ตอนที่ 791 : นครคนตายต้องห้าม

Nine Sun God King เทพราชันเก้าตะวัน

ตอนที่ 791 : นครคนตายต้องห้าม

 

กําลังแท้จริงของซูเหยาแข็งแกร่งยิ่ง ฉินหยุนไม่อาจบอกได้ว่านางฝึกฝนจนอยู่ระดับใดแล้ว เพียงทราบ ว่านางสามารถจัดการราชันยุทธ์ได้โดยง่าย นี้เป็นพลังอํานาจระดับที่ฉินหยุนไม่อาจรับมือได้ไหว ดังนั้น สื่อชิงเฉิงและสุ่ยเทียนสื่อจึงตัดสินใจติดตามซูเหยาเป็นการชั่วคราว พวกนางไม่ต้องการให้ฉินหยุนถูกแปรเปลี่ยนเป็นอัญมณีสีน้ำเงินที่แหลกสลาย

 

ฉินหยุนตอนนี้เป็นกังวลถึงสองหญิงสาว เห็นได้ชัดว่าซูเหยาค่อนข้างจริงใจยามรับพวกนางเป็นศิษย์

 

“นางผู้นั้นมันอะไรกันแน่? คิดพันธนาการไว้ก็เข้าใจ แต่เหตุใดต้องฉีกกระชากเสื้อผ้าเราด้วย?” ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้ ฉินหยุนยิ่งโกรธแค้น

 

“บางทีอาจเป็นนางเห็นว่าเจ้าหล่อเหลา ดังนั้นจึงคิดอยากเปลื้องผ้าเห็นทุกส่วนในกายเจ้า!” หลิงหยุนเอ๋อหัวเราะคิกคัก

 

“หยุนเอ๋อ นี่เจ้าชมข้าหรือไม่ใช่?” ฉินหยุนกล่าวออกด้วยอารมณ์ไม่ค่อยยินดีนัก

 

ตอนนี้เขากําลังสะกดรอยซูเหยาผ่านยันต์ติดตามวิญญาณ แม้เป็นยามค่ำคืน เขาก็ไม่กล้าเข้าใกล้ เพราะซูเหยาสามารถรับรู้ถึงตัวเขาแม้ซ่อนเร้นอยู่

 

“หยุนเอ๋อ พลังเงาของข้าไม่อาจใช้งานต่อหน้าซูเหยา นี่มันเรื่องอันใดกัน?” ฉินหยุนบินต่ำในป่าพลางถาม

 

“บางทีอาจเป็นเพราะนางมีความสามารถรับรู้อันยอดเยี่ยม เจ้าเองก็ได้เห็นพวกคนที่ออกมาลาดตระเวน แม้เป็นราชันยุทธ์ มันก็ยังไม่พบเจอเจ้าแม้แต่น้อย!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว

 

“อา… หากมันใช้งานไม่ได้ อย่างนั้นข้าก็เสียเปรียบแย่แล้ว!” ฉินหยุนยิ่งร้อนรน

 

ใช้พลังเงาเพื่อซ่อนเร้นในความมืด มันคือเคล็ดวิชาซ่อนเร้นหนึ่งเดียวที่เขามี กระนั้นมันไม่ใช่ใช้ประโยชน์ได้ตลอด หากเขาพบเจอกับผู้ที่มีประสาทรับรู้แรงกล้า เช่นนั้นก็อันตรายยิ่ง

 

ระหว่างฉินหยุนตามรอยไป เขาหาได้เว้นช่วงพักไม่

 

“นี่ไม่ได้แล้ว เพื่อซ่อนเร้นตัวตนอย่างสมบูรณ์ ต้องหาทางสร้างอะไรสักอย่างมาใช้แทน!” ฉินหยุนพิงกับต้นไม้ใหญ่พลางหลับตาลง เขากําลังนึกย้อนถึงอักขระจันทราและดวงดาวที่เชี่ยวชาญ

 

ผ่านไปพักหนึ่ง เขาตัดสินใจใช้งานสามอักขระจันทรา สี่อักขระดวงดาว และอักขระเต๋าสร้างยันต์ขึ้น

 

การกระทําเช่นที่เขาลงมือตอนนี้ แม้เป็นอาจารย์เต่ก็ถือเป็นภาระงานหนักหนา กระนั้นฉินหยุนครอบครองจารึกวิญญาณจํานวนมาก สําหรับเขาถือว่ายังเป็นเรื่องสามารถทําได้

 

