บทที่ 157 สามเงื่อนไข

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

บทที่ 157 สามเงื่อนไข

“มันไม่หน้าด้านไปหน่อยงั้นเหรอ?” หลิวเฟ่ยเฟ่ยจ้องไปที่หวางฟู่ฉีด้วยความขุ่นเคือง “นายท่าน ตาแก่นี่กำลังเอาเปรียบเรา ทำไมท่านไม่ฆ่าเขาเพื่อจบปัญหาให้รู้แล้วรู้รอดไปกันล่ะนายท่าน?”

หลิงว่านถิงพูดเสริมต่อด้วยน้ำเสียงโกรธเคืองว่า “ใช่แล้วท่านพ่อ! ท่านควรฆ่าเขาให้ตาย ๆ ไปได้แล้วท่านพ่อ!”

ตอนนี้ทุกคนในคฤหาสน์ต่างมองไปยังหวางฟู่ฉีด้วยสีหน้ารังเกียจ พวกเขาไม่เคยนึกมาก่อนว่าผู้ที่เรียกตัวเองว่าจักรพรรดิโอสถ จะน่าไม่อายถึงขนาดใช้ประโยชน์จากชื่อเสียงของตัวเองมาเป็นข้อได้เปรียบในการกล่าวหาผู้อื่นขนาดนี้

หวงยี่เฟยที่อยู่ข้าง ๆ พูดด้วยน้ำเสียงผิดหวัง “เฮ้อ…ที่แท้จักรพรรดิโอสถก็เป็นคนแบบนี้ ตัวเขากับชื่อเสียงนั้นช่างตรงกันข้ามกันเลย”

หลิงตู้ฉิงพูดอย่างเฉยเมย “ถ้าสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง ข้าก็พอจะเข้าใจแรงจูงใจของเขาได้”

 “นายท่าน ทำไมท่านพูดแบบนั้น?” หลิวเฟ่ยเฟ่ยถามด้วยความประหลาดใจ

“ปัญหาทั้งหมดมันอยู่ที่ โอสถกำเนิดรากฐาน!” หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “ถ้าเขาใช้เวลาหลายร้อยปีในการค้นคว้า โอสถเปลี่ยนชะตา เพื่อให้คนธรรมดาสามารถบ่มเพาะได้เขาก็เป็นคนที่ไม่เลวทีเดียว หากเขาหลอมโอสถเปลี่ยนชะตาของเขาได้สำเร็จและเผยแพร่ต่อโลกเพื่อให้ผู้คนจำนวนมากสามารถบ่มเพาะได้ ชื่อเสียงของเขาจะขจรขจายไปทั่วโลก”

“แต่โชคไม่ดีที่สิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เนื่องจากเมื่อไม่นานมานี้เพราะข้าต้องการให้เฟ่ยเฟ่ยเข้าสู่เส้นทางของการบ่มเพาะ ข้าจึงค้นคว้าข้อมูลและสร้างสูตรโอสถกำเนิดรากฐานขึ้น หากไม่คำนึงถึงความแตกต่างทางด้านวิธีการหลอมและวัตถุดิบที่ใช้ซึ่งอันที่จริงมันก็คงไม่ต่างกันมากสักเท่าไหร่ระหว่าง โอสถกำเนิดรากฐาน และ โอสถเปลี่ยนชะตา และยิ่งบวกกับคุณสมบัติทางโอสถอันคล้ายกันของพวกมัน มันจึงกลายเป็นว่าข้าได้ตัดความหวังทั้งหมดของเขาไป ซึ่งเทียบเท่ากับการตัดเส้นทางแห่งเต๋าโอสถของเขาออกไปด้วย เป็นเพราะเหตุนี้เขาจึงมาที่นี่ด้วยตัวเองพร้อมกับความโกรธเคือง”

