“หัวหน้า! ”
องครักษ์เงานายหนึ่งส่งเสียงเรียกจิ้นหนานเฟิงด้วยความกังวลใจ
“ยังไม่รีบไล่ตามไปอีก! ” จิ้นหนานเฟิงออกคำสั่ง “เฝ้าระวังอยู่ตลอด แต่กลับปล่อยให้ผู้ร้ายเข้ามาในถิ่นของตนเองโดยไม่รู้ตัว เว่ยเหม่ยเจียคือคนที่ท่านอ๋องทรงมีพระบัญชามาว่าให้สังหารทันที หากกลับไปแล้วท่านอ๋องทราบว่านางยังไม่ตาย ทั้งยังหนีรอดไปได้อีก จากนิสัยของท่านอ๋อง พวกเราจะมีชีวิตรอดอยู่ที่วิหารวิญญาณหรือไม่ก็ยังไม่รู้เลย ไม่แน่ว่าอาจถูกตัดหัวไปด้วย”
“รับทราบ! ”
ทันใดนั้น เหล่าองครักษ์เงาก็ได้สติและรีบไล่ตามออกไป
จิ้นหนานเฟิงกำลังจะเดินออกจากประตู ทันใดนั้น หางตาก็เหลือบไปเห็นเฉินไท่เฟยที่นอนอยู่บนเตียง แม้เฉินไท่เฟยจะหมดสติ ทว่าตามร่างกายของนางกลับไร้ซึ่งบาดแผลและรอยเลือด จิ้นหนานเฟิงจึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เหตุใดนางถึงยังมีชีวิตอยู่? ”
องครักษ์เงานายหนึ่งพูดตอบเสียงตะกุกตะกัก “เฉิน… ไท่เฟยเป็นพระมารดาแท้ๆ ของท่านอ๋อง พวกข้า… พวกข้าไม่กล้าลงมือจริงๆ ”
“พวกสวะ! ”
จิ้นหนานเฟิงตำหนิเสียงดัง “ท่านอ๋องทรงรับสั่งด้วยตนเอง ยังมีอันใดไม่กล้าอีก? ” เขาชักกระบี่ข้างกายออกมาและเดินเข้าไปหาเฉินไท่เฟยที่นอนอยู่บนเตียง คิดจะลงมือด้วยตนเอง
ขณะที่กระบี่ของจิ้นหนานเฟิงกำลังจะปลิดชีวิตเฉินไท่เฟย ทันใดนั้น องครักษ์เงานายหนึ่งก็พูดทัดทานขึ้น
“หัวหน้า ท่านยืนยันแน่ชัดแล้วหรือว่าท่านอ๋องทรงรับสั่งให้สังหารผู้คนทั้งหมด รวมถึงไท่เฟยด้วย? ไท่เฟยทรงเป็นพระมารดาแท้ๆ ของท่านอ๋อง แม้ท่านอ๋องจะเป็นชายชาติทหารที่เข้มแข็งเด็ดเดี่ยว ทว่าเรื่องสังหารมารดาแท้ๆ ของตน ท่านอ๋องไม่มีทางทำได้แน่”
หลังจากที่องครักษ์เงานายนั้นพูดขัดขวาง จิ้นหนานเฟิงจึงเกิดความลังเล
เมื่อครู่เพื่อเป็นการยืนยัน เขาได้วิ่งออกไปถามท่านอ๋องอีกครั้ง ทว่าท่านอ๋องไม่ได้ตอบกลับอันใด
วิเคราะห์จากประสบการณ์ที่ได้รับใช้ข้างกายท่านอ๋องมานานหลายปี ท่าทางเช่นนี้หมายถึง ‘ไม่ต้องถามอีก! ’
อย่างไรก็ตาม ไม่มีสิ่งใดรับประกันว่าการวิเคราะห์และประสบการณ์ของเขาจะไม่ผิดพลาด!
