ตอนที่ 255 เนื้อที่มาถึงปาก / ตอนที่ 256 ลูกผู้ชายผัดหน้าทาชาด

ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง

ตอนที่ 255 เนื้อที่มาถึงปาก 

 

 

 

 

 

ผู้หญิงล้วนปากไม่ตรงกับใจ ปากนางบอกไม่สงสาร แต่เมื่อครู่เป็นใครที่ลูบแก้มเขาหรือ เขาไม่คิดเล็กคิดน้อยกับนาง แนบหน้าไว้กับฝ่ามือของนาง “เว่ยเฉินยาง กล้าตบสามีเจ้าเชียวหรือ ช่างดีเสียนี่กระไร” 

 

 

นางนวดคลึงใบหน้าของเขาอย่างไม่รู้ตัว กลัวจะทำเขาเจ็บ ปลายนิ้วสั่นเทาและทำด้วยความระมัดระวัง “ก็ท่านบีบคั้นข้าเอง” 

 

 

“ข้าผิดไปแล้วไม่ได้หรือ” เขานอนหนุนตักนาง กำมือของนางที่ตบเขาไปเมื่อครู่ แล้วเป่าอยู่ข้างปากเบาๆ “มือเจ็บหรือไม่” 

 

 

“ไม่เจ็บ” นางชักมือกลับ ย้ายศีรษะของเขาออกจากตักตัวเอง “ท่านนอนเถอะ ข้าจะไปนอนที่อื่นเอง” 

 

 

“เป็นเช่นนั้นไม่ได้” เฝิงเยี่ยไป๋ลุกขึ้นนั่งกะทันหัน สวมกอดนางจากด้านหลัง แล้วลากนางกลับมาที่เตียง เฉินยางเตะไป กลับถูกเขาคว้าข้อเท้าเอามาพาดไว้ที่ไหล่ “สามีภรรยาแยกห้องกันนอนใช้ได้ที่ไหนกัน เจ้าอยู่ที่นี่เสียดีๆ ไม่ให้ไปไหนทั้งนั้น” 

 

 

นางหน้าแดง ดูท่าทางทั้งโกรธทั้งอาย โกรธจนทุบไปที่เตียง “เฝิงเยี่ยไป๋ ท่านปล่อยข้านะ!” 

 

 

คราวนี้กลับพูดง่ายเสียอย่างนั้น พอนางตะโกนออกมา เขาก็ปล่อยนางจริงๆ เพียงแต่เขาก็นอนลงไปตาม ใช้เท้าเขี่ยผ้าห่มขึ้นมาคลุมทั้งสองคน แล้วกอดนางจากด้านหลังไม่ให้นางขยับแขนขาแล้วหลับตาลง “เลิกวุ่นวายได้แล้ว ข้าเหนื่อยมาก พรุ่งนี้รุ่งสางข้ายังต้องไปเข้าฟังราชกิจ เจ้าก็สงสารข้าหน่อย นอนเถอะ” 

 

 

“อึดอัด” นางบิดไปมาสองทีในอ้อมกอดของเขา “ท่านกอดข้าไว้ข้าแล้วไม่สบายเลย ท่านปล่อยข้า ท่านนอนของท่านไป ข้าจะนอนของข้า” 

 

 

เขาพลิกตัวนางให้หันหน้ามาหาเขา จูบที่ปลายจมูกของนางเบาๆ แล้วปล่อยนางเล็กน้อย ทำเพียงวางมือไว้ที่เอวของนาง “เช่นนี้ได้หรือไม่ นอนเถอะ” 

 

 

เฉินยางหน้าแดงไม่หาย ตั้งแต่พวกเขาสองคนแต่งงานกันมา นี่เป็นครั้งแรกที่นอนด้วยกัน หันหน้าเข้าหากันใกล้ชิดเช่นนี้ หายใจรดใส่กัน ที่จริงแล้วนางก็ไม่ได้มีความคิดเรื่องความงามหรือน่าเกลียด เพียงแต่เฝิงเยี่ยไป๋นั้นดูดีอยู่จริง เมื่อก่อนตอนอยู่ในบ้าน นางได้ยินสาวใช้ในบ้านพูดจาล้อเล่น บอกว่าเฝิงเยี่ยไป๋หล่อจนน่าประหลาดใจเพียงใด บอกว่าเขาเป็นชายที่หล่อที่สุดในต้าเยี่ยก็ไม่เกินเลย หลังจากที่ได้พบไทเฮาในวังแล้ว พระนางก็เลอโฉมยิ่งนัก แม้จะมีอายุแล้ว แต่ยังคงมองเห็นความงามในยามสาวสะพรั่ง มิน่าฮ่องเต้องค์ก่อนถึงได้ยอมเสี่ยงที่จะเสียเกียรติกับขุนนางก็จะแต่งนางเข้าวังให้ได้ 

