ซูจิ่นซีกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดัง ‘ปัง’ เยี่ยโยวเหยาถีบประตูและพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว เขาประคองซูจิ่นซีขึ้นจากแอ่งน้ำร้อน พลางพูดด้วยน้ำเสียงดุดันเย็นชาและเดือดดาล
“เกิดอันใดขึ้น? ”
เว่ยเหม่ยเจียร่างกายสั่นสะท้าน ฟันของนางกระทบกันด้วยความหวาดกลัว ทั้งเสียงพูดยังขาดตอนจนฟังไม่รู้เรื่อง
“เสด็จ… เสด็จพี่ เหม่ยเจีย เหม่ยเจียไม่ได้ตั้งใจ เหม่ยเจียไม่ได้ตั้งใจจริงๆ !”
เว่ยเหม่ยเจียพูดพลางน้ำตาไหลพรากราวกับลูกปัดที่แตกสลาย
ทันใดนั้น เยี่ยโยวเหยาก็สะบัดแขนเสื้อกว้าง กระแทกเว่ยเหม่ยเจียออกไปชนขอบโต๊ะอย่างแรง
“ปวด เยี่ยโยวเหยา หม่อมฉัน… หม่อมฉันปวดแสบปวดร้อนเหลือเกินเพคะ! ”
ซูจิ่นซีรู้สึกว่าแผ่นหลังของนางเจ็บปวดจนสูญเสียความรู้สึกไปแล้ว โดยเฉพาะตำแหน่งบั้นท้ายกระดูกสันหลังที่เจ็บปวดจนแทบขาดใจ นางกัดริมฝีปากแน่น พลางดึงคอเสื้อด้านหน้าของเยี่ยโยวเหยาอย่างแรง
“อดทนไว้ ข้าจะพาเจ้ากลับ”
ดวงตาดำขลับของเยี่ยโยวเหยาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและทรมาน เขาต้องการอุ้มซูจิ่นซีขึ้นมา
ซูจิ่นซีดึงเสื้อของเยี่ยโยวเหยา นางใช้หางตาเหลือบมองไปทางเว่ยเหม่ยเจียที่ยังคงอาเจียนออกมาเป็นเลือด
“เยี่ยโยวเหยา อย่าปล่อยนางไป อย่า… อย่าปล่อยนางไป! ”
เมื่อได้ยินคำนี้ เว่ยเหม่ยเจียแทบจะลืมความเจ็บปวดบนร่างกายตนเอง นางรีบลุกขึ้นมาคว้าเสื้อซูจิ่นซีและพูดอ้อนวอน “พี่สะใภ้ เหม่ยเจียสำนึกผิดแล้ว เหม่ยเจียสำนึกผิดแล้วจริงๆ ทว่าเหม่ยเจียไม่ได้ตั้งใจ! เมื่อครู่… เมื่อครู่พี่สะใภ้ล้วนเห็นทุกอย่าง เหม่ยเจียไม่ระวังจึงล้มลง ยิ่งไปกว่านั้น… ยิ่งไปกว่านั้นเหม่ยเจียยังบาดเจ็บอีกด้วย”
เว่ยเหม่ยเจียโดนน้ำร้อนลวกจริงๆ แขนขวาของนางเปียกชุ่ม ทั้งเสื้อผ้าที่ชุ่มน้ำยังโปร่งแสงจนเผยให้เห็นแขนบวมแดงขนาดใหญ่ภายใต้แขนเสื้อของนาง
เกลียด!
ซูจิ่นซีเกลียดนางยิ่งนัก!