จิ้นหนานเฟิงครุ่นคิด เขาอดหันไปมองเฉินไท่เฟยที่อยู่ภายใต้คมกระบี่ไม่ได้
ท่านอ๋องหมายความว่าอย่างไรกันแน่? ต้องสังหารเฉินไท่เฟยหรือไม่?
หากสังหารแล้วเกิดความผิดพลาด จะทำอย่างไร?
หากสังหารพระมารดาของท่านอ๋อง แล้วหลังจากนี้ท่านอ๋องทรงลงทัณฑ์ ไม่ต้องพูดถึงชีวิตของเขาเลย กระทั่งบรรดาพี่น้องที่ร่วมปฏิบัติหน้าที่ในตำหนักหนานย่วนวันนี้ ล้วนไม่มีทางรอดชีวิตไปได้แน่นอน
หากไม่สังหาร เมื่อท่านอ๋องทรงทราบและทรงพิโรธ เขาก็ไม่รอดอีกเช่นกัน
จิ้นหนานเฟิงลำบากใจยิ่งนัก
เกิดเป็นมนุษย์ว่ายากแล้ว เป็นบุรุษยิ่งยากกว่า และการเป็นองครักษ์ข้างกายโยวอ๋องนั้นยากที่สุด!
จิตใจของท่านอ๋องช่างคาดเดาได้ยากเสียจริง
“หัวหน้า ข้ามีวิธีหนึ่ง! ”
“รีบว่ามา! ”
“มิสู้ตอนนี้พวกเราคุมตัวไท่เฟยกลับไปที่วิหารวิญญาณก่อน อย่างไรเสีย ท่านอ๋องก็ไม่ได้เสด็จไปที่วิหารวิญญาณบ่อยนัก รอจนท่านอ๋องทรงบรรเทาความโกรธลงบ้าง หัวหน้าก็ลองทูลถามหยั่งเชิงดู หากพระบัญชาในวันนี้หมายรวมถึงไท่เฟยด้วย พวกเราค่อยสังหารนางอย่างลับๆ ภายหลังก็ยังไม่สาย หากไม่ได้มีรับสั่งให้สังหารนาง เช่นนั้นก็ถือเป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือ”
ความคิดดี!
เป็นวิธีแก้ปัญหาที่ดีมาก
แววตาจิ้นหนานเฟิงเปล่งประกาย
ทว่าทันใดนั้น เขาก็หันไปตบศีรษะขององครักษ์นายนั้น “บัดซบ ความคิดของท่านอ๋อง ใช่เรื่องที่เจ้ากับข้าจะทำเป็นล้อเล่นได้หรือ”
แม้จิ้นหนานเฟิงจะพูดเช่นนั้น ทว่าใบหน้าของเขากลับปรากฏรอยยิ้มพึงพอใจ ก่อนจะเดินออกไป
“เรียกพี่น้องของเรามาคุมตัวไท่เฟยไป! ”
“รับทราบ! ”
องครักษ์เงาตอบรับด้วยความดีใจ ภายในใจของเขารู้สึกยินดียิ่งนัก
ปกติแล้ว แม้พวกเขาจะได้ทำงานร่วมกับหัวหน้าจิ้นทั้งวัน ทว่าโอกาสที่จะแสดงความสามารถกลับมีไม่มาก
วันนี้นับว่าเขาได้ช่วยหัวหน้าจิ้นแก้ปัญหาที่ยากที่สุดเรื่องหนึ่ง ต่อไปในภายภาคหน้า หากหัวหน้าจดจำความดีความชอบของเขาในวันนี้ได้ ไม่แน่ว่าเขาอาจได้เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าหน่วย
ฮิ ฮิ ฮิ…
หัวหน้าหน่วยองครักษ์เงาข้างกายท่านอ๋อง น่าภาคภูมิใจยิ่งกว่าหัวหน้าองครักษ์เงาในวิหารวิญญาณมากนัก ผู้ใดพบเห็นก็ต้องโค้งศีรษะให้
เขากำลังคิดเพ้อฝันถึงภาพเหตุการณ์ที่งดงาม ทันใดนั้น เสียงของจิ้นหนานเฟิงก็ดังเข้ามาในหู “เจ้ากำลังคิดบ้าอันใดอยู่? ยังไม่รีบจัดการอีก! ”
องครักษ์เงาพลันได้สติ!
“แหะ แหะ หัวหน้า จะไปเดี๋ยวนี้ จะไปเดี๋ยวนี้! ”
พูดจบก็เรียกองครักษ์เงาจำนวนหนึ่งให้มาช่วยพยุงตัวเฉินไท่เฟยออกไป
ทางด้านเยี่ยโยวเหยา เมื่อเขาอุ้มซูจิ่นซีออกจากตำหนักหนานย่วนแล้วก็ขึ้นรถม้ากลับทันที
คนขับรถม้าไม่กล้าชักช้า รีบห้อตะบึงกลับจวนโยวอ๋องอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่มาถึงหน้าประตูจวนโยวอ๋อง เยี่ยโยวเหยาก็รีบอุ้มซูจิ่นซีเข้าไปในจวน
พ่อบ้านที่คอยรับใช้อยู่หน้าประตู เมื่อเห็นเหตุการณ์ก็ตกใจมากและรีบเข้ามาช่วยเหลือ
“ท่านอ๋อง… เกิดอันใดขึ้นขอรับ? ”
เยี่ยโยวเหยาไม่พูดอันใด
พ่อบ้านเห็นร่างกายของซูจิ่นซีสั่นเทาไม่หยุด ทั้งยังมีเหงื่อไหลตามตัวจนเปียกชุ่มราวกับโดนน้ำร้อนลวก
พ่อบ้านรีบออกคำสั่งกับบ่าวรับใช้ “รีบไปตามหมอหญิงมาคนหนึ่ง”
ภายในเรือนชิงโยว แม่นมฮวากับลวี่หลีกำลังตัดแต่งต้นสมุนไพรในแปลงปลูกสมุนไพรของซูจิ่นซี
เมื่อเห็นเช่นนี้ แม่นมฮวาก็ตกใจอย่างมาก ยิ่งเห็นพระชายาได้รับบาดเจ็บและท่าทางตื่นตระหนกของท่านอ๋อง… แม่นมฮวายิ่งตกตะลึง
ลวี่หลีมองเหตุการณ์นั้นด้วยความมึนงง ทันใดนั้นนางก็ร้องไห้โฮเสียงดังและรีบวิ่งเข้าไป ทว่านางไม่กล้าเข้าใกล้เยี่ยโยวเหยา ทำได้เพียงยืนห่างจากเขาสองก้าว ลวี่หลีมองซูจิ่นซีที่อยู่ในอ้อมกอดของเยี่ยโยวเหยาด้วยความเป็นห่วงและหวาดกลัว น้ำตาของนางไหลพราก
“คุณหนู เกิดอันใดขึ้นกับคุณหนูเจ้าคะ? ”
“ฮือ ฮือ… คุณหนู ท่านอย่าทำให้ลวี่หลีตกใจสิเจ้าคะ! ”
“คุณหนู ท่านได้ยินลวี่หลีหรือไม่? ”
“…”
ลวี่หลีเดินตามมาจนถึงตำหนักฝูอวิ๋น หากนางไม่กลัวเยี่ยโยวเหยา นางคงเดินตามเข้าไปด้านใน ไม่ยืนร้องห่มร้องไห้อยู่ด้านนอกประตูเช่นนี้
“รีบไปตามหมอเทวดาหวามาเดี๋ยวนี้! ” ทันใดนั้น ภายในตำหนักก็มีเสียงเย็นชาของเยี่ยโยวเหยาดังขึ้น
“เพคะ! ”
แม่นมฮวารีบรับคำอย่างลนลานและวิ่งออกไปทันที
ในตำหนัก เยี่ยโยวเหยาวางซูจิ่นซีลงบนเตียง เขาไม่กล้าให้ซูจิ่นซีนอนหงาย จึงจัดท่าทางให้นางนอนคว่ำ
ขณะที่เยี่ยโยวเหยากำลังจะลุกขึ้น ซูจิ่นซีก็ดึงแขนเสื้อเยี่ยโยวเหยาไว้
เมื่อเห็นร่างกายของซูจิ่นซีสั่นเทาไม่หยุด ทั้งเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นบนหน้าผากของนาง เปลือกตาที่สั่นไหวของนาง และมือที่ขาวซีดจากความพยายามอดกลั้นต่อความเจ็บปวด มือนั้นกำลังดึงรั้งเสื้อของเขาไว้ ใบหน้าของเยี่ยโยวเหยาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยและเจ็บปวดพลันปรากฏความเสียใจ
เยี่ยโยวเหยารู้สึกเสียใจและสำนึกผิดที่ในเวลานั้นเขาไม่ได้อยู่ข้างกายซูจิ่นซี ทั้งยังปล่อยให้นางอยู่กับเว่ยเหม่ยเจียและเฉินไท่เฟยเพียงลำพัง
เยี่ยโยวเหยากุมมือซูจิ่นซีที่ดึงรั้งแขนเสื้อของเขา และใช้มืออีกข้างลูบไล้แก้มของซูจิ่นซีอย่างแผ่วเบา
“ซีซี เจ็บมากหรือ? ข้าอยู่ที่นี่ ข้าอยู่ข้างกายเจ้า และข้าจะไม่ไปไหนทั้งสิ้น หมอเทวดาหวาใกล้จะมาถึงแล้ว เจ้าอดทนอีกสักหน่อย”
ซูจิ่นซีลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก นางกัดริมฝีปากจนเลือดซึมเพราะความเจ็บปวด
“เยี่ยโยวเหยา หม่อมฉันเจ็บปวดเหลือเกิน! โดยหลักแล้ว… ต่อให้แผลน้ำร้อนลวกจะเจ็บปวดมากกว่านี้ หม่อมฉันก็ยังทนได้ ทว่า… เหตุใดหม่อมฉันจึงเจ็บปวดถึงเพียงนี้ ? เยี่ยโยวเหยา หม่อมฉันรู้สึกว่ากำลังจะตาย”
เยี่ยโยวเหยาต้องการให้ความเจ็บปวดนี้เกิดขึ้นกับร่างกายของเขาแทน ดังนั้นจึงนั่งลงข้างเตียงและประคองซูจิ่นซีไว้ในอ้อมกอด
เยี่ยโยวเหยาคลายฝ่ามือของซูจิ่นซีออกและประกบเข้ากับฝ่ามือของตนเอง จากนั้นก็ถ่ายทอดพลังลมปราณเข้าไปในร่างกายของซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีค่อยๆ หลับตาลงอีกครั้งและผล็อยหลับไป
เยี่ยโยวเหยาลูบหน้าผากซูจิ่นซีด้วยความห่วงใย เขามองซูจิ่นซีที่อยู่ในอ้อมกอดด้วยความเจ็บปวด พลางขมวดคิ้วมุ่น
“ออกไปดูสิ เหตุใดหมอเทวดาหวายังไม่มาอีก? ”
เยี่ยโยวเหยาตะคอกเสียงดังด้วยความโมโห
“ท่านอ๋อง แม่นมฮวากำลังเดินทางไป ตอนนี้หมอเทวดาหวาอยู่ที่หอโอสถสกุลซู ใกล้ถึงแล้วเพคะ! ”
“องครักษ์เงา ไปรับตัวหมอเทวดาหวามาเดี๋ยวนี้! ”
“พ่ะย่ะค่ะ! ”
เสียงตอบรับขององครักษ์เงาดังขึ้นจากทางด้านนอก
ทันใดนั้น…