 

 

หน้าตาดีก็เป็นข้อได้เปรียบของคนหน้าตาดี อย่างเช่นตอนนี้ นางมองใบหน้าของเฝิงเยี่ยไป๋เช่นนี้ก็ไม่โกรธแล้ว เขาเหมือนกับหลับไปแล้วจริงๆ เฉินยางยื่นมือจิ้มที่คางของเขาเบาๆ ตรงนี้มีเคราเขียวๆ ล้อมรอบ รู้สึกสากมือ เพียงแต่ลูบไปมาก็รู้สึกไม่เลว 

 

 

นางนอนไม่หลับ อีกเดี๋ยวก็จิ้มคางของเขา อีกเดี๋ยวก็หยิกแก้มเขา ความสนุกเริ่มบังเกิด ความสนุกเล็กๆ น้อยๆ นี้ทำให้นางมีความสุขได้ ตอนแรกเฝิงเยี่ยไป๋หลับไปแล้ว ตอนนี้ก็ถูกนางทำวุ่นวายจนตื่นขึ้นมาอีก จึงดึงนางเข้ามา เสียงทุ้มต่ำเจือแววเกียจคร้าน เตือนด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “หากยังไม่อยู่นิ่งๆ อีกข้าจะไม่เกรงใจแล้ว ตอนกลางคืนข้ายังไม่ได้กินข้าว เนื้อมาถึงปากทั้งที เพียงคิดก็หิวเสียแล้ว” 

 

 

นางกระดากใจจึงนิ่งไปไม่ขยับทันที พิงศีรษะซบในอ้อมกอดของเขาอย่างเชื่อฟัง วุ่นวายอยู่นาน ตอนนี้ถึงได้ง่วงขึ้นมา ไม่ทันไรก็หลับไปเสียแล้ว 

 

 

นานๆ ครั้งที่ทั้งสองคนจะได้อยู่ด้วยกันเช่นนี้ คืนนี้ถือว่ามีความก้าวหน้า เพียงแต่ความเข้าใจผิดก็ยังคงเป็นเรื่องไม่ดี อย่างไรเสียพออิ๋งโจวไป ปมในใจก็คลี่คลายไปเอง ค่ำคืนนี้พวกเขาจึงหลับสนิท นอนกอดกันจนถึงเช้า 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

ตอนที่ 256 ลูกผู้ชายผัดหน้าทาชาด 

 

 

 

 

 

รุ่งเช้าอีกวัน ยังไม่ถึงยามห้า[1] เฝิงเยี่ยไป๋ก็ต้องลุกขึ้นเก็บของเตรียมเข้าวัง เวลายังเช้ามากอยู่ เขาอยากให้นางหลับต่ออีกหน่อย ตอนลุกขึ้นมาจึงระมัดระวัง แม้เป็นเช่นนั้น แต่เฉินยางก็ยังคงตื่นเพราะเสียงเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาทำ นางขยี้ตาลุกขึ้นนั่งถามเขาว่า “ฟ้ายังไม่สว่างเลย ท่านจะไปไหนหรือ” 

 

 

เขาผูกสายคาดเอวชุดข้าราชการ แล้วหันไปยิ้มให้นางอย่างอ่อนโยน “ทำเจ้าตื่นหรือ ยังเช้าอยู่เลย เจ้าหลับต่ออีกหน่อยเถิด” 

 

 

เมื่อคืนหลับไปไว ที่หลับไปก็เพียงพอแล้ว ตอนนี้ตื่นแล้วก็ไม่อยากจะหลับต่อแล้ว นางเลิกผ้าห่มลงจากเตียง มองเขาอยู่นาน แล้วพูดออกมาว่า “เบี้ยวแล้ว” 

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋ทำหน้าไม่เข้าใจ “อะไรเบี้ยวแล้ว” 

 

 

นางเดินเท้าเปล่าไปหาเขา ก้มหน้าจัดสายคาดเอวให้เขา “สายคาดเอวเบี้ยวแล้ว” 

 

 

เพราะเพิ่งลุกจากเตียง สีหน้านางจึงยังคงงัวเงียอยู่บ้าง นางแก้สายคาดเอวของเขาแล้วผูกใหม่ ตอนนี้พวกเขาถึงได้มีท่าทางเหมือนคนเป็นสามีภรรยากัน เขารู้สึกอบอุ่นในใจขึ้นมา มองดูนางทำอยู่นานก็ยังไม่เสร็จ จึงถามนางด้วยอารมณ์ขันว่า “ตกลงเจ้าทำเป็นหรือไม่” 

 

 

ตอนที่แก้ออกมาก็เห็นอยู่ว่าไม่ได้ซับซ้อนนัก ไฉนคราวนี้นางผูกแล้วถึงผูกไม่ได้ ไม่มีความสามารถซ้ำยังวุ่นวายอีก ด้วยความอายระคนโกรธนางจึงปล่อยมือ “ท่านผูกเองเถอะ ที่ผูกเมื่อครู่ก็พอได้อยู่” 

