ภาคที่ 4 ตอนที่ 121 ยากคงเดิมก็ยังคงเดิม

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

เจ็บมาก

 

 

นางถูกดาบรุมฟันจนตาย แน่นอนเจ็บมาก

 

 

คุณหนูจวินมองเขา

 

 

“ท่านรู้ว่าข้าตายอย่างไรหรือ?” นางเอ่ยถาม

 

 

สรุปแล้วไม่มีทางใช่ป่วยตายอย่างที่ข้างนอกพูดกัน

 

 

จูจั้นมองนาง

 

 

“ข้า เคยสืบ” เขาว่า พูดพลางละสายตาออก พรูลมหายใจ

 

 

สืบ เรื่องนี้ยากมาก แล้วก็ไม่ใช่เรื่องมีความสุขนัก เหมือนมองเห็นนางตายต่อหน้าด้วยตาตนเอง ตายต่อหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า

 

 

ไม่ว่าดาบฟันกระบี่แทงสุราพิษผ้าแพรขาว ตายอย่างไรก็เจ็บมาก

 

 

คำถามนี้ถามได้น่าเบื่อจริงๆ

 

 

เขาถามเรื่องนี้ทำไม?

 

 

“ข้า ข้าไปล่ะ” จูจั้นหันหน้าหนีเอ่ยบอกจากนั้นก็จะหมุนตัว

 

 

“เจ็บเอาเรื่อง” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น “โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนดาบที่สอง ตอนดาบแรกยังไม่ทันรู้สึก หลังจากนั้นต่อมาก็รุมจนเจ็บไม่ทัน จากนั้น…”

 

 

“พอแล้วไม่ต้องพูดแล้ว” จูจั้นทนไม่ได้อีกต่อไปเอ่ยขัดนาง

 

 

คุณหนูจวินหยุด ยิ้ม

 

 

“ทำท่านกลัวแล้วสินะ?” นางเอ่ย

 

 

“ข้ากลัวอะไรเล่า มีอะไรน่ากลัว” จูจั้นโมโหเอ่ยขึ้น “ข้าแค่ปวดใจแทนเจ้า”

 

 

คำพูดออกมาจากปากปุบเขาก็เกือบกัดลิ้นขาด

 

 

พูดบ้าอะไร!

 

 

เขาพูดบ้าอะไร!

 

 

มารดา!

 

 

จะตายแล้ว!

 

 

เขายื่นมือปิดปาก หมุนตัวปุบก็ก้าวเร็วไวไปข้างนอก ไม่รู้ว่ารีบร้อนเกินไปหรือลนลานเกินไปจึงหวิดสะดดุธรณีประตูล้ม โซเซกระโดดออกไปแล้ว

 

 

คุณหนูจวินอึ้งจากนั้นก็หลุดยิ้ม ยิ่งยิ้มยิ่งอยากหัวเราะ จึงปล่อยเสียงหัวเราะออกมาเสียเลย

 

 

ได้ยินเสียงหัวเราะนี่ จูจั้นที่พุ่งมาถึงประตูห้องที่ตนพักอยู่แล้วพลันยื่นมือกุมหน้าผากอีกหน กัดฟันกรอดๆ

 

 

ถึงกับหัวเราะออกมาด้วย

 

 

สตรีคนไหนได้ยินคำนี้แล้วยังหัวเราะอออกมาได้อีก

 

 

ความคิดแล่นผ่าน ตนเองก็หลุดยิ้มบ้าง

 

 

สตรีคนไหน จะเป็นคนไหนได้เล่า จวินจิ่วหลิงสิ

 

 

จูจั้นยื่นมือตบบานประตูทีหนึ่ง พรูลมหายใจ

 

 

จวินจิ่วหลิงก็คือฉู่จิ่วหลิง นางคือนางมาตลอด

 

 

นางเป็นคนที่ไม่อยู่ในกรอบกฎเกณฑ์เสมอ…

 

 

จูจั้นเหม่อลอยเล็กน้อยอีกหน หันหน้ามองไปทางเรือนของคุณหนูจวิน

 

 

นางกลับมาแล้วจริงหรือ?

