ตอนที่ 241 จู่โจม 

 

 

 

 

 

แต่น้องสาวผู้นี้กลับอ่อนกว่านางเป็นสิบยี่สิบปี จนเกือบจะกล่าวได้ว่านางนั้นเลี้ยงดูมาเองกับมือ เรื่องความรู้สึกนั้นย่อมไม่ต้องพูดถึง ด้วยนิสัยนั้นก็ไม่เหมือนกับนางที่มักปรับตัวไปตามสถานการณ์ จิตใจนับว่ายังซื่อบริสุทธิ์ยิ่งนัก 

 

 

“เจ้าค่ะ” เริ่นหว่านเอ๋อร์พยักหน้าลงน้อยๆ ก่อนจะเดินตามเริ่นกุ้ยเฟยออกไปด้านนอก 

 

 

จวินไหวซ่งกล่าววาจาเย้ยหยันกับอวี้อาเหราขึ้นว่า “ไม่คิดว่าหญิงเช่นเจ้าจะมีความสามารถเช่นนี้ ผ่านไปเพียงสองเดือนไม่เพียงแต่จะทำให้เซิ่นซื่อจื่อหลงหัวปักหัวปำ แม้แต่องค์ชายเป่ยเจียงและเสด็จพี่รัชทายาทเองก็ยังถูกเสน่ห์ของเจ้าเล่นงาน ข้าก็คงเลียนแบบการหว่านเสน่ห์ของเจ้าไม่ได้จริงๆ…” 

 

 

“องค์หญิงรองกล่าววาจากระทบกระทั่งกันเช่นนี้ก็สนุกมากหรือไม่” น้ำเสียงของอวี้อาเหราแฝงด้วยความเย็นชา 

 

 

นางเองก็ไม่รู้ว่าตนเองไปยั่วโมโหคนผู้นี้ตั้งแต่เมื่อใด ทุกครั้งนางถึงมักจะเห็นตนเองขวางหูขวางตา จะต้องตรงเข้ามากล่าววาจาเย้ยหยันอยู่ร่ำไป ก็ช่างเป็นพวกกินอิ่มแล้วฟุ้งซ่านชอบหาเรื่องโดยแท้! 

 

 

“แน่นอนว่าข้าสนุกมาก” จวินไหวซ่งจ้องมองนางด้วยใบหน้าพรายยิ้ม จวินไหวโหรวที่อยู่ด้านข้างจึงชายเสื้อของนางไว้ “พี่หญิงรอง พวกเรากลับกันเถิดเพคะ” 

 

 

“รีบกลับไปทำไมกัน” จวินไหวซ่งไม่แยแส 

 

 

“…” จวินไหวโหรวหมดคำที่จะกล่าว ได้แต่นำผ้าเช็ดหน้ายกขึ้นปิดปากแล้วไอออกมาแรงๆ สองสามครั้ง จนจวินไหวซ่งที่ได้ยินนั้นถึงกับรู้สึกหงุดหงิด “เอาเถิดๆ เจ้าทำท่าป่วยไข้เสียทั้งปีทั้งชาติ ข้าจะกลับไปพักผ่อนเป็นเพื่อนเจ้าก็แล้วกัน เริ่นกุ้ยเฟยนี่ก็เหลือเกิน ใช้ให้ข้าดูแลเจ้าอยู่ได้” 

 

 

“ขออภัยพี่หญิงรอง…” จวินไหวโหรวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง  

 

 

“ช่างเถิด ไปเสียสิ” จวินไหวซ่งปวดหัว 

 

 

เมื่อเห็นว่าคนเหล่านั้นจากไปกันหมดแล้ว เจาเอ๋อร์ก็เอ่ยเตือนขึ้นว่า “คุณหนู พวกเราก็ไปกันเถิดเจ้าค่ะ” 

 

 

“อืม” อวี้อาเหราพยักหน้า 

 

 

หลังจากเดินออกมาจากราชอุทยานแล้ว ทั้งสองก็เตรียมจะขึ้นมาเพื่อออกจากวัง กระนั้นถึงได้พบว่าหลิงอ๋องและนุรองนั้นได้ออกจากวังเสียนานแล้ว 

 