มีแต่ยามเมื่อแกะสลักอักขระเต๋าจึงทําให้รู้สึกว่ายากไปบ้าง เพราะระดับการฝึกฝนของเขายังค่อนข้างต่ำ ล่าสุดตอนแกะสลักอักขระเต๋า ระดับการฝึกฝนของเขาต่ำเตี้ยอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงแทบหมดสิ้นเรี่ยวแรง ทว่าตอนนี้ เขาคือขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำระดับสูง แม้เป็นการสร้างอุปกรณ์เต๋ามันก็ไม่ใช่ปัญหาใดอีกต่อไป

 

“มีเผ่าพันธุ์ยุคโบราณที่แข็งแกร่งอยู่ภายในเขตแดนอ้างว้าง พวกเราไม่ทราบพลังอํานาจแท้จริงพวกเขาเหล่านี้ ที่ทําได้ ก็มีแต่ต้องระมัดระวัง”

 

ฉินหยุนนํากระดาษยันต์ออกมาเริ่มแกะสลักอักขระ กระดาษยันต์นี้เป็นเจี้ยนหลิงหลงมอบไว้ให้แก่เขา นางคืออาจารย์จารึกเต๋า ยามใดมีเวลาว่าง ย่อมทํากระดาษยันต์เปล่าไว้จํานวนมาก

 

เฉินหยุนได้ร้องขอต่อนางมาจํานวนหนึ่ง ด้วยปากกาลึกล้ำสะท้อนจิตในมือ พร้อมจารึกวิญญาณในกาย เขาเริ่มแกะสลักอักขระรวดเร็วและลื่นไหล เพียงหนึ่งชั่วยาม เขาจึงแกะสลักยันต์เต๋าที่มีอักขระทั้งสามประเภทได้เสร็จสิ้น

 

“เหอะ… นี่ก็แค่โหมโรง!” ได้เห็นว่าตนเองสามารถสร้างยันต์เต่าที่ดีได้โดยง่าย ฉินหยุนค่อยรู้สึกภาคภูมิ

 

ต้องทราบว่าอาจารย์จารึกเตที่มีประสบการณ์มากล้ำ ก็ยังไม่อาจสร้างยันต์เต๋าที่ดีเช่นนี้พร้อมความวิจิตรสูงล้ำได้ง่าย นอกจากนี้แล้ว ยันต์ของฉินหยุนสามารถใช้งานซ้ำได้

 

“นี่คือยันต์เตซ่อนเร้นลี้ลับ ทําให้ตัวเราสามารถซ่อนเร้นได้ดีขึ้น แต่ผลลัพธ์การใช้งานยังไม่ทราบ…” ฉินหยุนเรียกใช้งาน จากนั้นจึงแปะมันเอาไว้ที่ตําแหน่งหัวใจ ทําให้ยันต์เข้าสู่ในร่างกาย

 

ไม่นานจากนั้น เขาจึงสัมผัสได้ถึงยันต์ที่ผนวกรวมอย่างสมบูรณ์ ออร่าอ่อนจางได้ปรากฏในกายเขา

 

“นี่สมควรใช้งานได้!” ฉินหยุนแปรเปลี่ยนร่างกายตนเองเป็นโปร่งแสงโดยสมบูรณ์ และจึงติดตามซูเหยาต่อเนื่อง

 

“เสี่ยวหยุน เมื่อใดมีเวลา เจ้าควรแกะสลักยันต์เต๋าไว้ให้มากกว่านี้ เจ้าจะได้ปรับการใช้อักขระดวงดาวและจันทราร่วมกับอักขระโทเทม ยันต์เต่ระดับนั้นย่อมครอบครองอํานาจชวนสะพรึง!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว “เมื่อใดเจ้าไม่อาจเอาชนะผู้อื่น เช่นนั้นจงโยนแผ่นยันต์ใส่พวกมันเสีย ฮ่าฮ่าฮ่า!”