“หรืออีกหนึ่งความเป็นไปได้คือถ้าเขาไม่ได้เป็นผู้คิดค้นโอสถเปลี่ยนชะตาจริงและเป็นเพียงตาแก่โลภมากที่แสวงหาแต่ชื่อเสียง เขาก็คงจะเป็นคนที่น่ารังเกียจอย่างแท้จริง แต่ข้ารู้สึกว่าความเป็นไปได้แรกนั้นสูงกว่าเล็กน้อย ถ้าเป็นแบบนี้ข้าเกรงว่าวันนี้งานประมูลของตระกูลมี่คงจะมีสีสันมากขึ้น”

ในเวลานี้ในอาคารประมูลตระกูลมี่ แม้ว่าหวางฟู่ฉีจะยิ้ม แต่ในใจเขาก็โกรธอย่างแท้จริง สิ่งที่เขาเพิ่งพูดไปนั้นเป็นความจริงเพียงครึ่งเดียวและเท็จครึ่งหนึ่ง

เรื่องที่เขากำลังค้นคว้าเกี่ยวกับ โอสถเปลี่ยนชะตา นั้นเป็นเรื่องจริง แต่เขาก็ยังทำมันไม่สำเร็จ ในตอนแรกเขาวางแผนที่จะรอจนกว่า โอสถเปลี่ยนชะตา จะเสร็จสมบูรณ์ก่อนที่จะผลักดันมันเผยแพร่สู่โลกภายนอก จากนั้นเขาจะได้รับชื่อเสียงมากมายและเส้นทางเต๋าแห่งโอสถของเขาจะได้รับความก้าวหน้าขึ้นไปอีก

อย่างไรก็ตามเมื่อเขาได้ยินการปรากฏขึ้นของ โอสถกำเนิดรากฐาน หัวใจของเขาก็จมดิ่งลงทันที เขาศึกษาเกี่ยวกับ โอสถเปลี่ยนชะตา มาหลายร้อยปีและตอนนี้มีคนคิดสิ่งที่มีผลเช่นเดียวกันออกมา เขาจะคิดอะไรได้อีก? แม้ว่าเขาจะค้นคว้าโอสถเปลี่ยนชะตาได้สำเร็จ แต่หลายคนก็คงเชื่อว่าเขาได้ลอกเลียนสูตรจากโอสถกำเนิดรากฐานมา

200-300 ปีของการทำงานหนักล้วนไร้ประโยชน์ ชื่อเสียงและเส้นทางแห่งเต๋าของเขาพังพินาศไปหมด เขาจะไม่โกรธได้อย่างไร? ตอนนี้เขาได้วิเคราะห์โอสถกำเนิดรากฐานแล้ว และมันทำให้โอสถเปลี่ยนชะตาของเขาสมบูรณ์อีกด้วย ตอนนี้เขาจึงเหลือเพียงแค่ทางเลือกเดียวคือเขาต้องทำลายชื่อเสียงของโอสถกำเนิดรากฐานทิ้งซะ และเหลือไว้แต่เพียงโอสถเปลี่ยนชะตาของเขาเท่านั้น

สำหรับปรมาจารย์หลอมโอสถที่อยู่เบื้องหลังตระกูลมี่หรือแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญอักขระเวทย์ กลุ่มคนเหล่านั้นไม่สำคัญอะไรสำหรับเขา เนื่องจากในครั้งนี้ที่เขากล้าเข้ามา เขาได้เตรียมการพร้อมที่จะต่อสู้ไว้อย่างรัดกุมแล้ว

ตอนนี้เขาต้องการให้มี่ตั้วตั้วเรียกหลิงตู้ฉิงมาและสังหารหลิงตู้ฉิงซะ จากนั้นก็ยึดชื่อเสียงความชอบธรรมในการครอบครองว่าเป็นผู้ให้กำเนิดของโอสถกำเนิดรากฐานกลับคืนมา

