ภาคที่ 4 ตอนที่ 122 ฝ่าบาททรงพระปรีชา

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

ในท้องพระโรงเสียงหึ่งๆ ดังขึ้นพักหนึ่ง

 

 

แน่นอนไม่เพียงเฉิงกั๋วกงเองชมตนเอง ขุนนางหลายคนก็ก้าวออกมาด้วย

 

 

“ใต้เท้าซุนเอ่ยวาจาเช่นนี้ได้อย่างไร คนผู้เดียวตบมือข้างเดียวยากดัง” ขุนนางผู้นั้นเอ่ยขึ้น

 

 

“ใช่แล้ว อีกอย่างเพราะเฉิงกั๋วกงห้าวหาญอยู่ก่อน เหล่าประชาชนอย่างคุณหนูจวินถึงเลื่อมใสติดตาม ถึงหนึ่งเรียกร้อยขานรับได้” ขุนนางอีกคนเอ่ย

 

 

ในท้องพระโรงเสียงต่างๆ นาๆ ดังขึ้น ทั้งหมดล้วนชื่นชมเฉิงกั๋วกงที่สั่งสมบารมีอยู่ที่แดนเหนือนานปี ฝึกฝนทหารแกร่งอาชากำยำ ประชาชนทั้งมวลล้วนเป็นทหาร ทั้งยังกล้าหาญไม่ยอมถอย กล้าไปยังดินแดนของชาวจินลอบโจมตีองค์ชายของชาวจิน นี่ถึงทำให้พวกคุณหนูจวินสาบานต่อให้ตายก็จะติดตาม

 

 

สรุปคือล้วนเป็นเพราะความกล้าหาญของเฉิงกั๋วกงถึงทำให้การกระทำของพวกคุณหนูจวินสำเร็จ ความชอบคราวนี้จึงสำเร็จด้วย

 

 

ชมเลย ชมเลย หวงเฉิงกุมมือก้มศีรษะอยู่ในแถว มุมปากมีรอยยิ้มจางๆ ให้ฮ่องเต้ทอดพระเนตรว่าพรรคพวกในราชสำนักของเฉิงกั๋วกงมีเท่าไร ดูสิว่าชื่อเสียงของเขาโด่งดังเพียงไร ความชอบมากเจ้าแผ่นดินหวาดหวั่น ไม่ใช่มองออกมา แต่เป็นพูดออกมา

 

 

“…พวกท่านกล่าวผิดแล้ว นี่เป็นความดีความชอบของฝ่าบาทชัดๆ!”

 

 

ท่ามกลางเสียงแย่งกันชื่นชมนี้ฉับพลันเสียงกังวานใสเสียงหนึ่งโพล่งออกมา

 

 

เจ้าหนูหน้าไม่อายคนนี้อีกแล้ว หวงเฉิงฉับพลันหน้าบึ้ง

 

 

“เพราะฝ่าบาททรงพระปรีชาเปี่ยมบารมีชัดๆ ถึงให้เฉิงกั๋วกงสั่งสมความดีความชอบและหัวใจของประชาชนที่แดนเหนือเช่นนี้ได้” หนิงอวิ๋นเจาชูป้ายเตือนความจำพลางเอ่ยต่อ “หากไม่ให้ความไว้วางพระทัย เฉิงกั๋วกงจะก้าวมาถึงวันนี้ได้อย่างไร ฎีกากล่าวโทษของสำนักผู้ตรวจการสุมจนประหนึ่งภูเขา ทุบก็ทุบเฉิงกั๋วกงตายได้แล้ว”

 

 

“ไม่ผิด นี่คือความดีความชอบของฝ่าบาท”

 

 

ด้านหลังร่างเขาขุนนางอายุน้อยกลุ่มหนึ่งรีบก้าวตามออกมา

 

 

“นี่เป็นฝ่าบาทพันทองซื้อกระดูกอาชา[1]”

 

 

“นี่เป็นฝ่าบาททรงเมตตาน้ำพระทัยกว้างขวางจึงได้รับการสนับสนุนจากประชาชน”

 

 

ในท้องพระโรงฉับพลันกลายเป็นยิ่งเอะอะ ไม่เพียงหวงเฉิงตะลึง ขุนนางที่เหลือก็ตะลึงด้วย ขุนนางสองฝั่งที่กำลังโต้เถียงกันอยู่ก็ตะลึงเช่นกัน จากนั้นก็โมโหอยู่บ้าง

 

 

ผลัดถึงตาพวกเขาขุนนางหนุ่มเหล่านี้สอดปากตั้งแต่เมื่อไร!