 

ตอนนี้ฉินหยุนไม่มีเวลาให้ทํายันต์เหล่านั้น เมื่อใดได้พบเจี้ยนหลิงหลง เขาวางแผนคิดสอบถามต่อนางเพื่อขอกระดาษยันต์ให้มากกว่านี้

 

แม้มียันต์เต่ซ่อนเร้นลี้ลับ ฉินหยุนก็ยังกังวล ว่าซูเหยาอาจพบเจอตัวได้ เขาไม่ทราบว่าซูเหยาจะทําอันใดอีกหากพบเจอ ทว่าคงไม่ใช่เพียงแค่เปลื้องผ้าเหมือนครั้งก่อนอย่างแน่นอน

 

“นางเฒ่าซูเหยานั่น นางเปลื้องผ้าข้าต่อหน้าพี่สาวซาลาเปานึ่งและภูติวารี นี่ถือเป็นการหยามเหยียดยิ่งนัก แค้นนี้ต้องชําระ!” เพียงนึกถึงเรื่องนี้ ฉินหยุนก็รู้สึกสั่นสะท้านในหัวใจแล้ว

 

“ล้างแค้นด้วยการเปลื้องผ้านาง!” หลิงหยุนเอ๋อหัวเราะซุกซน “นางเองก็เป็นสตรีผู้งดงาม เรือนร่างย่อมต้องดี หีหีหี!”

 

“ข้าย่อมไม่ทําเรื่องไร้ยางอายเช่นนั้น!” หากเขาเปลื้องผ้าซูเหยา ภายหลังนางจับตัวเขาได้ เช่นนั้นเขาคงถูกถลกหนังทั้งเป็นแล้ว

 

ซูเหยานําสื่อชิงเฉิงและสุ่ยเทียนสื่อเดินทาง เป็นนางเร่งรีบตลอดการเดินทาง และนางก็ไม่ทราบว่ามีผู้อื่นติดตามนางมาด้วย ความเร็วของฉินหยุนไม่มาก ทั้งยังไม่ได้ไล่ตามซูเหยากระชั้นชิดเพียงแต่หาตําแหน่งโดยคร่าวของซูเหยาและติดตามไป

 

“คล้ายจะมีคนอยู่ไม่ใช่น้อย!” ฉินหยุนมองไปยังสิ่งปลูกสร้างตรงหน้า มันเปรียบดังเมืองขนาดใหญ่

 

สิ่งปลูกสร้างเหล่านั้นค่อนข้างหยาบกระด้างและเรียบง่าย พวกมันถูกสร้างขึ้นเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมด้วยอิฐหิน และภายในอาคารใหญ่เหล่านี้ล้วนซับซ้อน

 

ทั้งยังมีเมืองขนาดใหญ่ที่มีกําแพงเมืองสูงนับร้อยเมตร ฉินหยุนบินขึ้นฟ้าสูง มองลงไปจากด้านบน พบเห็นภายในกําแพงเมืองมีหมอกสีดําปกคลุม ทําให้เขาไม่อาจมองเห็นสิ่งใด

 

เพียงเมืองนอกกําแพงก็ใหญ่โตมากแล้ว เห็นได้ชัด ว่ามันจะต้องมีประชากรอยู่อาศัยหลายล้านคน

 

“เกิดอะไรขึ้นกับเมืองนี้กันแน่?” ฉินหยุนกล่าวออกอย่างนึกหวาดกลัว

 

แม้เขาเกิดความสงสัย ก็ได้แต่ต้องตามซูเหยาไปต่อ เมื่อฉินหยุนเข้าสู่ในเมืองแล้ว เขาจึงได้พบผู้คนภายใน เหล่านี้ไม่มีใดพิเศษ ดังนั้นเขาจึงลอบเผยตัวตน ไม่ต้องคงสภาพการโปร่งแสง

 

ผู้คนเหล่านี้ไม่มีทางทราบว่าเขามาจากแดนวิญญาณอ้างว้าง ระหว่างเดินท่ามกลางฝูงชน ฉินหยุนยังคงติดตามซูเหยาผ่านยันต์สะกดรอยจิตวิญญาณ นางกําลังเข้าสู่ส่วนลึกในเมือง

 

“อย่าบอกนะว่านางกําลังจะเข้าไปในกําแพงเมืองนั่น!” ฉินหยุนกลายเป็นร้อนใจ เพราะจากที่ได้รับชมเมื่อครู่ เขาทราบว่าเมืองด้านในกําแพงสูงใหญ่แห่งนั้นคือสถานที่ยากเข้าไป

 

ระหว่างทาง ฉินหยุนพบว่าเมืองภายในกําแพง มันเปรียบดังเมืองภูตผีต้องห้าม มันถูกผนึกเอาไว้เป็นเวลานาน ไม่มีผู้ใดคิดเข้าไป ทว่าก็เวลานี้เช่นกัน ที่ผนึกนั้นคล้ายได้ถูกคลายออก

 

“เป็นไปได้ว่าผู้คนของชนเผ่ายุคโบราณ อนุญาตให้คนจากแดนวิญญาณอ้างว้างเข้ามาที่นี่ก็เพราะเมืองภูตผีต้องห้ามนั้น?” ฉินหยุนเกิดหวาดกลัวทีภายใน หากมันเป็นจริง เช่นนั้นภายในก็อันตรายอย่างยิ่งแล้ว

 

ตู้ม!