เมื่อได้ยินคำพูดของเขา มี่ตั้วตั้วก็หัวเราะเยาะ “ท่านไม่จำเป็นต้องพูดอีกต่อไป ข้ามั่นใจเต็มร้อยว่า โอสถกำเนิดรากฐาน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับท่านอย่างแน่นอน รอจนกว่าจะประมูลเสร็จแล้วเราค่อยคุยกัน ปัญหานี้ตอนนี้มันไม่สำคัญว่าท่านจะเป็นจักรพรรดิโอสถหรือเซียนโอสถมาจากที่ไหน ขอแค่ท่านโปรดอย่ารบกวนการประมูลของตระกูลข้าก็พอ”

หวางฟู่ฉีส่ายหัวและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ถ้าเจ้าไม่กล้าเรียกเขาออกมาแสดงให้เห็นว่าสูตรโอสถนี้ถูกขโมยไปจากข้า นั่นก็แปลว่าเจ้าได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นฝั่งเจ้าที่ลอกเลียนสูตรโอสถของข้ามา! พี่น้องทุกท่านได้โปรดช่วยข้าทวงความยุติธรรมให้ข้าด้วย! หากทุกท่านช่วยข้าในครั้งนี้ ในอนาคตหากพวกท่านต้องการความช่วยเหลือจากข้า ทุกท่านสามารถมาหาข้าเพื่อให้ช่วยหลอมโอสถได้ทุกเมื่อ!”

ขณะที่หวางฟู่ฉีพูดจบ ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภาจากสำนักแสงดาราก็ลุกขึ้นยืนทันทีและพูดว่า “จักรพรรดิโอสถ ท่านมีคุณูประการต่อเหล่ามวลชนมากมาย หากมีใครที่ทำสิ่งที่น่ารังเกียจกับท่าน ข้าย่อมไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน ตอนนี้ข้าจะทำลายวายร้ายไร้ยางอายที่น่ารังเกียจนี้ซะ!”

หลายคนส่วนใหญ่ที่กำลังหาทางสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับจักรพรรดิโอสถอยู่แล้ว เมื่อได้ยินที่หวางฟู่ฉีพูดขอความช่วยเหลือเช่นนี้ขึ้นมา พวกเขาจึงต่างรีบออกหน้าให้แทนทันที

ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภาจากสำนักแสงดารากำลังจะทำการเคลื่อนไหว ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภาจากสำนักวิญญาณปฐพี พูดขึ้นแทรกเช่นกัน “ให้ข้าช่วยท่านเถอะ ท่านและข้าคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว เช่นนั้นจึงเป็นข้าที่เหมาะสมที่สุดที่จะสั่งสอนมัน!”

“หยุดเถียงกันเดี๋ยวนี้!” ชายชราที่มีใบหน้าเย็นชายืนขึ้น “หมู่บ้านดาบศักดิ์สิทธิ์ของข้าจะแบกรับความรับผิดชอบนี้เอง ข้าจะเป็นผู้ทวงความยุติธรรมให้จักรพรรดิโอสถ!”

ตอนนี้ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภาของทุกสำนักต่างลุกขึ้นตะโกนและเตรียมพร้อมที่จะทำการจู่โจม ราวกับกลัวว่าจะมีคนมาฉกคะแนนในใจของจักรพรรดิโอสถไป

ในเวลานี้ทางด้านของสำนักบุปผาจันทรา หญิงวัยกลางคนที่มีใบหน้าอันงดงามที่อยู่ด้านข้างของหลี่จือหลิง ลุกขึ้นยืนมองไปที่มี่ตั้วตั้วและพูดว่า “ท่านผู้นำมี่ ท่านควรจะรู้ว่าในตอนนี้สถานการณ์ของท่านอยู่ในจุดที่เสียเปรียบอย่างมาก ด้วยความผิดพลาดเพียงครั้งเดียว ตระกูลมี่ของท่านจะถูกทำลายจนไม่เหลือแม้แต่เศษฝุ่น หากท่านยอมรับเงื่อนไขสามข้อของข้า ข้ารับรองได้ว่าตระกูลมี่ของท่านจะผ่านพ้นไปได้ในวันนี้โดยไม่มีปัญหา นอกจากนี้ข้ายังสามารถรับประกันได้ว่าตระกูลมี่จะเจริญรุ่งเรือง!”