 

 

นอกจากนี้ยังสรรเสริญเยินยอโจ่งแจ้งเช่นนี้อีก!

 

 

ไม่เข้าท่าจริงๆ !

 

 

ไม่ว่าคนของเฉิงกั๋วกงด้านนี้หรือคนของหวงเฉิงด้านนี้ล้วนเอ่ยด่าในใจพร้อมกัน

 

 

พวกขุนนางรุ่นใหม่รุ่นนี้ใช้ไม่ได้จริงๆ !

 

 

ไม่ดูเสียบ้างว่าตอนนี้กำลังพูดเรื่องสำคัญอะไรอยู่ ออกมาประจบส่งเดชอะไร

 

 

ขุนนางหลายคนขมวดคิ้วจะต่อว่าทันที ฮ่องเต้ที่เงียบไม่พูดไม่จามาตลอดบนบัลลังก์พลันสรวลแล้ว

 

 

“เอาล่ะ เอาล่ะ ไม่ต้องทะเลาะกันแล้ว” พระองค์ตรัสพลางยกพระหัตถ์ส่งสัญญาณ “ข้าฟังเข้าใจแล้ว”

 

 

ขุนนางทั้งหลายในท้องพระโรงค้อมกายสดับฟัง

 

 

“ที่แท้คุณหนูจวินทำเรื่องมากมายเช่นนี้ มีคุณงามความชอบแน่นอน” ฮ่องเต้ตรัสพลางถอนพระปัสสาสะ แล้วมองเฉิงกั๋วกงอีกครั้ง “แน่นอน เฉิงกั๋วกงเจ้าก็มีความชอบเช่นกัน เหมือนเช่นที่ทุกคนว่า นี่คือการส่งเสริมกันจึงสำเร็จร่วมกัน ไม่ใช่คนผู้เดียวจะทำได้”

 

 

“ฝ่าบาททรงพระปรีชา!”หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย

 

 

ตะโกนอะไรเล่า ยังพูดไม่ทันจบเลย เจ้าแย่งอะไร! ขุนนางคนอื่นก้มศีรษะเหล่ตาโมโห

 

 

“ฝ่าบาททรงพระปรีชา” พวกเขาเอ่ยตามวุ่นวาย

 

 

ฮ่องเต้สรวลยกพระหัตถ์ส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบ

 

 

“ไม่ปรีชาหรอก นี่เป็นเรื่องสมควร” สีพระพักตร์พระองค์ยิ่งอ่อนโยน ยังมีความตำหนิพระองค์เองอยู่บ้างด้วย “ไม่ยุติธรรมกับคุณหนูจวินแล้ว สร้างคุณงามความชอบใหญ่หลวงเช่นนี้กลับไม่มีผู้ใดล่วงรู้”

 

 

“ฝ่าบาท เรื่องดีไม่กลัวสายนะพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ครั้งนี้หวงเฉิงไม่กล้าช้าสักก้าวอีกต่อไป รีบก้าวออกมาพูด

 

 

“แม้ครั้งแรกไม่ได้แห่ขบวนสรรเสริญความชอบให้ทุกคนรู้จักคุณหนูจวิน ตอนนี้ก็ไม่สายนะพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทกำลังจะพระราชทานรางวัลให้เต๋อเซิ่งชาง ประกาศพระราชทานเกียรติยศแก่คุณหนูจวินพร้อมกันย่อมได้”

 

 

“ใช่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท เวลานี้ยังไม่สาย” ขุนนางหลายคนเอ่ยเห็นพ้องทันที

 

 

ขุนนางอีกหลายคนมองเฉิงกั๋วกงทีหนึ่ง ค้อมกายขานรับเช่นกัน

 

 

ยามที่ขุนนางฝ่ายพลเรือนกับฝ่ายทหารเต็มท้องพระโรงโดยเฉพาะอย่างยิ่งเฉิงกั๋วกงกับหวงเฉิงเห็นพ้องกันอย่างยากจะพบนี่ ในพระทัยฮ่องเต้ย่อมเข้าใจเจตนาของพวกเขาชัดเจนยิ่ง

 

 

เฉิงกั๋วกงกล้าทำเช่นนี้ย่อมต้องการตักตวงชื่อเสียงว่าจิตใจกว้างขวางไม่เห็นแก่ตัวอีก นอกจากนี้มีที่พึ่งจึงมั่นใจว่าตนเองต้องไม่กล้าไม่ตกลง

 

 

ส่วนหวงเฉิงคนเหล่านี้ย่อมหวังว่าจะลดทอนคุณงามความชอบของเฉิงกั๋วกง ถึงขั้นฉวยโอกาสสร้างมลทินว่าละโมบความชอบให้ชื่อเฉิงกั๋วกง

 

 

แต่ละคนๆ ล้วนมีแผนการเล็กๆ ของตนเอง

 

 

สายพระเนตรของฮ่องเต้กวาดผ่านไป ฉับพลันก็ชะงัก จับอยู่บนร่างของหนิงอวิ๋นเจา

 

 

ขุนนางชุดเขียวเยาว์วัยไม่ได้ค้อมกายเอ่ยวาจาเช่นนั้นอย่างเช่นขุนนางส่วนใหญ่ แต่ร่างกายเหยียดตรงสีหน้าแน่วแน่มองพระองค์

 

 

ไม่ว่าผู้อื่นคิดอย่างไรทำอย่างไร สิ่งที่เขาต้องทำก็คือฟังว่าฝ่าบาทจะตัดสินใจอย่างไร

 

 

ฮ่องเต้อดไม่ได้หัวเราะส่ายศีรษะ คนหนุ่มนี่นะ

 

 

คนหนุ่มก็ไม่เลว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนหนุ่มคนนี้คือคนแซ่หนิงต้องการความรู้มีความรู้ ต้องการความสามารถมีความสามารถ นอกจากนี้เบื้องหลังยังมีผู้หลักผู้ใหญ่เป็นหนิงเหยียนอีก

 

 

หนิงเหยียนความสามารถในการทำงานบ้านงานเมืองไม่ต้องสงสัย เพียงแต่นิสัยนี่ทำให้คนไม่สบายใจจริงๆ แต่หนิงอวิ๋นเจาไม่เหมือนกัน

 

 

นี่หลังจากนี้พบเรื่องบ้านเมืองให้หนิงเหยียนชี้แนะเบื้องหลังได้ แล้วยังให้หนิงอวิ๋นเจาแสดงออกว่าแลกเปลี่ยนคล้อยตามเขาอย่างหัวไวยิ่งกว่าได้อีก นี่เป็นเรื่องที่ยิงทีเดียวได้นกสองตัวจริงๆ

 

 

รอยสรวลในพระเนตรฮ่องเต้ยิ่งเข้ม แต่ก็ขมวดพระขนงน้อยๆ อีกหน มองชุดขุนนางสีเขียวของหนิงอวิ๋นเจา

 

 

ตำแหน่งขุนนางต่ำเกินไป การประชุมใหญ่มาได้ เวลาอื่นย่อมผลัดไม่ถึงเขามาถกเรื่องงานบ้านงานเมือง ดูท่าคงต้องให้โอกาสเขาขยับตำแหน่งสักหนแล้ว

 

 

นี่ก็ทำง่าย ฮ่องเต้นั่งพระวรกายตั้งตรง พอดีอ้างการปลอบประโลมหนิงเหยียนทำเรื่องนี้ได้พอดี แล้วพระองค์ยังได้ชื่อเสียงดีงามว่ามีน้ำพระทัยต่อขุนนางใหญ่อีกด้วย

 

 

เสียงของขุนนางทั้งหลายในท้องพระโรงวุ่นวายจนพูดจบเงียบลง ฮ่องเต้บนบัลลังก์กลับเงียบไม่ส่งเสียง

 

 

หวงเฉิงเงยหน้าขึ้นไม่เข้าใจอยู่บ้าง เห็นฮ่องเต้คล้ายกำลังเหม่อลอยอยู่ ขมวดพระขนงเป็นระยะคล้ายกำลังคิดสิ่งใด

 

 

ครุ่นคิดคิดสิ่งใด?

 

 

เรื่องนี้ยังต้องครุ่นคิดรึ?

 

 

ขอเพียงทำเรื่องนี้ให้เป็นจริง การเลี้ยงทหารส่วนตัว ลดทอนความชอบทางการทหาร ให้ประชาชนทั้งหลายรู้ว่าเฉิงกั๋วกงไม่ได้ทำได้ทุกสิ่งเช่นนั้น ความชอบทางทหารที่เขาทำที่จริงเป็นผู้อื่นกระทำ ถ้าเช่นนั้นบารมีในหมู่ประชาชนย่อมต้องลดลงมาก นี่ล้วนเป็นเรื่องที่จะได้ตามมา

 

 

เดิมทีคุณหนูจวินกับฐานะคู่หมั้นของบุตรชายเฉิงกั๋วกงจริงๆ หลอกๆ ผู้อื่นย่อมไม่มีหนทางพิสูจน์ ตอนนี้พวกเขาพูดออกมาเองแล้ว เป็นขนมสอดไส้ร่วงจากฟ้าโดยแท้ ไม่รับไยไม่ใช่เสียของ?

 

 

ส่วนเฉิงกั๋วกงทำไมทำเช่นนี้ ก็คงเพราะประการแรกคุณหนูจวินอยากแย่งความชอบ สตรีคนนี้ตั้งแต่เข้าเมืองหลวงมา การเคลื่อนไหวทุกครั้งล้วนต้องการชื่อเสียงไม่ต้องการผลประโยชน์ ชื่อเสียงมากเช่นนี้ในหมู่ผู้อพยพแดนเหนือ นางจะยกประเคนให้ผู้อื่นได้อย่างไร? ส่วนเฉิงกั๋วกงต้องการซื้อใจคุณหนูจวินคนนี้ย่อมไม่มีทางปฏิเสธ สำหรับพวกเขาแล้ว นี่เป็นเรื่องดีที่ดีต่อเจ้า ดีต่อข้า ดีต่อคนทั้งหมด

 

 

มุมปากหวงเฉิงยิ้มเย็นชาจางๆ แต่เรื่องดีในใต้หล้านี้ไม่อาจถูกพวกเจ้ายึดครองได้ทั้งหมดกระมัง?

 

 

“ฝ่าบาท” เขาก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ตะเบ็งเสียงนิดๆ เอ่ยเรียก

 

 

ฮ่องเต้ได้สติกลับมามองไปหาเขา

 

 

“ฝ่าบาท รางวัลโทษทัณฑ์แบ่งชัดจึงเป็นเจ้าแผ่นดินผู้ปรีชา ความชอบใหญ่หลวงครั้งนี้ของคุณหนูจวินไม่อาจถูกฝังกลบไว้ตรงนี้ได้” หวงเฉิงสีหน้าจริงใจเอ่ย แล้วมองไปทางเฉิงกั๋วกงทีหนึ่งอีกหน เจาะจงไม่ปิดบังสักนิด “เป็นความชอบของผู้ใดก็เป็นของผู้นั้น ประชาชนทั้งหลายควรได้รับรู้ เลี่ยงไม่ให้ถูกผู้ใดหลอกลวงให้งมงาย”

 

 

คำพูดนี้ชัดเจนพอตัวแล้วกระมัง ฮ่องเต้น่าจะเข้าใจความหมายของเขาแล้ว

 

 

หวงเฉิงเตรียมเอ่ยต่อสักหลายประโยค ฮ่องเต้ก็พลันเอ่ยพระโอษฐ์

 

 

“ดี พวกเจ้าพูดถูกต้อง” พระองค์ตรัส ยกพระหัตถ์ส่งสัญญาณ “รางวัลโทษทัณฑ์ต้องแบ่งชัด ควรให้รางวัลย่อมต้องให้รางวัล ไม่อาจทำให้ผู้มีความดีความชอบผิดหวังได้”

 

 

พระองค์มองไปทางหวงเฉิง

 

 

“พวกเจ้าหารือกันสักหน่อยเถอะ ทำตามรูปแบบที่ใหญ่ที่สุด”

 

 

ง่ายปานนี้เชียว ดูท่าฮ่องเต้จะคิดกระจ่างแล้วจริงๆ ตัดสินใจแน่วแน่จะกำจัดเฉิงกั๋วกงแล้วเช่นกัน

 

 

หวงเฉิงกำลังคิดคำพูด ชะงักไปนิดเดียวนี่ ข้างหูพลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นแล้ว

 

 

“ฝ่าบาททรงพระปรีชา!” หนิงอวิ๋นเจาค้อมกายตะเบ็งเสียงเอ่ย

 

 

หน้าไม่อาย

 

 

หวงเฉิงด่าคำหนึ่งในใจ ค้อมกายตาม

 

 

“ฝ่าบาททรงพระปรีชา”

 

 

ครั้งนี้ขุนนางฝ่ายพลเรือนกับฝ่ายทหารทั้งท้องพระโรงล้วนค้อมกายขานรับพร้อมเพรียง

 

 

มีอะไรทรงพระปรีชาไม่ทรงพระปรีชาเล่า สำหรับคนผู้หนึ่งที่กำลังจะถูกกำจัด ไยต้องสนใจมากปานนั้น ต่อให้มอบคุณงามความชอบเพิ่มให้พวกนางบ้างแล้วอย่างไร อย่างไรท้ายที่สุดไม่ใช่พระองค์จะเอากลับมารึ

 

 

ฮ่องเต้ยิ้มบางๆ ไม่ต้องสิ้นเปลืองความคิดอันใดแล้ว พวกเจ้าอยากได้ก็ให้พวกเจ้า

 

 

…………………………