ตอนที่ 239 ขอสมรสพระราชทานให้พี่สาว 

 

 

 

 

 

ดั่งที่คิดไว้ ฮ่องเต้พลันตรัสขึ้นว่า “ซูเฟยกล่าวได้ถูกต้อง เราและนางมีนางเป็นธิดาคนเดียว องค์ชายเองไม่ช้าก็เร็วต้องรับตำแหน่งกษัตริย์แห่งเป่ยเจียง หากต้องแต่งออกไปไกลเกรงว่าจะไม่เหมาะนัก ขอองค์ชายโปรดเห็นใจ ในเมื่อเรารับปากท่านแล้ว หากเป็นสตรีอื่นเรายินดีที่จะยกให้” 

 

 

“สตรีอื่น?” สายตาของฟู่เส่าชิงแฝงรอยยิ้มเอาไว้ ดวงตากวาดมองไปยังเหล่าหญิงสาวตระกูลใหญ่กลุ่มนั้น แต่สายตากลับไม่ได้หยุดลงที่ใคร 

 

 

“ฝ่าบาทเพคะ พี่สาวของหม่อมฉันอวี้จื่อเยียนเองก็ถึงวัยที่จะต้องออกเรือนแล้ว หากได้เสกสมรสออกไปเป็นไท่จื่อเฟยแห่งเป่ยเจียงก็คงจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีไม่น้อย ในเมื่อองค์ชายยังทรงเลือกไม่ได้ เช่นนั้นก็ทรงประทานพี่เยียนเอ๋อร์ให้สมรสกับองค์ชายแห่งเป่ยเจียงเถิดเพคะ” จู่ๆ อวี้อาเหราก็พูดขึ้นมา 

 

 

ทันทีที่พูดออกไปนั้น อวี้จื่อเยียนและอนุรองที่ยืนอยู่ด้านหลังก็ตกใจจนใบหน้าขาวซีดทันที 

 

 

กล่าวกันตามเหตุผลแล้ว การที่ลูกของอนุภรรยาได้แต่งงานขึ้นเป็นพระชายาเอกขององค์ชายเป่ยเจียงนั้นถือเป็นพระกรุณาสูงสุด แต่องค์ชายพระองค์นี้ก็ไม่เหมือนกับองค์ชายปกติทั่วไป แล้วใครเล่าจะยอมให้ลูกสาวตัวเองต้องแต่งไปกับเขา? ทว่าเมื่ออวี้อาเหราพูดออกมาเช่นนี้แล้ว แน่นอนว่าต้องเป็นการจงใจที่จะบีบคั้นพวกนางสองแม่ลูก 

 

 

อวี้จื่อเยียนโกรธเสียจนแทบเต้น “เหตุใดต้องให้ข้าแต่งกับเขาด้วย” 

 

 

“เหตุใดน่ะหรือ” อวี้อาเหรากล่าวเสียงเย็น “ข้าก็เป็นธิดาเอกแห่งจวนหลิงอ๋องมิใช่หรืออย่างไร” 

 

 

“ก็ใช่” อวี้จื่อเยียนถามกลับ “แล้วอย่างไร” 

 

 

“ที่จริงเรื่องการแต่งงานนั้นควรเป็นเรื่องที่เสด็จแม่ของข้าที่จะต้องจัดการ แต่ตอนนี้เสด็จแม่ก็ไม่อยู่แล้ว แน่นอนว่าข้าที่เป็นบุตรสาวก็ควรจะต้องจัดการเอง หรือเจ้าก็คิดว่าตำแหน่งไท่จื่อเฟยนั้นไม่คู่ควรกับเจ้า?” 

 

 

“ข้า…ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น เพียงแต่…” อวี้จื่อเยียนจะยอมแต่งกับฟู่เส่าชิงได้อย่างไรกัน หากทำเช่นนั้นก็ไม่เท่ากับว่าเป็นการกระโดดลงไปในกองไฟหรอกหรือ 

 

 

“ในเมื่อไม่ใช่เช่นนั้นก็ดีแล้ว สมรสพระราชทานจากฝ่าบาทนั้นถือเป็นพระกรุณาสูงสุดของจวนหลิงอ๋องเรา” 

 

 

ในยามนี้อวี้จื่อเยียนจะบอกว่าไม่ยินยอมก็ไม่กล้า อย่างไรเสียที่นี่ก็ไม่ใช่จวนหลิงอ๋อง ที่นางเพียงโวยวายเท่าไรก็เพียงถูกหลิงอ๋องลงโทษครั้งสองครั้ง แต่ที่นี่คือวังหลวง ต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท หากนางประมาทเพียงน้อยก็อาจจะถูกตัดหัวได้ง่ายๆ ไหนเลยนางจะกล้าแผลงฤทธิ์ได้ 

 

 

เช่นนั้นจึงทำได้เพียงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันจ้องมองอวี้อาเหราอย่างคับแค้น นี่นางก็จงใจที่จะทำร้ายตนเองชัดๆ 

 

 

ใบหน้าของอนุรองเผือดสี ลูกตากลอกกลิ้งไปมา ก่อนจะเหลือบมองไปยังหลิงอ๋อง “ท่านอ๋อง ท่านคงจะไม่รับปากนะเพคะ…” 

 

 

ใบหน้าของหลิงอ๋องออกจะดูไม่ยินดีอยู่บ้าง ฟู่เส่าชิงเป็นคนเช่นไรไหนเลยเขาจะไม่รู้ แล้วเขาจะปล่อยให้เยียนเอ๋อร์แต่งออกไปอยู่ถึงเป่ยเจียงได้อย่างไรกัน เขามองอวี้อาเหราด้วยสายตาไม่พอใจ พยายามที่จะเอ่ยเกลี้ยกล่อมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อาเหรา เรื่องแต่งงานของเยียนเอ๋อร์เอาไว้ให้พ่อจัดการเอง เจ้าไม่ต้องสนใจหรอก” 

 

 

ทว่าอวี้อาเหรากลับไม่ฟัง ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปตรงกลางของพระตำหนัก “ขอฝ่าบาทโปรดพระราชทานสมรสแก่พี่สาวของหม่อมฉันด้วยเพคะ” 

 

 

“เรื่องนี้…” ฮ่องเต้รู้สึกลังเลพระทัยอยู่บ้าง อย่างไรเสียอวี้จื่อเยียนก็ไม่ได้เป็นคนที่มีความสลักสำคัญอันใด หากประทานให้กับฟู่เส่าชิงเสียก็คงจะเป็นการดียิ่ง ไม่เพียงแต่เป็นการผูกสัมพันธ์กับเป่ยเจียง อีกทั้งยังไม่ต้องปล่อยผู้อื่นต้องแต่งงานออกไปไกล ว่ากันตามเหตุผลแล้วนี่ก็เป็นความคิดที่ดีมาก แต่สำหรับหลิงอ๋องแล้ว คาดว่าเขาคงจะไม่พอใจนัก 

 

 

ฟู่เส่าชิงมองไปยังอวี้จื่อเยียน จู่ๆ หัวเราะขึ้นเสียงดัง “ฝ่าบาท ในเมื่อคนนั้นก็ไม่ยอมแต่ง คนนี้ก็ไม่ยอมแต่ง เช่นนั้นก็ช่างเถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเองก็ต้องการเพียงคุณหนูรอง สำหรับคุณหนูใหญ่นั้น…” 

 

 

“เจ้า!” อวี้อาเหรากล้ำกลืนความโทสะลงไป ก่อนจะค่อยๆ ควบคุมสติและอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ 

 

 

ในยามนี้เองนางก็เพิ่งเข้าใจว่าฟู่เส่าชิงนั้นก็ไม่ได้ต้องการจะแต่งกับใครอยู่แล้วตั้งแต่แรก ทั้งๆ ที่เขาก็รู้อยู่แล้วว่าทั้งนางและจวินเสวียนจีนั้นต้องปฏิเสธแน่ แต่ก็กลับยังร้องขออย่างไม่ยอมแพ้ เมื่อคิดดูแล้ว เขาเองก็คงไม่ต้องการสมรสพระราชทานนัก! 

 

 

หลังจากที่นางเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด ก็เข้าใจถึงแผนการของฟู่เส่าชิงอย่างทะลุปรุโปร่ง เช่นนั้นจึงอยากที่จะช่วยเหลือเขาบ้าง 

 

 

ในยามนี้หากเขาบอกว่าไม่ต้องการ ฝ่าบาทที่ปฏิเสธเขาถึงสองครั้งก็คงต้องยอมโอนอ่อนผ่อนตามประสงค์ของเขาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 240 ตาบอด 

 

 

 

 

 

เช่นนั้นอวี้อาเหราจึงไม่ได้กล่าวอะไรออกมาอีก อย่างไรเสียหากพูดไปฮ่องเต้ก็คงไม่รับปาก 

 

 

ฮ่องเต้มองคนทั้งสอง ก่อนจะกล่าวด้วยพระสุรเสียงที่เคร่งขรึมว่า “ในเมื่อองค์ชายไม่โปรด เช่นนั้นก็ช่างเถิด” 

 

 

เมื่อเรื่องราวสรุปลงเช่นนั้น ทั้งสองจึงเดินกลับไปยังที่นั่งประทับอีกครั้ง 

 

 

อวี้จื่อเยียนกดเสียงต่ำพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเย็นว่า “สุดท้ายเรื่องนี้ก็ไม่ได้เป็นไปตามที่เจ้าปรารถนา” 

 

 

อวี้อาเหราตีสีหน้านิ่งเรียบ “ครั้งนี้ไม่สำเร็จ แต่ครั้งหน้าก็ไม่แน่” 

 

 

“เจ้า!” อวี้จื่อเยียนถูกนางยั่วยุเสียจนพูดไม่ออก 

 

 

มุมปากของเจาเอ๋อร์ผุดขึ้นเป็นรอยยิ้ม เมื่อเห็นท่าทีของคุณหนูใหญ่ที่ถูกคุณหนูของนางทำให้โกรธจนพูดไม่ออกนั้นก็รู้สึกขบขันยิ่งนัก 

 

 

ฮ่องเต้ทอดพระเนตรลงไป ก่อนจะโบกพระหัตถ์ตรัสขึ้นว่า “รัชทายาทเข้าไปนั่งได้” 

 

 

“ไม่จำเป็นพ่ะย่ะค่ะ” จวินฉางอวิ๋นโบกมือ “ลูกยังต้องไปเข้าเฝ้าเสด็จย่า ขอทูลลา” 

 

 

หลังจากกล่าวจบ เขาก็หมุนกายแล้วเดินออกไปอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย 

 

 

“ช่างโอหังยิ่งนัก!” ดวงพระเนตรของฝ่าบาทฉายแววเกรี้ยวโกรธ ขว้างจอกสุราที่อยู่บนโต๊ะลงพื้นด้วยโทสะ จนคนที่อยู่ในที่แห่งนั้นตกใจไปตามๆ กัน ไม่กล้าที่จะส่งเสียงอะไรออกมาอีกแม้แต่น้อย นี่องค์รัชทายาทก็ไม่เห็นแก่พระพักตร์ของฝ่าบาทสักหน่อยเลยหรือ 

 

 

“ฝ่าบาทอย่าทรงกริ้วไปเลยเพคะ องค์รัชทายาทถูกอยู่ในวังตะวันออกเป็นเวลานานถึงเพียงนี้ แน่นอนว่าต้องเป็นกังวลต่อพระพลานามัยของไทเฮาอยู่บ้าง เห็นแก่ความกตัญญูของพระองค์แล้ว ทรงละเว้นสักครั้งเถิดนะเพคะ” เริ่นกุ้ยเฟยก้าวเข้ามาอยู่ในสายพระเนตรอันแข็งกร้าว ยอมเสี่ยงภัยเพื่อทำลายบรรยากาศน่าอึดอัดนี่เสีย 

 

 

ฮ่องเต้พ่นลมหายใจ ไม่พูดอะไรออกมาอีก ก้มหน้าลงดื่มเหล้าลงไป 

 

 

รัชทายาทกับฝ่าบาทนั้นนับว่าเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร นับตั้งแต่ครั้งที่ฮองเฮาพระองค์ก่อนยังทรงพระชนม์ชีพนั้นรัชทายาทก็เป็นผู้กตัญญูยิ่งนัก ไร้ซึ่งความทะเยอทะยาน มักเข้าวังมาอยู่เป็นเพื่อนเสมอ และฮ่องเต้ที่เห็นเขาเป็นคนกตัญญูนั้นก็ให้ความรักเป็นอย่างดี แต่ไม่คิดว่าผ่านไปไม่กี่ปี หลังจากที่ฮองเฮาพระองค์ก่อนสิ้นพระชนม์ไป นับตั้งแต่นั้นรัชทายาทก็ต่อต้านฮ่องเต้มาโดยตลอด 

 

 

ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าเข้าไปเอ่ยปลอบ เพราะไม่มีใครอยากที่จะถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย 

 

 

เพราะอย่างนั้นจึงทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างบิดากับบุตรนับทียิ่งแย่ลงเรื่อยๆ 

 

 

งานเลี้ยงจึงจบลงด้วยความอึมครึมเช่นนี้ 

 

 

จนกระทั่งเมื่องานจบลงแล้ว ก็มองไม่เห็นฉู่ป๋ายแม้แต่เงา 

 

 

ในใจของอวี้อาเหราจมดิ่ง ทว่าใบหน้ากลับไม่แสดงออกแม้แต่น้อย  

 

 

หลังจากงานเลี้ยงสิ้นสุดลง หลิงอ๋องก็จากไปด้วยโทสะ เพราะยังคงโกรธเคืองเรื่องที่อวี้อาเหราทูลขอพระราชทานสมรสให้กับอวี้จื่อเยียน ส่วนอนุรองสองแม่ลูกกลับดีใจยิ่งนัก เพราะยากที่จะเห็นหลิงอ๋องโกรธเคืองอวี้อาเหราได้ เช่นนั้นจึงตามเขาไปติดๆ 

 

 

อวี้อาเหรากำลังจะลุกยืนขึ้นจากที่ประทับ ทว่าเริ่นหว่านเอ๋อร์ก็ก้าวเข้ามา หลังจากที่พวกนางสองคนนิ่งเงียบกันไปพักหนึ่งแล้ว อวี้อาเหราจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นมาก่อนอย่างอดไม่ได้ “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่” 

 

 

“ข้าไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ” เริ่นหว่านเอ๋อร์หลุบหน้าลงก่อนจะส่ายหน้าน้อยๆ 

 

 

อวี้อาเหรามองออกว่านางกำลังอยู่ในอารมณ์ผิดปกติ ก็รู้ว่าการกระทำเมื่อครู่ของฟู่เส่าชิงนั้นทำให้นางเจ็บปวดใจเพียงใด 

 

 

เริ่นกุ้ยเฟยเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะเหลือบมองเริ่นหว่านเอ๋อร์คราหนึ่ง “เจ้าทำท่าทีเช่นนี้ให้ใครมองกัน เดิมทีเขาก็ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรต่อเจ้าเลยแม้แต่น้อย เจ้าก็ตาบอดจริงๆ ที่หลงดูแลเขามานานหลายปีเช่นนี้ เจ้าก็ไม่ควรช่วยเขาไว้ตั้งแต่ทีแรก! เจ้าเป็นน้องแท้ๆ ของข้า อีกทั้งยังเป็นธิดาเอกแห่งจวนสกุลเริ่น ต้องการบุรุษใดมีหรือจะไม่ได้? เขาเสเพลถึงเพียงนี้ ก่อเรื่องไว้มากมาย หากเจ้าแต่งไปกับเขาก็มีแต่จะเสียเปรียบ เมื่อครู่ข้าเห็นท่านพ่อออกไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัว คงเป็นเพราะท่านเจ็บปวดใจกับการกระทำของเจ้า เจ้าก็ตามไปดูกับพี่ประเดี๋ยวนี้” 

 

 

“ท่านพ่อโกรธหรือ” เริ่นหว่านเอ๋อร์ไม่รู้เลยแม้แต่น้อย ใบหน้าของนางฉายแววตกอกตกใจเป็นอันมาก 

 

 

เริ่นกุ้ยเฟยพยักหน้าลง “เจ้าสนใจแต่เพียงองค์ชายแห่งเป่ยเจียง แม้แต่ท่านพ่อเจ้าก็ลืมหมดแล้วหรือ?” 

 

 

“ขออภัยท่านพี่ เป็นเพราะข้าไม่ดี…” 

 

 

“ช่างเถิด ไปกันเถอะ” เริ่นกุ้ยเฟยมองนางอย่างเป็นห่วงเป็นใย ทำได้แต่เพียงทอดถอนใจออกมาเท่านั้น หากเป็นคนอื่นนางก็คงไม่พูดจาดีถึงเพียงนี้