เมื่อได้ยินคำพูดของสาวงามวัยกลางคน สำนักอื่น ๆ ก็เริ่มมีสีหน้าไม่เป็นมิตร พวกเขาทั้งหมดจ้องมองไปที่มี่ตั้วตั้วและนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เพื่อเตรียมดูว่ามี่ตั้วตั้วจะเลือกอย่างไร

มี่ตั้วตั้วถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เงื่อนไขของท่านคืออะไร?”

หญิงวัยกลางคนยิ้มและตอบขึ้น “เงื่อนไขแรก ตระกูลของท่านจะต้องยอมอยู่ภายใต้การควบคุมของสำนักบุปผาจันทราของเรา ท่านต้องส่งส่วยให้สำนักบุปผาจันทราทุกปี ซึ่งผลประโยชน์ที่ท่านจะได้รับจากข้อนี้คือ ตระกูลของท่านจะได้รับความคุ้มครองจากสำนักบุปผาจันทราของเราและเราจะทำให้ตระกูลของท่านมีชื่อเสียงที่สุดในอาณาจักรจันทรา คนของตระกูลมี่ทุกคนจะได้รับการสนับสนุนจากสำนักบุปผาจันทราของเราเป็นอย่างดี”

เพียงแค่ฟังเงื่อนไขแรก ตอนนี้เส้นเลือดในหัวของมี่ตั้วตั้วเต้นดังตุ้บ ๆ ด้วยความโมโห แต่ด้วยลักษณะนิสัยของเขาที่เป็นคนมีเหตุผล ดังนั้นเขาจึงตั้งใจฟังต่อและไม่ได้พูดขัดอะไรขึ้น

“เงื่อนไขประการที่สองมอบโอสถกำเนิดรากฐานให้กับสำนักบุปผาจันทราของข้า!” หญิงงามวัยกลางคนยังคงพูดต่อไป

เมื่อได้ยินเงื่อนไขนี้สีหน้าของหวางฟู่ฉีกลายเป็นน่าเกลียดทันที

“เงื่อนไขที่สามคือสมบัติของเจ้าที่สามารถออกคำสั่งอสูรทมิฬ เจ้าต้องมอบมันให้กับสำนักบุปผาจันทราของข้า!”

เมื่อหญิงวัยกลางคนจากสำนักบุปผาจันทราหยิบยกเงื่อนไขนี้ขึ้นมา ใบหน้าของคนจากสำนักอื่น ๆ นั้นเปลี่ยนสีทันที

ไล้กวน ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภาของสำนักวิญญาณปฐพี หัวเราะเยาะและพูดว่า “เหมยซูเอ๋อ แม้ว่าสำนักบุปผาจันทราของท่านจะเป็นสำนักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาเขตทะเลชางหมาง แต่ถ้าหากพวกท่านจะฮุบทุกอย่างไว้คนเดียวเช่นนี้ ข้าขอเตือนให้จงระวังเอาไว้ ไม่งั้นท่านอาจจะสำลักตายวันนี้ก็เป็นได้!”

อันที่จริงแล้ว เป้าหมายที่แท้จริงของทุกคนในวันนี้นั้นไม่ใช่โอสถกำเนิดรากฐาน โอสถกำเนิดรากฐานเป็นเพียงส่วนเสริมเท่านั้น พวกเขาทุกคนที่มาที่นี่ก็เพื่อหาเหตุผลแย่งชิงสมบัติที่ไว้ใช้ออกคำสั่งอสูรทมิฬของมี่ตั้วตั้วต่างหาก!