 

 

ไม่ได้ตายจริงหรือ

 

 

น่าจะเป็นนาง คราแรกที่นางเอ่ยนามตนที่หรู่หนาน ก็มีเพียงนางถึงจะมีแววตาเช่นนั้นมองเขา

 

 

ตะลึงยินดีที่ได้พบพานคนในอดีตอีกครั้ง

 

 

คนในอดีต

 

 

ถ้าเช่นนั้นเดิมทีนางก็รู้จักเขา จดจำเขาได้น่ะสิ

 

 

จูจั้นเขี่ยปานประตูรู้สึกทั้งร่างคันยุบยิบ บิดเอวกระทืบเท้าผลักประตูเปิดวิ่งเข้าไป

 

 

“มารดาข้า” เฉินชีที่ยืนอยู่ตรงทางเดินสบถคำภาษาถิ่นหยางเฉิงออกมา “ข้าตาเพี้ยนไปแล้ว ข้าถึงกับเห็นท่านชายบิดไปมาเหมือนสตรี”

 

 

……………………………………….

 

 

……………………………………….

 

 

เฉิงกั๋วกงไม่รู้เกี่ยวกับคลื่นที่ถาโถมอยู่ในใจบุตรชายเวลานี้ เขาสงบนิ่งดังเช่นปกติ หลังหารือกับผู้ช่วยทั้งคืน ก็เขียนฎีกาขอพระราชทานรางวัลให้คุณหนูจวินเรียบร้อย

 

 

“ท่านคิดดีแล้วหรือ?”

 

 

นายหญิงอวี้สวมชุดขุนนางใหเฉิงกั๋วกงไปพลาง เอ่ยถามไปพลาง

 

 

“นี่หากถวายขึ้นไป คิดว่าอำนาจทหารของท่านคงรักษาไว้ไม่ได้แล้ว”

 

 

เฉิงกั๋วกงหัวเราะ

 

 

“ต่อให้ข้าไม่ส่งฎีกาฉบับนี้ขึ้นไป อำนาจทหารของข้าก็รักษาไว้ไม่ได้เหมือนกัน” เขาเอ่ยขึ้น “ไม่สู้อาศัยโอกาสที่ตักตวงผลประโยชน์ได้ตักตวงให้มากหน่อย”

 

 

นายหญิงอวี้หัวเราะฮ่าฮ่า ยื่นมือตบแผ่นหลังของเฉิงกั๋วกงทีหนึ่ง

 

 

“ข้ารู้ท่านกั๋วกงไม่ใช่คนที่จะยอมเสียเปรียบ” นางหัวเราะเอ่ย “คุณหนูจวินคนนั้นก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน”

 

 

เฉิงกั๋วกงมองนางทีหนึ่ง

 

 

“เจ้าอยากพูดว่าไม่ใช่คนพวกเดียวกันไม่อยู่บ้านเดียวกันสินะ?” เขายิ้มพลางเอ่ยอย่างอ่อนโยน “แยกบ้านไปไม่ใช่ครอบครัวเดียวกันแล้วก็น่าเสียดาย?”

 

 

นายหญิงอวี้ยิ้ม

 

 

“ไม่น่าเสียดาย สะใภ้คนนี้ข้าเป็นคนเชิญมา ไม่ให้เจ้าหนูนี่เสพสุขได้ประโยชน์ไปหรอก” นางเอ่ย “สิ่งที่ไม่อาศัยตนเองได้มาล้วนไม่เห็นค่า ท่านดูท่าทางนั่นของเขาสิ รออนาคตเขาสำนึกเสียใจคิดหาวิธีเอาเองเถอะ”

 

 

เฉิงกั๋วกงหัวเราะแล้ว

 

 

“คุณหนูจวินดีทีเดียว” เขาเอ่ยขึ้นแล้วไตร่ตรองครู่หนึ่ง “เพียงแต่ไม่แน่ว่าจั้นเอ๋อร์จะคิดว่าดี”

 

 

นายหญิงอวี้ขมวดคิ้วบ้าง คล้ายคิดถึงเรื่องกลุ้มอันใดได้ อ้าปากอยากพูดก็หยุดไป

 

 

“ช่างเถอะ การแต่งงานเป็นเรื่องของทั้งชีวิต ไม่ถูกใจทั้งชีวิตย่อมทุกข์ทรมาน แล้วแต่เขาเถอะ” นางเอ่ยขึ้น

 

 

เฉิงกั๋วกงพยักหน้า

 

 

“ใช่แล้ว ไม่ใช่ใครล้วนโชคดีเช่นนี้เหมือนข้า หาคนที่ใจต้องกันพบได้ใช้ทั้งชีวิตด้วยกัน” เขาเอ่ย