ความเจ็บปวดแสนสาหัสที่บริเวณแผ่นหลังและกระดูกสันหลัง ยิ่งทำให้ซูจิ่นซีรู้สึกเกลียดชังเข้ากระดูกดำ
แม้ซูจิ่นซีไม่เคยยั่วยุหรือทำร้ายผู้อื่นก่อน แต่แน่นอนว่านางไม่ใช่คนดี และไม่ใช่คนขี้ขลาดที่ปล่อยให้ผู้อื่นรังแก
ซูจิ่นซีอดทนต่อความเจ็บปวด นางพยายามเอื้อมมือไปจับปิ่นที่อยู่บนมวยผม จากนั้นก็แทงไปที่เว่ยเหม่ยเจียทันที
“อ้าก! ”
เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของเว่ยเหม่ยเจียดังขึ้น เมื่อปิ่นปักผมแทงไปที่แก้มของนางอย่างแม่นยำ
“อ้าก! ”
เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นอีกครั้ง ซูจิ่นซีดึงปิ่นปักผมออกและหันไปแทงที่แผ่นหลังของเว่ยเหม่ยเจีย
นอกจากวิชาพิษแล้ว เทคนิคการแทงเข็มของซูจิ่นซีก็อยู่ในระดับยอดเยี่ยม การแทงปิ่นปักผมทั้งสองครั้ง นางไม่ได้แทงมั่วๆ แต่เป็นการแทงตามจุดฝังเข็มทั้งสิ้น
การแทงปิ่นปักผมที่ใบหน้า สามารถทำให้บาดแผลบนใบหน้าของเว่ยเหม่ยเจียขยายใหญ่และเน่าเปื่อยได้ ส่วนการแทงปิ่นปักผมไปที่กระดูกสันหลังนั้น เป็นการทำร้ายจุดฝังเข็มที่กระดูกสันหลัง รวมถึงเส้นเอ็นและเส้นเลือดที่สำคัญ จากนี้ไปนางจะไม่สามารถยืนได้อีก และกลายเป็นคนพิการในที่สุด
ความเจ็บปวดที่ร่างกายยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง หน้าผากของซูจิ่นซีเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อที่ไหลซึมออกมา ทั้งขนตายังปกคลุมไปด้วยละอองเหงื่อเย็นเฉียบที่ก่อตัวเป็นชั้นบางๆ
ซูจิ่นซีกัดฟันแน่น นางค่อยๆ ล้มตัวลงในอ้อมแขนกว้างของเยี่ยโยวเหยา ปล่อยให้เขาดูแลนาง
เวลานี้ ร่างกายที่ได้รับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ทำให้นางไม่อาจพูดสิ่งใดออกมาได้ ยิ่งไม่อยากลืมตาขึ้นมา
ในทางการแพทย์ได้แบ่งระดับความเจ็บปวดเป็นระดับหนึ่งถึงสิบ โดยความเจ็บปวดจากบาดแผลที่ถูกไฟไหม้และน้ำร้อนลวก อยู่ในระดับแปดถึงเก้า
อ่างน้ำร้อนที่เพิ่งยกเข้ามาเมื่อครู่ถูกราดลงบนร่างของซูจิ่นซีทั้งหมด สามารถจินตนาการได้เลยว่า ตอนนี้ซูจิ่นซีกำลังอดทนต่อความเจ็บปวดทรมาน
ใบหน้าของเยี่ยโยวเหยาปรากฏความเคร่งขรึมน่าหวาดกลัว บรรยากาศโดยรอบเย็นเยือกจนทำให้ผู้คนแทบหายใจไม่ออก
เยี่ยโยวเหยาไม่พูดอันใด ทำเพียงอุ้มซูจิ่นซีและเดินออกไป
อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าเว่ยเหม่ยเจียจะกล้าเข้ามาขัดขวางและดึงรั้งเสื้อผ้าของซูจิ่นซีอีกครั้ง
“พี่สะใภ้ เหม่ยเจียไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ท่านโปรดให้อภัยเหม่ยเจียด้วยเถิด! ”
ครั้งนี้ เว่ยเหม่ยเจียรั้งเสื้อผ้าของซูจิ่นซี ทำให้เสื้อผ้าที่เปียกโชกแนบติดกับผิวเนื้อ เดิมทีชุดนี้ทำมาจากผ้าฝ้ายคุณภาพดีซึ่งโปร่งแสงยิ่งนัก เมื่อชุดแนบเนื้อเช่นนี้ ยิ่งทำให้มองเห็นบางสิ่งได้อย่างชัดเจน
ไม่รู้ว่าเว่ยเหม่ยเจียเห็นสิ่งใด ดวงตาของนางพลันเบิกกว้าง ทั้งยังยืนนิ่งไม่ขยับ กระทั่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของซูจิ่นซี นางก็ไม่ได้ยิน
ทันใดนั้น ขณะที่ยังไม่ได้สติ เว่ยเหม่ยเจียก็ถูกเยี่ยโยวเหยาเตะออกไปด้านนอกอย่างรุนแรง ระหว่างทางนางชนเข้ากับแจกันดอกไม้สองใบและเครื่องประดับตกแต่งอีกสามชิ้น ก่อนจะลอยไปกระแทกติดกำแพงหนาและหมดสติไปในทันที
เมื่อมองดูท่าทางนั้น เกรงว่ากว่าจะนำร่างของนางออกมาได้ คงต้องใช้กำลังและเวลาอย่างมาก
เยี่ยโยวเหยาอุ้มซูจิ่นซีที่ตัวสั่นเทาไว้ในอ้อมแขนและพานางเดินออกจากประตู บ่าวรับใช้และผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างตกตะลึงกับอาการสั่นเทาอย่างรุนแรงของซูจิ่น พวกเขาพากันคุกเข่าลงบนพื้นด้วยความหวาดกลัว
เมื่อเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดี จิ้นหนานเฟิงที่ซ่อนตัวอยู่จึงเหาะลงมายังข้างกายเยี่ยโยวเหยา หัวคิ้วพลันขมวดมุ่น
“ท่านอ๋อง นี่… ”
“ทุกคนในตำหนักหนานย่วน สังหารไม่ละเว้น! ”
เยี่ยโยวเหยากัดฟันพูดประโยคนี้ออกมาอย่างเย็นชาและไร้ความปราณี
จิ้นหนานเฟิงพลันตกตะลึง เมื่อได้สติกลับมา เยี่ยโยวเหยาก็อุ้มซูจิ่นซีเดินจากไปไกลแล้ว จิ้นหนานเฟิงรีบตามไปถามอย่างระมัดระวังว่า “ท่านอ๋อง รวมถึง… ไท่เฟยด้วยหรือไม่? ”
เยี่ยโยวเหยาไม่พูดอันใด เขาไม่สนใจจิ้นหนานเฟิงแม้แต่น้อย ทั้งไม่ได้หยุดเดินหรือเดินช้าลงเพราะเรื่องนี้ กลับเดินเร็วยิ่งกว่าเมื่อครู่เสียอีก
จิ้นหนานเฟิงยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ เขามองเยี่ยโยวเหยาที่อุ้มซูจิ่นซีออกจากเรือนไปด้วยความสับสน
ยังต้องพูดอันใดอีกหรือ?