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋ดึงสายคาดเอวออกแล้วรัดรอบเอวนาง ก่อนจะไปยืนอยู่ข้างหลังนาง เอามือของนางมาจับที่ปลายทั้งสองข้างของสายคาดเอวแล้วสอน “หลังจากนี้สิ่งเหล่านี้ต้องให้เจ้าช่วยข้าจัดการ จะทำไม่เป็นได้อย่างไร”  

 

 

มือใหญ่ของเขากุมมือเล็กๆ ของนาง สายคาดเอวเส้นหนึ่งร้อยไปมาอยู่ในสองมือ ก็ไม่เชิงว่าซับซ้อน แต่ก็ยังต้องรู้วิธีอยู่ เฝิงเยี่ยไป๋จับมือของนางรัดไปรอบหนึ่งแล้วถามนางว่า “ทำเป็นหรือยัง” 

 

 

นางพยักหน้าเล็กน้อย “จำได้แล้ว” นางหันไปเห็นรอยฝ่ามือบนหน้าเขาที่ยังแดงอยู่เล็กน้อย จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกผิดขึ้นมา จึงถามเขาด้วยท่าทีทำตัวไม่ถูกว่า “หน้าของท่านจะทำอย่างไรดี” 

 

 

“ทำอย่างไรดี” เขาแกล้งหึเบาๆ “ก็เป็นเพราะเจ้าไม่ใช่หรือ วันนี้ข้าไม่มีหน้าไปพบคนอื่นได้แล้ว” 

 

 

นางจ้องมองเขาอยู่นาน สุดท้ายก็เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ราวกับคิดวิธีอะไรดีๆ ออก นางเดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้งข้างหน้าต่างแล้วหยิบตลับแป้งฝุ่นกับชาดมา สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเฝิงเยี่ยไป๋ที่ซื้อให้นาง เพียงแต่นางไม่ชอบทาสิ่งเหล่านี้ จึงวางไว้อยู่ตลอด วันนี้ก็ได้ใช้ประโยชน์พอดี 

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋มองแวบเดียวรู้ว่านางคิดอะไรอยู่ จึงทำหน้าบึ้งปฏิเสธ “อย่าแม้แต่จะคิดเชียว ข้าเป็นลูกผู้ชาย ผัดหน้าทาชาดใช้ได้เสียที่ไหน” 

 

 

เฉินยางหยิบแปรงมาแกล้งเขา “ทาเพียงบางๆ ชั้นหนึ่ง ปิดครึ่งหน้าที่ถูกตบก็พอแล้ว ท่านกลัวคนอื่นจะหัวเราะไม่ใช่หรือ ท่านบอกว่าเป็นเพราะข้า ตอนนี้พอข้าชดเชยให้ท่านท่านก็ไม่เอา อย่างนี้ก็ยากเสียแล้ว เช่นนั้นท่านก็คิดหาวิธีที่ดีที่สุดเอาเองแล้วกัน” 

 

 

เจ้าเด็กนี่ ตอนนี้คิดวิธีประหลาดไวดีนัก วิธีเช่นนี้ก็ยังคิดออกมาได้ ทำเอาเขาไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี เห็นนางถือแปรงเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เฝิงเยี่ยไป๋กลับคิดวิธีที่จะปฏิเสธนางดีๆ ไม่ได้ขึ้นมาในทันที 

 

 

นางถือแปรงทำท่าทางปัดแป้งบางๆ บนหน้าเขาสองที ทำหน้าจริงจังอย่างยากจะได้เห็นนัก “อย่าขยับ หากทามากไปท่านก็จะกลายเป็นเจ้าหน้าแดงที่แสดงละครแล้ว” 

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋ไม่ไว้ใจนาง “เจ้าทาเป็นหรือ มีความสามารถเช่นนี้ ไฉนเจ้าถึงไม่ทาเองเล่า” 

 

 

เฉินยางถูกเขามองออกแล้ว สีหน้าจึงเขินอายขึ้นมา นางกระแอมสองที แล้วหยิบแปรงเติมแป้งลงบนหน้าของเขา “ท่านวางใจได้ ทาเสร็จแล้วคนอื่นดูไม่ออกแน่นอน” 

 

 

เขาพูดต่อจากนาง “ดูไม่ออกอะไร ดูไม่ออกว่าที่บ้านข้ามีภรรยาใจโหดน่ะหรือ” 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] การนับเวลาของจีนในสมัยโบราณช่วงกลางคืนจะแบ่งออกเป็น 5 ยาม โดยยาม 5 คือช่วงเวลาตั้งแต่ 3.00 น. – 5.00 น.