 

ดูท่าแล้ว เรื่องราวในครั้งนี้หลิงอ๋องคงไม่พอใจในสิ่งที่นางกระทำลงไปเป็นอย่างมาก แต่นี่ก็ไม่แปลกนัก หลิงอ๋องนั้นมีเมตตาอยู่เสมอ อย่างไรเสียเขาก็ไม่อาจทำใจส่งบุตรสาวไปเข้าปากเสือเช่นนี้ได้แน่ 

 

 

ขณะที่นางกำลังจะก้าวขึ้นรถม้านั้น กลับเห็นชายเสื้อสีดำห้อยตกอยู่บนต้นไม้ต้นหนึ่งไม่ไกลนัก เป็นอาภรณ์แบบที่คนธรรมดามักจะไม่สวมใส่กัน อีกทั้งคนผู้นั้นยังกล้าที่จะนอนบนต้นต้นไม้ที่ปลูกอยู่หน้าประตูวังหลวงอีกเช่นนั้น นี่ก็กำลังรนหาที่ตายอยู่หรืออย่างไร เมื่อมองนานเข้า นางก็พลันเห็นกระบี่ที่เผยออกมาให้เห็น อวี้อาเหราจ้องมองนิ่งตาค้าง 

 

 

นางก็จดจำกระบี่เล่มนั้นได้ เป็นกระบี่ของผู้ที่ทำร้ายนางในเขาวั่วหลงซานวันนั้นนั่นเอง! 

 

 

ในยามนั้น บุรุษชุดดำสวมใส่หน้ากากที่ดูน่าหวาดกลัว จนถึงตอนนี้นางก็ยังคงจำมันได้ดีราวกับเพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน 

 

 

“เจาเอ๋อร์ เจ้ารอข้าอยู่ตรงนี้ก่อน เดี๋ยวข้ากลับมา” อวี้อาเหราเอ่ยสั่งขึ้น นางเดินตรงเข้าไปที่ต้นไม้ต้นนั้นอย่างทนไม่ได้ อยากจะรู้นักว่าคนผู้นั้นเป็นใครกัน เหตุใดถึงต้องการที่จะสังหารนางเช่นนี้! 

 

 

หลังจากมาถึงที่ใต้ต้นไม้แล้ว นางถึงได้พบว่าเป็นชายหนุ่มผู้หนึ่งที่กำลังนอนหลับตาอยู่บนต้นไม้ ท่าทางราวกับกำลังจมอยู่ในห้วงหลับใหล นางก้าวเข้าไปใกล้เล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว ถึงได้เห็นว่าบนใบหน้าของเขานั้นยังคงมีหน้ากากบดบังเอาไว้ อีกทั้งยังคงดูน่าหวาดกลัวเหมือนเช่นวันนั้น นางจ้องมองนิ่งๆ ในขณะที่กำลังจะร้องเรียกองครักษ์ของตัวเองอยู่นั้น เขาก็พลันลืมตาขึ้นในทันที พลิกกายด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะใช้กระบี่วางพาดเอาไว้ที่คอของนาง 

 

 

“อย่าขยับ” 

 

 

น้ำเสียงนั้นเย็นเยียบเป็นอย่างมาก ราวกับเสียงที่ถูกส่งมาจากนรก อาจจะเป็นเพราะเสียงถูกส่งผ่านหน้ากาก จึงทำให้เสียงนั้นฟังดูอู้อี้และแหบพร่าอยู่บ้าง 

 

 

ไม่ทันที่จะให้อวี้อาเหราตอบสนอง เขาก็เอากระบี่พาดลำคอนางเสียแล้ว  

 

 

การกระทำทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในเวลาไม่เกินสามวินาที เห็นได้ว่าชัดฝีมือทางด้านการต่อสู้ของชายหนุ่มนั้นรวดเร็วเพียงใด 

 

 

เจาเอ๋อร์ที่จ้องมองอยู่ตรงนั้นมาโดยตลอด เมื่อเห็นดังนั้นก็ร้องขึ้นอย่างตกใจ แม้ว่าต้าเว่ยจะปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ฝีมือก็ยังไม่สู้ชายผู้นั้น กล้าที่จะจู่โจมนางซึ่งๆ หน้าเช่นนั้น ก็รู้ว่าฝีมือไม่ใช่ธรรมดาแน่ ราชองครักษ์จำนวนมากล้วนเข้ามาล้อมตัวพวกเขาทั้งสองเอาไว้ 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 242 เจ้าสำนักมืด 

 

 

 

 

 

ท่าทีของอวี้อาเหรายังคงเรียบนิ่ง “เจ้าต้องการอะไรกันแน่” 

 

 

ชายหนุ่มไม่ตอบคำ 

 

 

เจาเอ๋อร์พลันเป็นกังวลขึ้นมาแล้ว “เจ้าก็ช่างบังอาจยิ่งนัก รีบปล่อยคุณหนูของข้าเดี๋ยวนี้นะ มิเช่นนั้นหากไม่ตายเจ้าก็จะถูกแล่เนื้อออกมาเป็นชิ้นๆ!” 

 

 

“ออกมา” บุรุษที่สวมหน้ากากตะคอกเสียงต่ำออกมา หญิงสาวสวมชุดดำที่ปิดบังใบหน้าจำนวนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นสู่สายตา 

 

 

อวี้อาเหราเห็นดังนั้นก็รู้แล้วว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สู้ดีเสียแล้ว ไม่คิดว่าเขาจะมีผู้คอยช่วยเหลืออยู่ด้วย การกระทำของเขาแผ่วเบาไร้สุ้มเสียง เรื่องวรยุทธ์นั้นก็ไม่แน่ว่าจะด้อยไปกว่าพวกต้าเว่ย  

 

 

“เจ้าบอกให้พวกมันถอยไปเสียดีๆ ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า ไม่อย่างนั้นก็อย่าได้โทษหากข้าจะฆ่าเจ้าให้ตายเสียตรงนี้!” บุรุษสวมหน้ากากกระซิบชิดใบหูของนาง อวี้อาเหราพลันโกรธขึ้นมาในทันใด “เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อคำพูดโง่ๆ ของเจ้างั้นหรือ” 

 

 

“เจ้าจะไม่เชื่อก็ได้ แต่หากว่าข้าจะฆ่าเจ้าขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ข้าจะให้เวลาเจ้าสามวินาที หากยังไม่ยอมตัดสินใจอีก ก็อย่าหาว่าข้าลงมือไม่ไว้ไมตรี” 

 

 

น้ำเสียงของเขานั้นไพเราะเป็นอย่างมาก หากว่าตอนนี้นางไม่มีดาบพาดคออยู่แล้วล่ะก็ นางก็คงจะรู้สึกชื่นชมเสียงเขาอยู่บ้างหรอก เพียงแต่ตอนนี้หากสามารถรักษาชีวิตตัวเองเอาไว้ได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว ไม่มีทางเลือก อวี้อาเหราจึงทำได้แต่เพียงหันไปสั่งกับเจาเอ๋อร์ “เจ้าบอกให้พวกเขาถอยไปเสีย” 

 

 

“แต่ว่าคุณหนู…” เจาเอ๋อร์ยังคงไม่วางใจ  

 

 

“หรือแม้แต่คำสั่งของข้าพวกเจ้าก็ไม่คิดที่จะฟังแล้ว?!” 

 

 

“เจ้าค่ะ!” เจาเอ๋อร์หันไปสั่งการคนอื่นๆ “ไม่เห็นหรือว่าคุณหนูกำลังตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกมัน รีบถอยออกไปเร็ว!” 

 

 

คนทั้งหมดต่างก้าวถอยหลังออกไปเล็กน้อย แต่กลับไม่คิดว่าบุรุษที่สวมหน้ากากนั้นจะลากนางกระโจนขึ้นไปนบต้นไม้ ร่างของเขาโผบินขึ้นไปราวกับนกนางแอ่น ไม่รู้ว่าหนีหายไปที่ใด 

 

 

“เจ้าคิดจะทำอะไร” อวี้อาเหราถามด้วยความโกรธเคือง 

 

 

“หากยังจะพูดมากอีก ข้าจะทิ้งเจ้าเอาไว้เสียตรงนี้” 

 

 

วาจานี้ทำให้อวี้อาเหราตกใจจนหุบปากลงฉับ เมื่อมองลงไปข้างล่างก็เห็นว่านางอยู่บนความสูงอย่างน้อยหลายจั้ง หากตกลงไปแล้วไม่ตายก็คงกลายเป็นคนพิการหรือไม่แน่ก็ต้องนอนเป็นผัก เช่นนั้นในใจของนางรู้สึกกระสับกระส่ายยิ่งนัก เหตุใดนางถึงต้องซวยไปเสียทุกครั้ง หากไม่โดนทำร้ายก็ต้องโดนตามฆ่า ครั้งนี้ยังถูกเรียกค่าไถ่ไปเสียอีก 

 

 

ขณะที่นางกำลังคิดไปต่างๆ นานา บุรุษที่สวมหน้ากากผู้นั้นก็ทะยานลงสู่พื้น 

 

 

“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ!” อวี้อาเหรากวาดมองไปรอบๆ กาย พบว่าที่นี่เป็นป่ารกร้างแห่งหนึ่ง ไม่รู้ว่าคือที่ไหนเช่นกัน เดิมทีนางนั้นไม่คุ้นเคยกับเมืองเฟิ่งเฉิงอยู่แล้ว ตอนนี้ไหนเลยจะสามารถแบ่งแยกได้ว่าที่ไหนเป็นที่ไหน ทำได้แต่เพียงมองไปยังบุรุษที่สวมหน้ากากอย่างไม่สบอารมณ์  

 

 

เขาเองก็ยอมปล่อยมือออกแต่โดยดี 

 

 

อวี้อาเหรามองเล็กน้อย ก่อนจะสาวเท้าวิ่งหนีโดยพลัน 

 

 

บุรุษที่สวมหน้ากากกลับไม่ได้รีบร้อน เมื่อเห็นนางวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิตเช่นนี้ ก็ตะโกนขึ้นไปบนฟ้าด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ไปจับตัวมา” 

 

 

“เจ้าค่ะ” ได้ยินเสียง แต่กลับไม่เห็นตัว 

 

 

เมื่ออวี้อาเหราเห็นว่าวิ่งออกมาได้ไกลพอสมควรแล้ว แต่ก็กลับไม่เห็นว่าด้านหลังจะมีผู้ใดตามมา ทันใดนั้นก็มองไปทางด้านหลังด้วยความงงงัน 

 

 

ในใจของนางรู้เป็นอย่างดีว่านางที่ไม่มีวรยุทธ์นั้นทำอย่างไรก็หนีอีกฝ่ายไม่พ้น แต่ว่ายังมีพวกต้าเว่ย ขอแค่สามารถหาโอกาสได้ ไม่แน่นางก็คงจะได้รับความช่วยเหลือ 

 

 

ในยามที่นางกำลังเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้านั้นเอง ที่ด้านหลังก็ปรากฏเงาของคนชุดดำหลายคน รูปร่างอรชรบอบบาง ที่แค่มองก็รู้ว่าเป็นสตรีเพศ 

 

 

อวี้อาเหราหันกลับไปเห็นก็ตกใจ “พวกเจ้ามาตั้งแต่เมื่อไร” 

 

 

หญิงสาวในชุดดำหลายนางนั้นไม่ฟังที่นางพูดเลยแม้แต่น้อย กลับพุ่งตรงเข้ามาจับตัวนางทันที อวี้อาเหราที่มีความรู้ด้านการต่อสู้น้อยนิดก็ถูกรวบตัวภายในเวลาไม่นาน ก่อนจะถูกนำตัวมาอยู่ตรงหน้าบุรุษผู้สวมหน้ากาก หญิงสาวในชุดดำเหล่านั้นคุกเข่าลงด้วยความนอบน้อม “ท่านเจ้าสำนัก นำตัวมาแล้วเจ้าค่ะ” 

 

 

ท่านเจ้าสำนักหรือ? หัวสมองของนางประมวลผลอย่างรวดเร็ว ดูท่าทางแล้วพวกเขาคงจะเป็นคนจากเจียงหู แต่ว่านางไปล่วงเกินคนพวกนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน แม้แต่นางเองก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