหากองค์ชายใหญ่รู้เข้าจะเป็นอย่างไรบ้าง” 

 

 

ฝ่าบาทนั้นให้ความสำคัญต่อองค์ชายใหญ่เสมอมา ในปีนั้นเดิมทีก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นองค์รัชทายาท แต่สุดท้ายไทเฮาและขุนนางส่วนหนึ่งกลับร้องขอให้แต่งตั้งพระโอรสที่เกิดจากฮองเฮาขึ้นเป็นรัชทายาทเพื่อดำรงไว้ซึ่งสายเลือดแห่งราชวงศ์ แต่ไหนแต่ไรฝ่าบาทนั้นก็ไม่เคยชอบอุปนิสัยไม่เอาไหนขององค์รัชทายาทแม้แต่น้อย เพราะฉะนั้นจึงไม่อาจยอมรับได้ แต่เนื่องจากเห็นแก่หน้าฮองเฮาจึงต้องยอมแต่งตั้ง 

 

 

คงต้องบอกว่าเป็นเพราะองค์ชายใหญ่เลือกเกิดผิดครรภ์ หากเขาเป็นโอรสของฮองเฮา ตำแหน่งรัชทายาทก็คงเป็นของเขาแล้ว! 

 

 

และเพราะเรื่องนี้ทำให้หลายปีมานี้องค์ชายใหญ่ก็มักจะต่อต้านองค์รัชทายาทมาตลอด แม้ว่าจะรู้กันทั่วและเห็นกับตาแต่ก็ไม่มีใครกล้าปริปาก แต่ช่วงนี้ความโปรดปรานของฝ่าบาทที่มีต่อองค์รัชทายาทนั้นก็ลดน้อยลงเรื่อยๆ และวันใดที่สิ้นไทเฮา หากเขายังเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่องที่จะปลดเขาลงจากตำแหน่งองค์รัชยาทก็เป็นเรื่องของเวลา ไม่ว่าอย่างไรแผ่นดินนี้ก็คงไม่อาจส่งมอบให้กับคนเจ้าสำราญเช่นนั้นได้แน่ 

 

 

ส่วนองค์ชายใหญ่นั้นไม่เพียงแต่เป็นพระโอรสพระองค์โต อีกทั้งยังเป็นที่น่านับถือ เป็นผู้ที่เหมาะสมที่จะได้รับตำแหน่งสืบทอดมากที่สุด 

 

 

นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เจี่ยซูเฟยนั้นเจ็บแค้นเริ่นกุ้ยเฟยยิ่งนัก หากนางสามารถให้กำเนิดโอรสสักคนก็คงจะดีไม่น้อย… 

 

 

“น้องหญิงไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องนี้ แต่ไหนแต่ไรจื่อหร่านนั้นไม่เคยคิดเล็กคิดน้อยมาก่อน แต่ซูเฟยนั้นไม่มีบุตรชาย ย่อมที่จะไม่เข้าใจเรื่องเช่นนี้อยู่แล้ว” เมื่อเห็นเจี่ยซูเฟยพูดจาเชือดเฉือน เริ่นกุ้ยเฟยนั้นก็ไม่ได้เป็นคนที่ใจเย็นอะไรนัก ทันใดนั้นก็ยั่วยุอีกฝ่ายด้วยการพูดจาแทงใจดำ 

 

 

“เจ้า!” สีหน้าของเจี่ยซูเฟยไม่น่าดูในพริบตา 

 

 

เช่นนั้นจวินเสวียนจีรีบเข้ามาดึงเสด็จแม่ของตัวเองในทันที ก่อนจะหันไปยิ้มกับเริ่นกุ้ยเฟยแล้วกล่าวว่า “เริ่นกุ้ยเฟยมีน้ำพระทัยกว้างขวาง เสด็จแม่ของหม่อมฉันเองก็นับถือพระองค์เสมอมา” 

 

 

“องค์หญิงเสวียนจีเกรงใจเกินไปแล้ว” ใบหน้าของเริ่นกุ้ยเฟยยังคงแย้มยิ้ม แต่สายตาที่มองจวินเสวียนจีกลับเต็มไปด้วยความไม่อาจดูแคลน นางรู้จักที่จะนิ่งเงียบและผ่อนสั้นผ่อนยาว ไม่เหมือนเช่นเจี่ยซูเฟยที่ไม่ค่อยระมัดระวัง บุตรสาวของนางคนนี้นับว่ารับมือได้ยากกว่าแม่ของนางเสียอีก 

 

 

ฝ่าบาทแย้มพระสรวลออกมาอย่างคลายความกังวล “กุ้ยเฟยนั้นเรื่องอื่นไม่ต้องกล่าวถึง เพียงแต่จิตใจนั้นช่างเปี่ยมด้วยกรุณา มิเช่นนั้นเราคงไม่แต่งตั้งให้นางเป็นถึงกุ้ยเฟยแล้วดูแลวังหลังเช่นนี้” 

 

 

“เพคะ” ทุกคนก้มหน้าลงอย่างเห็นพ้อง “กุ้ยเฟยทรงพระกรุณา” 

 

 

สีหน้าของเจี่ยซูเฟยยิ่งดูไม่ได้มากขึ้นเรื่อยๆ  

 

 

ไม่อยากจะเชื่อว่าที่นางพูดมาทั้งหมดจะส่งผลประโยชน์ต่อผู้อื่น ช่างน่าคับแค้นยิ่งนัก! 

 

 

อวี้อาเหรามองพระสนมทั้งสองที่กำลังต่อสู้คะคานกัน ไม่ว่าที่ใดที่มีสตรี ที่นั่นย่อมมีการชิงดีชิงเด่น แม้กระทั่งในจวนหลิงอ๋องเองก็เป็นเช่นนี้ แล้วจะนับประสาอะไรกับวังหลวงเล่า นี่ยังไม่นับตำแหน่งผู้ครองแคว้นอีก ก็ไม่รู้ว่าจะต้องเสียเลือดเสียเนื้อไปเท่าไรบ้าง 

 

 

เรื่องที่พวกเขาขัดแย้งกันนั้นนางไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่สิ่งที่นางเกลียดที่สุดคือการลากนางเข้าไปเกี่ยวด้วย 

 

 

นี่เท่ากับเป็นการลากนางออกมาปรากฏกายต่อหน้าธารกำนัลหรือมิใช่? ไม่ว่าใครต่างก็อยากอยู่ในความสนใจทั้งนั้น แต่คงไม่มีผู้ใดที่อยากจะถูกมองเหมือนเป็นลิงที่อยู่ในสวนสัตว์ 

 

 

เมื่อกล่าวจบ ฮ่องเต้ก็เตรียมตัวที่จะกลับเข้าสู่ตำหนัก เมื่อปรายตามองไปเห็นจวินไหวซ่งยืนอยู่แต่เพียงผู้เดียว ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถามว่า “เหตุใดเซียวเฟยยังไม่กลับวังอีก”