 

ขณะเดินไปเรื่อย อย่างกะทันหัน เสียงดังสนั่นหวั่นไหวได้บังเกิดขึ้นที่เบื้องหน้า หลายผู้คนกลายเป็นสะดุ้งตระหนกตกใจร้องตะโกนเสียงดัง ถัดจากนั้นจึงเร่งรีบกระจายตัวเผ่นหนี

 

“เมืองภูตผีเปิดแล้ว!”

 

“ผู้นําพาความตายกําลังออกมาจากเมืองนั่น พวกเราตายกันหมดแน่ เร่งรีบหนี!”

 

“รีบหนี!”

 

ชั่วขณะนี้ ผู้คนนอกกําแพงเมืองต่างเร่งร้อนเผ่นหนีกระจัดกระจายราวฝูงนก พวกเขาต่างใช้ความเร็วสูงสุดเพื่อเร่งรีบไปให้พ้นจากเมืองภูตผี

 

ฉินหยุนเองก็ได้พบ ว่าบริเวณใกล้กําแพงเมือง พลังวิญญาณเก้าตะวันค่อนข้างหนาแน่น มันมีกระทั่งพลังงานเชียน เพราะเหตุนั้นจึงทําให้หลายผู้คนมารวมตัวอยู่อาศัยกันที่นี่

 

ตึง ตึง ตึง!

 

ตอนนี้เอง ฉินหยุนได้ยินเสียงฝีเท้าหนักอึ้งดังสนั่นจากเบื้องหลัง เขาหันกลับมอง พบเป็นกลุ่มคนเร่งรีบควบขีพยัคฆ์สีทองขนาดใหญ่เข้ามาอย่างอาจหาญ คนกลุ่มนี้มีกันกว่าหลายสิบคน แต่ละคนล้วนหล่อเหลา ร่างกายเผยแรงกดดันไหลเวียนเด่นชัด ทั้งยังมีกระบองถือในมือ

 

พวกเขาเหล่านั้นควบขีพยัคฆ์สีทองร่างใหญ่ด้วยท่วงท่าหาญกล้าบุกเข้าหาเมืองภูตผี ผู้ขึ้นขี่พยัคฆ์เหล่านั้นห้อตะบึงพุ่งผ่านถนนใหญ่ หาได้ทําลายอาคารสิ่งปลูกสร้างที่ขวางทางไม่

 

ชั่วเวลานี้ ฉินหยุนสัมผัสได้ถึงออร่าเย็นเยือก เป็นซูเหยา! ฉินหยุนเร่งรีบซ่อนตัวในร้านค้าใกล้เคียง ซูเหยาพลันปรากฏตัวขึ้น ขวางเส้นทางของกลุ่มคนขีพยัคฆ์เหล่านี้ไว้

 

ผู้นําทัพพยัคฆ์เป็นชายวัยกลางคนไว้หนวดเครา หลังถูกบีบบังคับให้ต้องหยุด ผู้อื่นที่ติดตามมาล้วนต้องหยุดตาม พยัคฆ์สีทองร่างใหญ่มีความยาวลําตัวเกือบสิบเมตร มันระเบิดเอาเสียงคํารามสนั่นพื้นแผ่นดินออกมา เป็นผลให้กลุ่มคนที่แตกตื่นอยู่แล้วยิ่งตระหนกตกใจ

 

“หลันซูเหยา เหตุใดจึงขวางทางพวกเรา?” หัวหน้าหน่วยวัยกลางคนเอ่ยถามเสียงเย็น

 

“พวกเจ้าเร่งรีบไปที่ใด?” หลันซูเหยาเผยน้ำเสียงเย็นเยือกอหังการ มันอัดแน่นด้วยจิตสังหารเพียงแค่มองก็กล้ากล่าว ว่าความสัมพันธ์ของนางและคนกลุ่มนี้หาได้ดีเท่าใดนัก

 

“ก็เห็นชัดว่าพวกเราคิดเข้าหยุดยั้งผู้นําพาความตาย นั่นเป็นงานพวกเรา!” ผู้นําหน่วยพยัคฆ์กล่าว “หากเป็นไปได้ พวกเราก็คิดอยากผนึกทางเข้านั่น เพื่อที่จะได้ไม่มีผู้ใดล่วงล้ำเข้าไปอีก!”