เขาอยู่ข้างกายเยี่ยโยวเหยามาหลายปี หากยังไม่เข้าใจความหมายของเยี่ยโยวเหยาอีก ก็เท่ากับช่วงเวลาที่อยู่รับใช้มานั้นเสียเปล่า
หลังจากนั้นไม่นาน แววตาของจิ้นหนานเฟิงก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาไร้ปราณี เขายกมือขึ้น ทันใดนั้นองครักษ์เงาชุดดำจำนวนหนึ่งก็ร่อนลงมาข้างกายจิ้นหนานเฟิง
“ท่านอ๋องทรงมีพระบัญชาให้สังหารทุกคนในตำหนักหนานย่วน ไม่ละเว้น! ”
“ขอรับ!”
องครักษ์เงารับคำและเริ่มปฏิบัติหน้าที่ ทันใดนั้นทั่วทั้งตำหนักหนานย่วนก็เต็มไปด้วยเสียงร้องอันน่าสลดและเสียงอ้อนวอนขอชีวิต
ทว่าเหล่าองครักษ์เงาลงมือได้อย่างฉับไว ผ่านไปไม่นาน ตำหนักหนานย่วนก็กลับสู่ความสงบอีกครั้ง
“หัวหน้า! ”
องครักษ์เงานายหนึ่งเหาะลงมาข้างกายจิ้นหนานเฟิง “ทั้งบ่าวรับใช้ บริวาร และองครักษ์ ล้วนถูกสังหารหมดแล้ว การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างราบรื่น ทว่ายังขาดคนผู้หนึ่ง”
“ผู้ใด? ”
“พระราชนัดดาของไท่เฟย เว่ยเหม่ยเจีย! ”
เว่ยเหม่ยเจีย… เมื่อครู่เขาเห็นชัดเจนว่านางยกอ่างน้ำร้อนเข้าไปในห้อง! เขาจับจ้องอยู่ตลอด หลังจากนางเดินเข้าไปก็ไม่ได้กลับออกมา เช่นนั้นจะขาดนางไปได้อย่างไร?
จิ้นหนานเฟิงรู้สึกสงสัยจึงรีบตรงไปยังห้องที่ซูจิ่นซี เว่ยเหม่ยเจีย และเฉินไท่เฟย อยู่ก่อนหน้านี้
เป็นอย่างที่องครักษ์เงาผู้นั้นพูดจริงๆ เว่ยเหม่ยเจียไม่ได้อยู่ในห้อง ด้านในเหลือเพียงเฉินไท่เฟยที่นอนหมดสติบนเตียง นอกจากนั้น ที่กำแพงยังมีรอยเว้าเป็นรูปคนอยู่ด้วย
ไม่ต้องพูดก็รู้ว่า รอยนั้นคือผลงานที่ท่านอ๋องของพวกเขาทิ้งไว้
จากประสบการณ์และการสันนิษฐานของจิ้นหนานเฟิง เมื่อพิจารณาความลึกของรอยเว้านั้น ท่านอ๋องแทบจะใช้กำลังออกไปเต็มสิบส่วนด้วยความโกรธ
แม้ตอนนี้ร่างกายของท่านอ๋องจะได้รับบาดเจ็บ ทั้งยังมีขีดจำกัดด้านพละกำลัง ทว่าพลังเต็มสิบส่วนนั้นไม่เบาเลย เว่ยเหม่ยเจียเป็นหญิงสาวอ่อนแอและไม่มีวรยุทธ์ นางต้องบาดเจ็บเจียนตายอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่าเหตุใดนางจึงหายตัวไป?
เกิดอันใดขึ้นกันแน่?