 

 

นายหญิงอวี้หัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว ยกมือทุบหัวไหล่เฉิงกั๋วกงทีหนึ่ง

 

 

“จริงแท้” นางว่า

 

 

นอกประตูเสียงกระแอมทีหนึ่งดังขึ้น ทั้งสองคนมองไปเห็นจูจั้นเดินเข้ามา

 

 

“ทำไมกลับมาเร็วเช่นนี้เล่า?” นายหญิงอวี้เอ่ยถาม

 

 

จูจั้นขานอ้อทีหนึ่ง

 

 

“ไม่ใช่วันนี้พ่อเข้าประชุมหรือ? ข้าเลยกลับมาดูสักหน่อย” เขาเอ่ยแล้วมองไปทางเฉิงกั๋วกง “พ่อ ท่านเขียนฎีกาแล้วหรือ?”

 

 

“นี่มีสิ่งใดให้หลอก” เฉิงกั๋วกงเอ่ยตอบ

 

 

“ไม่ขบคิดตริตรองอีกหน่อย?” จูจั้นเอ่ยถาม

 

 

“บุรุษทำสิ่งใดเอ่ยวาจาแล้วต้องเด็ดขาด” เฉิงกั๋วกงเอ่ยบอก “อย่าพะว้าพะวัง”

 

 

พูดจบก็ยกเท้าเดินไปด้านนอก

 

 

จูจั้นขานอื้อไม่เอ่ยอะไรอีก

 

 

“นี่ไม่ใช่สมใจเจ้ารึ?” นายหญิงอวี้คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มเอ่ยขึ้นแล้วมองสำรวจจูจั้น “ทำไมดูแล้วเจ้าไม่ดีใจ?”

 

 

“เรื่องชื่อเสียงเช่นนี้เป็นเรื่องเล็กน้อย มีสิ่งใดให้ดีใจไม่ดีใจ” จูจั้นเอ่ยหน้าขรึม “คนที่ข้าเป็นห่วงคือท่านพ่อ กับความปลอดภัยของคุณหนูจวิน”

 

 

นายหญิงอวี้สีหน้าประหนึ่งเห็นผีมองเขา

 

 

“เจ้ากินยาผิดรึ?” นางเอ่ยถาม

 

 

“แม่” จูจั้นร้องเรียก

 

 

เฉิงกั๋วกงยิ้มแล้ว หยุดคำพูดของทั้งสองคน

 

 

“เอาล่ะ เจ้าก็อย่าแกล้งเขาเลย” เขาเอ่ยแล้วมองจูจั้น “ไม่ต้องกังวล นี่เป็นเรื่องช้าเร็ว แทนที่จะให้ผู้อื่นลงมือไม่สู้ตนเองเข้าปะทะก่อน”

 

 

จูจั้นขานตอบทีหนึ่งพยักหน้า ส่งเฉิงกั๋วกงออกจากบ้านด้วยกันกับนายหญิงอวี้

 

 

นอกประตูเหล่าองครักษ์ตั้งขบวน เฉิงกั๋วกงรับสายบังเหียนมาพลิกกายขึ้นม้า จากไปพร้อมกับแสงอรุณที่ขอบฟ้า

 

 

“แม่ ถ้าเช่นนั้นข้าไปแล้ว” จูจั้นเอ่ยบอก

 

 

“ไปไหน?” นายหญิงอวี้เอ่ยถาม แปลกใจอยู่บ้าง

 

 

“แน่นอนโรงหมอจิ่วหลิงสิ” จูจั้นเอ่ยตอบ ก็แปลกใจอยู่บ้างเหมือนกัน “นี่ยังต้องถามด้วยหรือ?”

 

 

“เจ้าไม่ใช่หลบเลี่ยงแทบไม่ทันหรือ? ไม่ยินดีไม่ยินยอมหรือ?” นายหญิงอวี้มองสำรวจเขา “วันนี้เจ้าเป็นอะไร?”

