ภาคที่ 4 ตอนที่ 120 คุ้นชินไม่คุ้นชิน

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

หนิงอวิ๋นเจาไม่ได้รั้งอยู่นาน

 

 

ที่จริงต่อให้เป็นครั้งนี้ก็ไม่จำเป็นต้องมา

 

 

เฉลียวฉลาดเช่นนางทำไมจะดูไม่ออกว่าการพระราชทานรางวัลให้เต๋อเซิ่งชางเบื้องหลังซ่อนเจตนาอันตรายร้ายกาจไว้

 

 

เพียงแต่รู้เป็นเรื่องหนึ่ง ทำอย่างไรก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เหตุผลกับอารมณ์นี่ของมนุษย์ย่อมต้องต่อสู้กันจนตลอดชีวิต

 

 

“ท่านชายมาแล้ว ข้าคงไม่ส่งแล้ว” เขาเอ่ยขึ้น

 

 

คุณหนูจวินมองไปก็เห็นจูจั้น ไม่รู้แวบเข้ามาจากที่ไหนจริงๆ

 

 

“ได้ ขอบคุณเจ้ามาก” นางอมยิ้มเอ่ย “เจ้าไม่ต้องลำบากอีกก็ดี”

 

 

ตอนนี้เวลานี้พบนาง หรือก็คือติดต่อกับเฉิงกั๋วกง ไม่ใช่เรื่องดีอะไร

 

 

“แม้ไม่มีเงินเท่าไร ทหารก็ซ่องสุมไม่ได้ แต่ข้าก็ยังใช้ได้อยู่นะ” หนิงอวิ๋นเจาคิดนิดหนึ่งก็เอ่ยขึ้น

 

 

แม้เขาช่วยนางมากมายเช่นนั้นอย่างฟางเฉิงอวี่กับจูจั้นไม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่คนที่กลัวความลำบากเช่นกัน

 

 

คุณหนูจวินปิดปากหัวเราะพยักหน้า

 

 

“ใช่แค่ใช้ได้ที่ไหน ใช้ได้อย่างยิ่ง” นางเอ่ย “หากไม่ใช่เจ้า มีเงินมีคนมีความดีความชอบ พระราชวังก็ยังเข้าไม่ได้”

 

 

ชมคนเห่งมาแต่เกิดหรือไง? ได้ยินว่าองค์รัชทายาทไม่ใช่เช่นนี้นี่ ปลายเท้าจูจั้นขยี้บนพื้น เกินจริงเกินไปแล้วกระมัง

 

 

เสียงหัวเราะของหนิงอวิ๋นเจาลอยมา

 

 

จูจั้นขยี้ปลายเท้าอีกครั้ง รอยแตกร้ายของหินเขียวใต้เท้าใหญ่ขึ้นนิดหนึ่ง

 

 

โง่หรือไม่โง่ แค่พูดเท่านั้น มีอะไรน่ามีความมสุข

 

 

“ท่านชาย”

 

 

เสียงหนิงอวิ๋นเจาดังขึ้น

 

 

จูจั้นเงยหน้าขึ้นมองเขาแย้มยิ้ม

 

 

“ขอบคุณมาก” หนิงอวิ๋นเจาคำนับ

 

 

จูจั้นคำนับคืนนิดหนึ่ง หนิงอวิ๋นเจาไม่เอ่ยวาจาอีกก้าวเท้าจากไป

 

 

จูจั้นยืนอยู่ที่เดิมนิ่งไม่ขยับ

 

 

“ไปไหม?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม

 

 

จูจั้นขานตอบแล้วหมุนตัวก้าวเดิน คุณหนูจวินตามออยู่หลังร่างอย่างเชื่องช้า เหมือนเช่นก่อนหน้านี้เดินผ่านกลางฝูงชนห่างไม่ไกลไม่ใกล้

 

 

เหมือนอย่างไร ไม่เหมือนกันสักนิด

 

 

รอจนเดินมาถึงในตรอกห่างไกลเงียบสงบเส้นหนึ่งก็มีองครักษ์มาเฝ้าระวังป้องกันหน้าหลัง จูจั้นหยุดเท้าหันกลับมา

 

 

“ข้าคิดว่าเจ้าพูดถูก” เขาเอ่ยขึ้น

 

 

“ใช่สิ สิ่งที่ข้าพูดย่อมถูกต้อง” คุณหนูจวินยิ้มตาหยีเอ่ย

 

 

จูจั้นไม่ได้สบถเสียดสีคหนึ่งเช่นนั้นอย่างก่อนหน้านี้อีก สีหน้าไม่สบายใจผละสายตาออก

 

 

“ข้าพูดถึง ที่เจ้าเสนอบิดาข้าว่าตอนนี้ดีที่สุดอย่าพูดเรื่องสัญญาหมั้นหลอก” เขาเอ่ย “ข้าคิดว่าอันตรายเกินไป”

 

 

คุณหนูจวินขานตอบรับ

 

 

ต่อให้ก้มศีรษะอยู่ จูจั้นก็เหมือนจะเห็นท่าทางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มของนาง

 

 

ก่อนหน้ารีบร้อนเร่งผู้อื่นให้เผยเรื่องสัญญาหมั้นหลอกเร็วหน่อย ตอนนี้อยู่ดีๆ ก็ไม่เห็นด้วยแล้ว ปฏิกิริยานี้ไม่ค่อยดีจริงๆ

 

 

“ข้าไม่ได้บอกว่าก่อนหน้านี้ไม่อันตราย ความหมายของข้าคือ…คือ ในใจเจ้าไม่เหมือนเดิม…” เขาอธิบาย ยิ่งพูดยิ่งเลอะเทอะ ตนเองก็ไม่รู้จะพูดอะไร

 

 

“ในใจท่านไม่เหมือนเดิมกระมัง?” คุณหนูจวินมองเขาแล้วเอ่ยขึ้น กะพริบตา “ไม่กลัวจวินจิ่วหลิงอันตราย ฉู่จิ่วหลิงกลับกลัวแล้ว”

 

 

หน้าของจูจั้นแดงแล้ว บนหน้าผากเหงื่อชั้นหนึ่งผุดออกมา

 

 

“ไม่ ไม่ใช่ความหมายนี้” เขาเอ่ยติดอ่าง

 

 

“ถ้าเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไร?” คุณหนูจวินมองเขาเอ่ยถามอย่างตั้งใจ

 

 

จูจั้นมองนางพลางอ้าปาก

 

 

“เจ้า” เขาเอ่ย เอ่ยออกมาคำหนึ่งนี้ ลมหายใจก็กลืนกลับไปอีก “ความหมายอะไรก็ไม่มีทั้งนั้น”

 

 

พูดจบก็หันหน้าหนีก้าวไวๆ เดินไปข้างหน้า

 

 

โกรธแล้ว

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะรีบไล่ตามไป

 

 

“ข้ารู้ ข้ารู้หมายความว่าอย่างไร” นางยิ้มเอ่ย ยื่นมือดึงแขนเสื้อของจูจั้น

 

 

จูจั้นร่างกายแข็งทื่อ แต่ไม่ได้ร้องรวมถึงสลัดออกเกินจริงเช่นนั้นอย่างก่อนหน้านี้

 

 

“ความหมายของท่านคือก่อนหน้านี้ไม่ทราบว่าทำไมข้าทำเรื่องเหล่านี้ เจตนาของข้าท่านไม่ทราบย่อมไม่ทราบเช่นกันว่าข้าจะทำถึงขั้นไหน แล้วอันตรายที่ต้องเผชิญคืออะไร ตอนนี้ท่านรู้ว่าข้าคือใคร ดังนั้นย่อมรู้แล้วว่าสิ่งที่ข้าต้องการคืออะไร ดังนั้นจึงรู้อีกว่าสิ่งที่ข้าต้องเผชิญอันตรายปานใด” คุณหนูจวินเอ่ย “ไม่ใช่เลือกที่รักมักที่ชัง”

 

 

คำพูดนี้ฟังดูแล้วค่อนข้างจริงจัง จูจั้นก้มศีรษะ สับสนอยู่บ้างนิดหน่อยอีกครั้ง บางทีอาจไม่ใช่สักนิด ก็แค่ ก็แค่ของเหมือนเดิมคนเปลี่ยน ความรู้สึกความคิดเห็นของเขาจึงเปลี่ยนไปแล้ว

 

 

นี่คือดี หรือว่าไม่ดี?

 

 

“ความรู้สึกตอนนี้ของข้าไม่ดียิ่งนัก” เขาหมุนตัว เงยศีรษะเอ่ยขึ้นอย่างตรงไปตรงมายิ่ง

 

 

คุณหนูจวินพยักหน้า

 

 

“ข้าเข้าใจได้” นางเอ่ย “อย่างไรเรื่องนี้ก็กะทันหันเกินไปแล้ว”

 

 

จูจั้นสูดลมหายใจลึกทีหนึ่ง

 

 

“ข้าถึงขั้นบอกไม่ถูกว่าทำไมข้ารู้สึกไม่ดี” เขาพรูลมหายใจยาวๆ อีกหน “สรุปก็คือ…”

 

 

“สรุปคือข้าไม่ได้เปลี่ยน ข้าเป็นข้ามาเสมอ” คุณหนูจวินเอ่ยต่อ “จูจั้น ท่านก็ไม่ต้องเปลี่ยนเช่นกัน”

 

 

จูจั้นมองนางทีหนึ่งจากนั้นเคลื่อนสายตาหนี

 

 

“นั่นจะเหมือนกันได้อย่างไร” เขาเอ่ยขึ้น

 

 

“ไม่เหมือนกันอย่างไรเล่า” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย ยื่นมือชี้ตนเอง “ล้วนเป็นข้ามาตลอดนะ ฉู่จิ่วหลิงก็ไม่ปกติเช่นนี้”

 

 

หน้าของจูจั้นแดงพรึบขึ้นมาอีกครั้ง

 

 

“ข้าพูดเช่นนั้น ที่จริง ก็แค่พูดไปงั้นๆ” เขาเอ่ยติดอ่าง

 

 

“ไม่งั้นๆ หรอก” คุณหนูจวินยิ้มบอก “ก่อนหน้านี้ท่านก็ไม่รู้จักข้า ไม่คุ้ยเคยกับข้า ที่จริงข้าก็เป็นเช่นนี้”

 

 

จูจั้นมองนางทีหนึ่ง

 

 

คุณหนูจวินมองเขาแล้วยิ้มทีหนึ่ง

 

 

“ถูกต้องแล้ว ก่อนหน้านี้ท่านไม่รู้จักข้าสินะ?” นางเอ่ยถาม

 

 

จูจั้นตอบอืมทีหนึ่ง สายตามองไปด้านข้าง

 

 

“เคยพบ” เขาเอ่ยตอบ

 

 

“นอกจากที่ปีนกำแพงถูกท่านทำร่วงลงมาครั้งนั้น ที่ประตูเมืองครั้งนั้นก็เป็นท่านสินะ?” คุณหนูจวินเอ่ยถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “ครั้งก่อนข้าได้ยินพวกท่านคุยกันเรื่องซ้อมลู่อวิ๋นฉีที่ประตูเมือง”

 

 

จูจั้นขานตอบ

 

 

“ใช่” เขาเอ่ยตอบ ยังคงมองกำแพง

 

 

“ข้าจำไม่ได้แล้ว” คุณหนูจวินยิ้มบอก ท่าทางหวนคะนึงอยู่บ้าง “ข้าไม่มีความทรงจำประทับใจอะไร เวลานั้นรีบกลับบ้าน อีกอย่างพวกท่านก็คลุมโม่งอยู่ด้วย”

 

 

พูดถึงตรงนี้ก็หยุดอีกหน

 

 

“เขา ก็รู้จักข้าตอนนั้นเหมือนกันสินะ?”

 

 

เขาคนนี้พูดถึงใคร จูจั้นรู้ทันที เขาขานอืมตอบอีกครั้ง

 

 

“น่าจะใช่” เขาเอ่ย

 

 

คุณหนูจวินขานอืมตอบ ไม่เอ่ยคำพูดอีกเดินไปข้างหน้า จูจั้นรั้งสายตากลับพรูลมหายใจ หยุดนิดหนึ่งก็ตามไป เมื่อเดินออกจากตรอก ระหว่างทั้งสองคนก็เหมือนก่อนหน้าอีกหน ไม่รีบไม่ช้าไม่ไกลไม่ใกล้เดินหนึ่งหน้าหนึ่งหลัง

 

 

เห็นพวกเขาเข้ามา เฉินชีก็ทักทายอย่างกระตือรือร้น

 

 

คุณหนูจวินยิ้มเดินเข้าไป จูจั้นยิ้มให้เฉินชีแล้วตามเข้าไป

 

 

เฉินชีสีหน้าพิกลมองแผ่นหลังของเขา

 

 

“กินยาผิดรึ?” เขาเอ่ยขึ้น

 

 

“อะไร?” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ยถาม

 

 

“ข้าว่าท่านชาย ดูแล้วแปลกพิกล” เฉินชีเอ่ยพลางยื่นศีรษะมองไปข้างในอีกหน

 

 

“เดิมทีเขาก็แปลกพิกลอยู่แล้ว” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย ก้มศีรษะไม่สนใจอีก

 

 

งั้นรึ? แต่วันนี้แปลกเป็นพิเศษ เฉินชีมองข้างในทีหนึ่งเห็นทั้งสองคนเข้าไปในห้องแล้ว

 

 

“เจ้า”

 

 

จูจั้นยืนอยู่ในห้อง ฉับพลันก็เอ่ยขึ้น

 

 

คุณหนูจวินหันกลับมามองเขา

 

 

จูจั้นกลับหยุดอีกหน คล้ายไม่รู้จะพูดอย่างไร

 

 

คุณหนูจวินยิ้มแล้ว

 

 

“จูจั้น ท่านไม่ต้องเคร่งเครียด ชินแล้วก็ดีเอง” นางเอ่ย “ตอนแรกข้าตื่นมาพบเรื่องเช่นนี้ก็เคร่งเครียดมากเหมือนกัน

 

 

จูจั้นมองนางทีหนึ่ง

 

 

“องค์หญิงจิ่วหลีกับไหวอ๋องรู้ไหม?” เขาเอ่ยถาม

 

 

คุณหนูจวินส่ายศีรษะ

 

 

“ข้าจะกล้าพูดได้อย่างไร หากไม่ใช่เรื่องเสวี่ยเอ๋อร์ครั้งนี้กะทันหันเกินไป ข้าก็ไม่มีทางบอกท่านหรอก” นางเอ่ยบอกแล้วก็ยิ้ม “ท่านคนใจกล้าปานนี้ยังตกใจจนเป็นเช่นนั้น พวกเขา…”

 

 

ใจกล้าหรือ?

 

 

จูจั้นขานอ้อทีหนึ่ง ลูบปลายจมูก

 

 

“ก็ไม่ใช่เรื่องใจกล้ามากน้อยหรอก” เขาเอ่ย “แม้บ้าบอแต่ล้วนมีหลักฐาน ย่อมไม่มีสิ่งใดไม่น่าเชื่อ”

 

 

“พวกเขารู้ไปก็ไม่มีอะไรดี” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น

 

 

“นั่นก็ใช่ ลู่อวิ๋นฉียังอยู่” จูจั้นเอ่ยขึ้น พูดถึงตรงนี้ก็มองไปทางคุณหนูจวินอีกหน “เขา สังเกตอะไรได้สินะ?”

 

 

คุณหนูจวินพยักหน้า

 

 

“ครั้งนั้นท่านไม่ใช่ถามข้าหรือ” นางเอ่ย “ถามข้าว่าไปหาเรื่องลู่อวิ๋นฉีอย่างไรเข้า ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่เป็นบ้า”

 

 

จูจั้นร้องอ้อ คิดถึงเรื่องตอนนั้นก็อดไม่ได้ลูบหน้าทีหนึ่ง

 

 

ลู่อวิ๋นฉียังค้นพบแล้ว ตนเองทำไมช่าง…

 

 

“ท่านว่าอะไรนะ?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม ได้ยินเขาคล้ายพึมพำอะไรประโยคหนึ่ง

 

 

จูจั้นส่ายศีรษะ

 

 

“ไม่มีอะไร” เขาเอ่ย ก้มศีรษะกำมือ เท้าก็ถูบนพื้นนิดหนึ่ง คล้ายอยากเปลี่ยนประเด็นแต่ก็ไม่อยากเปลี่ยน “เจ้า…”

 

 

เขาเงยหน้ามองคุณหนูจวินอีกครั้ง

 

 

“หลายปีนั้นชีวิตทรมานไหม?”

 

 

หลายปีนั้น?

 

 

คุณหนูจวินมึนงงเล็กน้อย หลายปีนั้นหมายถึงหลังพระบิดาพระมารดาจากไปสินะ

 

 

นางส่ายศีรษะ

 

 

“เวลานั้นไม่รู้ความจริง ไม่ทรมาน” นางเอ่ยแล้วแย้มยิ้ม “รู้ความจริงปุบข้าก็ตายแล้ว ไม่ทรมานเหมือนกัน”

 

 

จูจั้นมองนาง เม้มปากแน่นจนริมฝีปากบางเป็นสีม่วงจางๆ

 

 

“คง เจ็บมากสินะ” เขาเอ่ยขึ้นมา

 

 

……………………