เหมยซูเอ๋อจ้องไปที่มี่ตั้วตั้วและถามต่อว่า “ตอนนี้ข้าต้องการคำตอบของท่าน ว่าท่านเห็นด้วยกับเงื่อนไขของข้าหรือไม่? แต่มีสิ่งที่ข้าอยากย้ำเตือนกับท่านให้คิดดี ๆ นั้นก็คือ บางครั้งแม้ว่าท่านจะสูญเสียบางสิ่งไปตราบเท่าที่ท่านสามารถรักษาชีวิตได้ย่อมดีกว่า โอสถกำเนิดรากฐานนี้อันตรายเกินกว่าที่ตระกูลเล็ก ๆ อย่างตระกูลท่านจะครอบครองมันได้”

มี่ตั้วตั้วมองไปยังนางด้วยสายตาเย็นชาและพูดขึ้น “ถ้าข้าไม่เห็นด้วยล่ะ?”

เหมยซูเอ๋อหัวเราะ “สำนักบุปผาจันทราของเราและราชวงศ์จันทราของเจ้ามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เพื่อเห็นแก่หน้าของราชวงศ์จันทรา เราจะไม่ใช้กำลังของเราฉกฉวยมันไปอย่างเด็ดขาด อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าสำนักของข้าจะไม่ลงมือ แต่ตอนนี้ท่านก็คงจะรู้ตัวเองได้แล้วว่าสำนักอื่น ๆ คงไม่ใจดีอย่างสำนักของข้าแน่นอน”

“หากเป็นเช่นนั้น ข้าคงจะขอไม่ยอมรับเงื่อนไขของท่าน ส่วนสำหรับอนาคตของตระกูลมี่ของข้า ข้าคงไม่จำเป็นให้สำนักของท่านต้องมาแส่!” มี่ตั้วตั้วพูดอย่างเย็นชา

เมื่อเห็นว่ามี่ตั้วตั้วปฏิเสธเงื่อนไขของสำนักบุปผาจันทราอย่างไรเยื่อใย บรรดาสำนักต่าง ๆ ที่เตรียมพร้อมลงมืออยู่ก่อนหน้านี้ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

หากสถานการณ์ทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่มีทางเลือกจริง ๆ พวกเขาก็ไม่ต้องการที่จะต่อต้านสำนักบุปผาจันทราเช่นกัน

ขณะนี้ทุกคนต่างมองหน้ากัน ตงหาวเยว่จากสำนักใจทมิฬตะโกนขึ้นก่อนเป็นคนแรกว่า “ข้ารู้ว่าในตอนนี้พวกเราทุกคนต่างมีเป้าหมายตรงกันชัดเจน แล้วตราคำสั่งอสูรทมิฬมันมีเพียงแค่ชิ้นเดียว ฉะนั้นมันเป็นไปไม่ได้ที่จะผูกขาดตราคำสั่งอสูรทมิฬเก็บไว้คนเดียว ข้าขอแนะนำให้พวกเราตกลงกันแบ่งใช้งานมัน เราสามารถแบ่งกันใช้มันต่อกันได้เมื่อถึงเวลา แต่อย่างไรก็ตาม ปัญหาในตอนนี้คือพวกเราต้องเผชิญกับเผ่าอสูรทมิฬที่ตระกูลเล็ก ๆ นี่จะต้องเรียกพวกมันออกมาต่อต้านพวกเราก่อน ซึ่งข้าเชื่อว่าด้วยขอบเขตของผู้ถือครองที่อยู่ในขอบเขตรวมแสงดารา เขาคงไม่สามารถเรียกอสูรทมิฬระดับสูงออกมาได้แน่นอน”

เมื่อได้ยินคำพูดของตงหาวเยว่ บรรดาผู้เชียวชาญขอบเขตนภาทั้งหลายจึงตะโกนสั่งไปยังศิษย์สำนักของตัวเองทันที “ทุกคนที่อยู่ต่ำกว่าขอบเขตรวมแสงดาราจงถอยออกไป!”