 

 

จูจั้นหน้าขรึมขมวดคิ้ว

 

 

“ข้าเป็นอย่างไรเล่า แม่ ข้าเป็นคนที่ไม่แยกแยะหนักเบาเช่นนั้นหรือ? ตอนนี้เวลานี้มีเรื่องสำคัญเร่งเด่วนมากนัก” เขาเอ่ย

 

 

นายหญิงอวี้สบถทีหนึ่ง

 

 

“พอเถอะ” นางเอ่ยขึ้น “ข้ายังไม่รู้จักเจ้ารึ”

 

 

พูดพลางมองจูจั้น ฉับพลันเข้าใจกระจ่าง

 

 

“เจ้าวันนี้ทำไมอารมณ์ดีเช่นนี้”

 

 

จูจั้นกะพริบตา

 

 

“ข้าอารมณ์ดีหรือ?” เขาเอ่ยขึ้น

 

 

“เจ้ายิ้มจนปากหุบไม่ลงแล้ว” นายหญิงอวี้ขมวดคิ้วมองเขา “ข้าว่าดูอย่างไรก็ดูประหลาด”

 

 

จูจั้นยื่นมือลูบหน้า

 

 

“ตรงไหนเล่า แม่ ท่านอย่าพูดส่งเดช” เขาเอ่ย “เวลานี้มีสิ่งใดให้อารมณ์ดี”

 

 

พูดจบไม่รอนายหญิงอวี้เอ่ยวาจาก็คำนับ

 

 

“ข้าไปทำงานก่อนล่ะ”

 

 

นายหญิงอวี้ถอนหายใจสองทีมองจูจั้นสองก้าวสามก้าวก็จากไปไกล

 

 

ยิ้มปากไม่หุบหรือ?

 

 

ตรงไหนเล่า?

 

 

จูจั้นยื่นมือลูบมุมปาก รอยยิ้มแย้มออก มุมปากยกขึ้น เขารีบกระแอมเบาๆ สองทีหุบลง แต่นาทีต่อมาก็ยังคงกลั้นไม่อยู่ยกขึ้นมาอีก ท้ายที่สุดเผยฟันขาวทั้งปากออกมาเดินก้าวยาวๆ ไปบนถนน

 

 

……………………………………….

 

 

……………………………………….

 

 

เมื่อทอดพระเนตรเห็นเฉิงกั๋วกงที่ถวายฎีกา ฮ่องเต้ก็ทรงอารมณ์ดียิ่งเช่นกัน

 

 

เนื้อหาในฎีกาเฉิงกั๋วกงอ่านต่อหน้าทุกคนแล้ว ในท้องพระโรงเวลานี้เต็มไปด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์หึ่งๆ ขุนนางทั้งหลายเต็มที่ประชุมสีหน้าต่างกันไป

 

 

“พูดเช่นนี้ ทุกสิ่งล้วนเป็นแผนเฉพาะหน้า” ฮ่องเต้ยกพระหัตถ์ส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบ ตรัสขึ้นอย่างอ่อนโยน “การช่วยเหลือคุ้มครองผู้อพยพแดนเหนือนี่ที่จริงล้วนเป็นความคิดของคุณหนูจวิน แต่เพื่อสะดวกดำเนินการถึงอ้างชื่อของเจ้าหรือ?”

 

 

เฉิงกั๋วกงค้อมกาย

 

 

“เป็นเช่นนั้น” เขาเอ่ยขึ้น “เดินทางมาดินแดนของชาวจินช่วยกระหม่อมจากวงล้อมก็เป็นการกระทำของนาง ไม่ใช่กระหม่อมวางแผนไว้ก่อน”

 

 

“ถ้าเช่นนั้นกล่าวเช่นนี้ คุณงามความชอบที่แดนเหนือนี่ไยไม่ใช่ล้วนเป็นของคุณหนูจวิน? ฝ่าบาทชื่นชมผิดคนแล้วสิ?” ขุนนางคนหนึ่งคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้มเอ่ยขึ้น

 

 

เฉิงกั๋วกงหันหน้าไปมองเขา

 

 

“แน่นอนว่าไม่ใช่” เขาเอ่ยขึ้น “หากไม่มีข้าพิทักษ์แดนเหนือฝึกฝนทหารหาญแม่ทัพกล้าออกมา ย่อมไม่มีโอกาสของคุณหนูจวินเช่นกัน”

 

 

ขุนนางมากมายที่อยู่ที่นั่นอึ้ง

 

 

ชมตนเองถึงกับชมได้ตรงๆ เด็ดขาด ตรงไปตรงมาเช่นนี้เชียว

 

 

หน้าไม่อายจริงๆ!

 

 

……………………