ตอนที่ 237 ไท่จื่อเฟย [1] 

 

 

 

 

 

“เสด็จแม่กล่าวว่าจะอยู่สำนักปฏิบัติธรรมสักหลายวัน เพื่อที่จะได้ตั้งจิตศึกษาพระธรรม ถวายพระพรแก่เสด็จพ่อ ไม่เกินปลายปีนี้ก็จะกลับมาเพคะ” จวินไหวซ่งรีบตอบในทันที 

 

 

“สำนักปฏิบัติธรรมนั้นไม่ได้อยู่ในเมืองเฟิงเฉิง อีกทั้งยังอยู่ห่างไกลนัก ตอนนี้อากาศก็หนาวเย็นขึ้นเรื่อยๆ เจ้าส่งของไปให้เสด็จแม่ของเจ้ามากๆ หน่อยเถิด นางจะได้ไม่ต้องลำบากมาก ร่างกายของเราก็ดีขึ้นมากแล้ว ไม่ต้องเป็นกังวล” เพียงเท่านี้ฮ่องเต้ก็ไม่ได้ตรัสถามอะไรอีก พลันหันหลังแล้วเดินกลับไป 

 

 

เซียวเฟยผู้เป็นพระมารดาขององค์หญิงรองนั้นไม่เหมือนผู้อื่น มีใจฝักใฝ่ในธรรมะ ไม่ชอบชีวิตอันฟุ้งเฟ้อในวังหลวง ด้วยเพราะมีอุปนิสัยเช่นนี้จึงได้ออกจากวังไป ในหนึ่งปีสี่ฤดูกาลนั้นนางใช้เวลาเสียครึ่งปีเพื่ออยู่ในสำนักปฏิบัติธรรม สำหรับเรื่องนี้แล้วฮ่องเต้เองก็ทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงปล่อยให้เป็นไปตามนั้น 

 

 

แต่ก็เป็นเพราะว่าเซียวเฟยนั้นอยู่ห่างจากการแก่งแย่งชิงดี ชีวิตความเป็นอยู่จึงถือว่าไม่เลว ส่วนจวินไหวซ่งแต่ไหนแต่ไรมาก็หัวไวปากหวาน จึงได้รับความรักเอ็นดูจากฮ่องเต้ไม่น้อย สองแม่ลูกจึงไม่ค่อยมีเรื่องโกรธแค้น และไม่จำเป็นต้องผูกใจเจ็บกับผู้ใด 

 

 

ทุกคนต่างเดินตามกันเข้าไปในตำหนัก เสียงบรรเลงดนตรีก็ดังขึ้นอีกครั้ง 

 

 

ฮ่องเต้โบกพระหัตถ์ไล่เหล่านางรำให้ถอยออกไปด้วยความเบื่อหน่าย ก่อนนั่งลงบนพระราชบัลลังก์อันวิจิตรงดงามในพระตำหนัก ก้มพระพักตร์ลงมองฟู่เส่าชิง “องค์ชายเป่ยเจียงเสด็จมาช้ายิ่งนัก เช่นนี้จะต้องถูกลงโทษด้วยการดื่มเหล้าสักหลายจอก” 

 

 

“ไม่ค่อยได้ดื่มเหล้าในวังหลวงนัก แม้ฝาบาทจะทรงลงโทษให้ดื่มเป็นร้อยจอกก็ยินดีพ่ะย่ะค่ะ” ฟู่เส่าชิงแย้มยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ ทำให้ฮ่องเต้อดไม่ได้ที่จะพระสรวลออกมาเสียงดัง ผ่านไปชั่วครู่ถึงหยุดหัวเราะลง “เราได้ยินมาว่าองค์ชายโปรดสุราเลิศรส เช่นนั้นจึงให้คนเตรียมเหล้าบรรณาการหลายไหมาเป็นพิเศษ ส่งไปยังเรือนพักรับรองของท่านแล้ว” 

 

 

“ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” ฟู่เส่าชิงแย้มยิ้มกว้างยิ่งขึ้น 

 

 

ฮ่องเต้ยังหันไปสั่งกับหวังกงกงที่อยู่ข้างๆ ว่า “เจ้าสั่งลงไปว่าให้รับรององค์ชายเป่ยเจียงให้ดี อย่าได้ขาดตกบกพร่องเป็นอันขาด” 

 

 

“กระหม่อมสั่งการลงไปเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หวังกงกงตอบกลับพลางแย้มยิ้ม 

 

 

“เจ้านี่ก็ช่างรู้ใจเรานัก” ฮ่องเต้พยักพระพักตร์ลงอย่างพึงพอใจ ก่อนจะหันกลับไปมองฟู่เส่าชิงอีกครั้ง “ต้าเยี่ยนและเป่ยเจียงมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันเสมอมา วันนี้องค์ชายเป่ยเจียงได้เสด็จมาเยือน เราจึงปรารถนาที่จะเจริญสัมพันธไมตรีด้วยการพระราชทานสมรส ในงานเลี้ยงวันนี้ก็เชิญเหล่ากุลสตรีมาไม่น้อย ไม่ทราบว่าองค์ชายทรงหมายตาผู้ใดไว้บ้างหรือไม่” 

 

 

ฟู่เส่าชิงชะงักไป ก่อนค่อยๆ วางจอกเหล้าลง สายตาของเขามองกวาดไปท่ามกลางฝูงชน จนมองไม่ออกว่าเขากำลังมองผู้ใดอยู่กันแน่ หลังจากนั้นไม่นานก็ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวกับฮ่องเต้ว่า “ในเมื่อฝ่าบาทออกเอ่ยตรัสเองเช่นนี้ กระหม่อมก็ไม่ขอเกรงใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“เอาสิ” ฮ่องเต้พยักพระพักตร์ตอบรับอย่างไม่อาจคาดเดาอารมณ์ได้ 

 

 

อวี้อาเหราตีสีหน้าเรียบเฉย ฝ่าบาทก็ประสงค์ให้ฟู่เส่าชิงเลือกหญิงสาวเองเช่นนี้เลยหรือ นางรีบส่งสายตาไปยังเริ่นหว่านเอ๋อร์ที่นั่งอยู่ด้านหลังในทันใด 

 

 

เห็นเพียงนางก้มหน้าลงต่ำ ใช้ฟันกัดริมฝีปากน้อยๆ 

 

 

ฟู่เส่าชิงมองอยู่ไม่นาน ทันใดนั้นก็สอดส่ายสายตาไปทางซ้ายและขวาจนมาหยุดที่อวี้อาเหรา กระนั้นรอยยิ้มในดวงตาก็ยิ่งฉายชัดมากขึ้นเรื่อยๆ “ฝ่าบาท โปรดทรงกรุณาพระราชทานคุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋องมาเป็นไท่จื่อเฟยของกระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“คุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋อง?” ฮ่องเต้ชะงักไปในทันที 

 

 

ไม่เพียงแต่ฮ่องเต้เท่านั้น แม้แต่คนที่อยู่ในตำหนักตลอดจนอวี้อาเหราเองก็ตกใจเช่นเดียวกัน 

 

 

เริ่นหว่านเอ๋อร์หันมามองอวี้อาเหราด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อนัก 

 

 

“เจ้าว่าอะไรนะ” อวี้อาเหราตกใจเสียจนมือสั่น 

 

 

“เมื่อเรามาถึงเมืองเฟิ่งเฉิงนั้นก็รู้สึกถูกใจในตัวเจ้าอยู่บ้าง เช่นนั้นจึงขอให้ฝ่าบาทพระราชทานเจ้าให้กับข้า” ใบหน้ายิ้มแย้มของฟู่เส่าชิงไม่มีความคลุมเครืออยู่เลยแม้แต่น้อย จนทำให้คนที่พบเห็นนั้นรู้สึกว่าเขาล้อเล่นแต่ก็ไม่เชิง เพราะความจริงแล้วกลับไม่มีผู้ใดคาดเดาความคิดของเขาออกเลย 

 

 

ไม่ทันที่จะรอให้ฮ่องเต้ออกปาก ทันใดนั้นก็มีเงาร่างเงาหนึ่งเดินก้าวยาวๆ เข้ามา แล้วร้องบอกฟู่เส่าชิงว่า “องค์ชายเป่ยเจียงกล่าววาจาน่าขันยิ่งนัก นางยังเป็นไท่จื่อเฟยของเราอยู่ ไหนเลยจะยกให้เป็นไท่จื่อเฟยของท่านได้” 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] ไท่จื่อเฟย หมายถึง พระชายาขององค์รัชทายาท 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 238 ฝันไปเถิด 

 

 

 

 

 

จวินฉางอวิ๋นเดินเข้ามาในตำหนักด้วยโทสะพลุ่งพล่าน ทั่วทั้งร่างกายเต็มไปด้วยความหยิ่งทระนง ไม่ได้พบกันหลายวัน เขาที่ถูกจองจำเอาไว้ในวังตะวันออกนั้นดูเงียบขรึมลงไปมาก สายตาเย็นชาจ้องมองไปทางฟู่เส่าชิงและอวี้อาเหรา ในใจเต็มไปด้วยความเยียบเย็น ความแค้นที่มีต่ออวี้อาเหราในวันวานเขายังคงจำมันได้อย่างชัดเจน ไหนเลยจะยอมปล่อยนางไปแต่งงานกับฟู่เส่าชิงได้ง่ายๆ ฝันไปเสียเถิด! 

 

 

“ใช่แล้ว คุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋องเป็นว่าที่ไท่จื่อเฟย ได้หมั้นหมายกันไว้ตั้งนานแล้ว เช่นนั้นจะพระราชทานนางให้แก่องค์ชายได้อย่างไรเพคะ” เริ่นกุ้ยเฟยมองไปที่รัชทายาทชั่วครู่ 

 

 

ฟู่เส่าชิงหยักไหล่ ท่าทีราวกับว่าไม่ได้ฟังแม้แต่น้อย 

 

 

ใบหน้าของอวี้อาเหรานิ่งเงียบ มือกำเข้าหากันแน่น ไม่ว่าจะเป็นจวินฉางอวิ๋นหรือฟู่เส่าชิง นางก็ไม่อยากจะแต่งกับใครทั้งนั้น และนางก็ยิ่งไม่อยากให้ร่างกายของตัวเองถูกคนอื่นครอบงำไปทั้งร่าง นี่เป็นสิ่งที่นางไม่อาจยอมรับได้มากที่สุด แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้น ในช่วงเวลานี้แม้แต่สิทธิ์ในการปฏิเสธนางก็ยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ ไม่ใช่ว่าไม่กล้า แต่ทำไม่สามารถที่จะทำได้ 

 

 

หากนางมุทะลุทำอะไรออกไป เช่นนั้นก็เท่ากับเป็นการฆ่าคนทั้งจวนหลิงอ๋องให้ตาย! 

 

 

ฮ่องเต้ทอดพระเนตรอย่างเงียบๆ ก่อนจะตรัสขึ้นว่า “เริ่นกุ้ยเฟยกล่าวได้ถูกต้อง คุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋องเป็นว่าที่พระชายาขององค์รัชทายาท ได้ทำการหมั้นหมายกับรัชทายาทเอาไว้นานแล้ว หากแต่งกับพระองค์ก็คงจะผิดจารีต เรื่องนี้มิอาจยอมได้!” 

 

 

“ถ้าเช่นนั้นความหมายของฝ่าบาทคือ…” ฟู่เส่าชิงมองอย่างนิ่งๆ 

 

 

“องค์ชายได้โปรดเลือกคนอื่นเถิด” ฮ่องเต้ว่า 

 

 

“เช่นนั้นก็ได้” ฟู่เส่าชิงไม่ได้ดึงดันต่อไป เขาหันกลับมามองอีกครั้ง ก่อนสายตาจะหยุดลงบนร่างของจวินเสวียนจี กล่าวขึ้นว่า “ฝ่าบาท เช่นนั้นกระหม่อมขอเลือกองค์หญิงพระองค์นี้พ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“เสวียนจี?” ฮ่องเต้ชะงัก 

 

 

เจี่ยซูเฟยไม่ใคร่ยินดีนัก รอยยิ้มแข็งค้างขณะที่เอ่ย “เสวียนจีกำเนิดและถูกเลี้ยงดูในวังมาตั้งแต่ยังเล็ก หม่อมฉันรักและตามใจจนเสียคน เกรงว่าหากแต่งไปอยู่เป่ยเจียงแล้วจะทำให้องค์ชายทรงเสียพระพักตร์ได้นะเพคะ” 

 

 

ชื่อเสียงความเสเพลขององค์ชายเป่ยเจียงดังไกลไปทั่วหล้า ผู้ใดเลยจะกล้ายกลูกสาวให้แต่งงานกับคนไม่เป็นโล้เป็นพายเช่นนี้เล่า แม้ว่าว่าจะมีศักดิ์ฐานะเป็นถึงองค์ชาย แต่ใครๆ ต่างก็รู้ว่าอำนาจของเป่ยเจียงนั้นอยู่ในกำมือของจักรพรรดินี มิเช่นนั้นเขาคงไม่ถูกขับไล่ออกจากเป่ยเจียงเช่นนี้ 

 

 

นอกจากนั้นแล้ว จักรพรรดินีแห่งเป่ยเจียงนั้นยังเป็นคนที่เก่งกาจยิ่งนัก แม้ว่าจะเป็นเพียงหญิงแต่ก็ได้นั่งตำแหน่งกษัตริย์ ซึ่งเป็นคนแรกในรอบหลายพันปี ฝีไม้ลายมือนั้นเก่งกาจอย่างไม่ต้องสงสัย แม้ว่าจวินเสวียนจีจะเฉลียวฉลาดอีกสักเพียงใด แต่ก็ไม่ใช่คู่ปรับที่สมน้ำสมเนื้อของจักรพรรดินีแห่งเป่ยเจียง เพราะฉะนั้นใครจะกล้าส่งลูกสาวเข้าปากเสือกันเล่า แล้วตำแหน่งองค์ชายของฟู่เส่าชิงก็ไม่รู้ว่าจะถูกกำจัดทิ้งเมื่อใด 

 

 

เกรงว่ามีเพียงแต่น้องสาวโง่ๆ ของเริ่นกุ้ยเฟยที่ดูยินยอมพร้อมใจอยู่คนเดียวกระมัง 

 

 

ฮ่องเต้ส่ายพระพักตร์ “เสวียนจีเป็นองค์หญิงพระองค์โต เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับราชวงศ์และบ้านเมือง ให้เราคิดไตร่ตรองดูก่อนเถิด” 

 

 

เมื่อได้ยินฮ่องเต้กล่าวออกมาเช่นนี้ ในของเจี่ยซูเฟยก็เต้นระรัว ฮ่องเต้อาจจะส่งลูกสาวของตัวเองเข้าปากเสือเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีก็เป็นได้ ทันใดนั้นก็ลุกขึ้นยืนอย่างอดรนทนไม่ได้ “ฝ่าบาท หม่อมฉันมีบุตรสาวเพียงคนเดียว หากนางต้องแต่งออกไปไกลบ้าน หม่อมฉันจะทำอย่างไรเล่าเพคะ” 

 

 

“เจี่ยซูเฟยโปรดวางใจ หลังจากแต่งงานแล้วเราจะอยู่ที่เมืองเฟิงเฉิงแห่งนี้” ฟู่เส่าชิงกลับพูดขึ้นมาเช่นนี้ 

 

 

ชั่วขณะนั้นเจี่ยซูเฟยก็อึกอัก อับจนคำพูดที่จะกล่าว หากไม่ใช่เพราะคำนึงถึงหน้าตาของทั้งสองแคว้น เช่นนั้นนางคงกล่าวออกไปว่าลูกสาวของข้าไม่มีวันแต่งกับเจ้าไปเสียนานแล้ว 

 

 

“เสด็จแม่ วางพระทัยเถิดเพคะ” จวินเสวียนจีเดินเข้ามาดึงชุดกระโปรงของเสด็จแม่ตัวเองด้วยใบหน้านิ่งเฉย 

 

 

เมื่อเงยหน้าขึ้นมองฟู่เส่าชิงเล็กน้อย ในใจของนางเข้าใจดี และเสด็จพ่อก็ยิ่งเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ดีกว่าผู้ใด องค์ชายเป่ยเจียงนั้นไม่มีอำนาจในมือเลยแม้แต่น้อย หากไม่มีตำแหน่งองค์ชาย เขาก็คงจะไม่มีแม้แต่ข้าวจะกรอกลงท้อง เพราะฉะนั้นเสด็จพ่อไม่มีทางให้นางแต่งกับคนเช่นนี้แน่ 

 

 

ดังนั้น นางจึงไม่ได้รู้สึกกังวลใจแต่อย่างใด