 

หลันซูเหยาแค่นเสียง “ด้วยพวกเจ้าหรือ? คิดหรือว่าจะสามารถสกัดชนเผ่าใหญ่ทั้งหลายที่คิดอยากเข้านครภูตผีได้หมด?”

 

ผู้นําหน่วยพยัคฆ์กล่าว “ข้าขวางไว้ก็เพราะเจตนาดี! หากพวกมันเข้าไป เช่นนั้นย่อมต้องนําสิ่งของต้องห้ามภายในออกมา ถึงตอนนั้น ทั่วทั้งเขตแดนอ้างว้างได้ถูกทําลายหมดสิ้น!”

 

“พวกเราหาได้สนไม่! พวกเราได้ติดต่อขั้วอํานาจใหญ่ทั้งหลายจากแดนวิญญาณอ้างว้างแล้ว หากสถานที่แห่งนี้ถูกทําลาย เช่นนั้นพวกเราก็สามารถเข้าแดนวิญญาณอ้างว้างได้ทันที ด้วยกําลังพวกเรา ย่อมเป็นหนึ่งในฝ่ายใหญ่ของที่นั่นได้ไม่ยาก!” หลันซูเหยากล่าว

 

“อย่างนั้นพวกเราทําตามเจ้าว่า แต่ไม่ว่าด้วยอะไร ตอนนี้พวกเราต้องหยุดผู้นําพาความตายจากการแหกประตูนั่นออกมา!” ผู้นําหน่วยพยัคฆ์กล่าวเสียงเย็น

 

ขณะหลบซ่อน ฉินหยุนยังสามารถพบเห็นเรื่องราว เขาได้เห็น ว่าสื่อชิงเฉิงและสุ่ยเทียนสื่อยังอยู่ข้างกายหลันซูเหยา

 

“อย่างนั้นก็หมายความถึง ผู้คนของเขตแดนลึกล้ำและตระกูลหลงต่างอยู่ในเมืองภูตผีต้องห้ามแห่งนั้น! น่าสงสัยจริงว่าภายในมีอันใดคงอยู่” ฉินหยุนเกิดความสงสัยอยู่ภายใน

 

หลันซูเหยานําสื่อชิงเฉิงและสุ่ยเทียนสื่อบินหาย ผู้นําหน่วยพยัคฆ์เผยสีหน้าหนักอึ้ง สายตาของเขามองไปทางประตูเมืองขนาดใหญ่ เวลานี้ยังไม่เคลื่อนไหวใด เดิมนอกประตูเมืองแห่งนี้มีประชากรหลายล้าน ทว่าเพียงพริบตา พวกเขาเหล่านั้นหนีหายหมดสิ้น ขณะนี้อยู่ห่างจากประตูเมืองและลอยตัวกลางอากาศกันถ้วนหน้า เพื่อทําการรับชมจากระยะไกล

 

“คนกลุ่มนี้มีกําลังค่อนข้างสูง ทันทีที่สัมผัสถึงอันตรายได้ พวกเขาจึงเร่งรีบเผ่นหนีไปไกล!” ฉินหยุนกล่าวภายใน

 

“พี่ใหญ่ เหตุใดพวกเราจึงยังไม่บุกไป?” หนึ่งในชายวัยกลางคนกล่าวถามผู้นําหน่วยพยัคฆ์

 

“หากครั้งนี้พวกเราไป นั่นหมายถึงความตาย!” อีกฝ่ายตอบกลับ

 

“หากต้องตาย เช่นนั้นก็ตาย!”

 

“พี่ใหญ่ พวกเราย่อมไม่หวาดกลัว เร่งรีบไปกันได้แล้ว!”

 

“อย่างนั้นจงบุกเข้าไปสังหารพวกมัน!”

 

“สาเหตุเดียวที่พวกเราผู้ควบขีพยัคฆ์ยังมีชีวิตอยู่ ก็เพื่อหยุดยั้งผู้นําพาความตายเหล่านี้!”

 

ตู้ม!

 

ทางเข้าเมืองภูตผีต้องห้ามพลันสั่นไหวรุนแรง!

 

แรงสั่นไหวเป็นผลให้มันปลดปล่อยพลังงานสีดําฟุ้งกระจายออกมา เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่คงอยู่ภายใน มันกําลังเคาะประตูใหญ่นั้นอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง!