ตอนที่ 792 : ชนเผ่าแพะภูตผี
ฉินหยุนตอนนี้สามารถสัมผัสได้ ถึงมวลพลังงานสีดําที่ทะลักล้นออกจากประตูใหญ่ มันอัดแน่นด้วยออร่าอันอื่นขมโหดเหี้ยม
“บัดซบ… ยายเฒ่าหลันซูเหยานั่นคิดอยากนําพี่สาวซาลาเปานึ่งกับภูติวารีเข้าไปที่นั่นหรือ?” ฉินหยุนสบถคําด่าออกในใจ
ตู้ม!
เสียงดังขึ้นอีกครั้ง กระนั้น แรงสั่นสะเทือนกลับไม่ได้มาจากประตูเมืองที่เบื้องหน้า แต่กลับเป็นสถานที่ซึ่งห่างไกลออกไป
“ไม่ดีแล้ว! ประตูเมืองมีสี่ทิศ แต่ละประตูจะมีชนเผ่าใหญ่แยกกันไปโจมตีประตูเมือง!” ผู้นําหน่วยพยัคฆ์สบถออกเสียงดัง “พวกมันเลือกโจมตีฝั่งนี้ก่อน เพื่อเป็นการดึงความสนใจพวกเราให้สับสน!”
“บุกไป!”
สุดท้ายผู้นําหน่วยพยัคฆ์จึงสั่งการ นําทัพมิตรสหายโหมบุกเข้า
ฉินหยุนเร่งรีบมองหาหลันซูเหยา ที่ได้ทราบ คือหลันซูเหยาอยู่ใกล้เคียงบริเวณนี้
“นางเฒ่านี่คิดอยากรับชมจากแถวนี้!” หลิงหยุนเอ๋อร้องบอก
“ได้ อย่างนั้นข้าจะเองก็จะรับชมอยู่ที่นี่!” ฉินหยุนไม่คิดลงมือในช่วงเวลานี้ เพราะเขายังไม่ต้องการให้หลันซูเหยาจับได้ หากถูกนางจับตัวอีกครั้ง ก็คงเป็นการไม่สะดวกแล้ว
ตู้ม!
เสียงสนั่นเริ่มดังขึ้นอีกครั้ง ประตูเมืองขนาดใหญ่เวลานี้กลับกลายเป็นแตกกระจาย
กลุ่มก้อนพลังงานหนาแน่นสีดําทะลักออกรุนแรงจากประตูเมืองราวกับสายธารแห่งความมืด
ครืน! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
เสียงสารพัดชนิดพลันดังตามติด
สิ่งที่ฉินหยุนได้เห็น คือผู้นําพาความตาย พวกมันเป็นมนุษย์สัตว์สีดําทั้งตัว ส่วนบนเป็นคน ส่วนล่างเป็นสัตว์ พวกมันเหล่านี้ควบขี่ม้าโครงกระดูกตัวใหญ่ ทั้งยังถือกระบองใหญ่และสารพัดอาวุธ พวกมันคํารามร้องโกรธเกรี้ยวจนส่งผลให้ผู้คนที่รับชมต่างต้องรู้สึกเย็นเยียบ
ผู้นําพาความตายจํานวนนับหมื่นกําลังไหลทะลักออกมา!
หน่วยพยัคฆ์มีคนหลายสิบ ต่อหน้าฝูงผู้นําพาความตาย มันไม่มีอันใดให้สามารถเทียบเปรียบยืนหยัดต้านรับไว้ได้ กระนั้น ผู้นําหน่วยพยัคฆ์ก็ยังหาญกล้า พวกเขาไม่หวาดเกรงใดแม้แต่น้อย พวกเขาร้องตะโกนเสียงดังพุ่งทะยานเข้าน้ำนั่นเปิดศึกกับผู้นําพาความตาย
ฉินหยุนซ่อนตัวด้านบนหอคอยหิน เขารับชมสิ่งปลูกสร้างใกล้ประตูเมืองถูกทําลายโดยพวกผู้นําพาความตายที่ทะลักล้นออก
เบื้องหน้า มวลพลังงานสีดํากระจายทั่วทิศ กระนั้น แสงอันศักดิ์สิทธิ์สีทองทั้งหลายพลันปรากฏ หน่วยพยัคฆ์ถือกระบองไว้ในมือ พวกเขาฟาดหวดมันออกด้วยคลื่นแสงสีทองสว่างไสว
พยัคฆ์สีทองร่างใหญ่แต่ละตัวล้วนเปล่งแสงสีทองออกจากทั่วทั้งร่าง พร้อมกันนี้ พวกมันยังยิงลําแสงสีทองออกจากปากเข้าน้ำนั่นกับฝูงผู้นําพาความตาย
“หน่วยพยัคฆ์เหล่านี้ยอดเยี่ยมนัก พวกเขาทั้งอาจหาญและดุดัน!” ฉินหยุนลอบชื่นชมต่ออีกฝ่าย
ผู้ขี่พยัคฆ์ทั้งหลายทราบว่าฝายตนมีจํานวนน้อยกว่า กระนั้นก็ยังเข้ารับศึกกับฝูงผู้นําพาความตายจํานวนมหาศาล
ฝูงผู้นําพาความตายที่ทะลักล้นออกมา เริ่มไล่ทําลายสิ่งปลูกสร้างนอกประตูเมือง
ที่ไกลห่างออกไป หลายล้านคนกําลังรับชม กระนั้น พวกเขาไม่กล้าเข้ามาใกล้ กระทั่งว่ามีหลายคนที่เร่งรีบเผ่นหนีหลังได้พบเห็น
อย่างไรแล้ว ไม่ว่าผู้ใดล้วนต้องหวาดกลัวต่อความตาย นอกจากนี้ ผู้นําพาความตายเหล่านี้ยังถูกผนึกเอาไว้เป็นเวลานาน ตอนนี้ได้ออกมา สิ่งแรกที่พวกมันกระหายเด่นชัดคืออาหาร และผู้คนที่ยังมีชีวิต ก็เป็นอาหารอันโอชะแก่มัน
หอคอยซึ่งฉินหยุนใช้ซ่อนตัว เวลานี้ถูกทัพผู้นําพาความตายโหมบุกจนถูกทําลาย ฉินหยุนซ่อนตัวกลางอากาศเพดานบินต่ำ ตัวเขายังไม่ถูกพบเห็น
ผู้นําหน่วยพยัคฆ์ถือว่าแข็งแกร่งที่สุดในที่นี้ ทุกครั้งที่เขาลงมือ ผู้นําพาความตายหลายร้อยตนจะสิ้นชีพ หอกเมื่อแทงออก มันจะนําพามาซึ่งพลังงานสีทองแกร่งกล้าทะลวงผ่านร่างบรรดาผู้นําพาความตาย ยามเมื่อหอกกวัดแกว่งออก มันจะทะลักล้นซึ่งพลังงานรุนแรงเข้าทําลายล้างผู้นําพาความตายในละแวกใกล้เคียง
“คนกลุ่มนี้แข็งแกร่งเพียงใดกันนี่?” ฉินหยุนลอบขมวดคิ้ว “อย่างน้อยเท่าที่เห็น ก็เป็นกําลังระดับราชันยุทธ์”
“ใช่ พวกเขาเป็นราชันยุทธ์ ทว่ายายเฒ่าชูเหยานั้นแข็งแกร่งกว่าพวกเขา!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว
ฉินหยุนเดิมคิด ว่าหน่วยพยัคฆ์หลายสิบคนเหล่านี้ไม่มีทางต้านรับไว้ได้ กระนั้นตอนนี้ ร่างของผู้นําพาความตายต่างกระจายเกลื่อน
ววามตายอาจหาญยามออกมา แต่แท้จริงแล้วกลับอ่อนแอนัก!” ฉินหยุนลงมาที่พื้นรับชมร่างของผู้นําพาความตาย ก่อนจะลอบส่งฝ่ามือโจมตีออก เขาจึงได้ทราบ ว่าร่างกายพวกมันอ่อนแออย่างยิ่ง
“ไม่แปลกใจ อย่างไรแล้วพวกมันเหล่านี้ก็ถูกผนึกเอาไว้นานนัก” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว
ภายในมวลพลังงานสีดําที่ปิดล้อมพื้นที่ ฉินหยุนลงมือสังหารผู้นําพาความตายไปจํานวนหนึ่ง ทว่าก็ยังไม่พบผลประโยชน์อันใดจากพวกมัน กล่าวได้ว่าไร้ค่า
มวลพลังงานสีดํายังคงกระจายตัวต่อเนื่อง หน่วยพยัคฆ์ที่อยู่แนวหน้า เวลานี้ต่างกระจายตัวไปยังประตูพร้อมตั้งแถวต้านรับ เพื่อไม่ให้ผู้ใดสามารถเข้าและออก
หลันซูเหยานําสื่อชิงเฉิงและสุ่ยเทียนสื่อบินไป
“อย่าได้คิดว่าจะข้ามผ่านตรงนี้ไปได้!” ผู้นําหน่วยพยัคฆ์คํารามดัง
“ก็ได้ ในเมื่อเจ้าลําบากสังหารผู้นําพาความตายไปมากขนาดนั้น จะถือว่าเห็นแก่เจ้า! เมืองภูตผีต้องห้ามมีทั้งสิ้นสี่ประตู ประตูอื่นก็คงใกล้แตกแล้ว พวกเจ้าตั้งระวังที่ตรงนี้ไปจะได้อะไร?” หลันซูเหยากล่าวเย้ยหยันขณะบินไปทางอื่น
ฉินหยุนมองตามสื่อชิงเฉิงและสู่ยเทียนสื่อ เขาคิดอยากไล่ตามคนทั้งสามไป ทว่าเขาเองก็คิดอยากถามเรื่องเมืองภูตผีต้องห้ามจากผู้นําหน่วยพยัคฆ์ เห็นได้ชัดว่าหลันซูเหยาและผู้นําชนเผ่าโบราณทั้งหลาย คิดอยากเปิดทางเข้าสู่ภายในเมืองภูตผีต้องห้าม ถึงขั้นขนาดต้องร่วมมือกับตระกูลหลงและเขตแดนลึกล้ำเพื่อให้เกิดความสําเร็จ
กลุ่มคนขีพยัคฆ์ตรงหน้า คิดเพียงแต่ป้องกันประตูเมืองเอาไว้เพื่อไม่ให้ผู้คนภายนอกได้เข้าและไม่ให้สิ่งที่อยู่ภายในได้ออก
ขณะฉินหยุนครุ่นคิด เขาจึงได้เห็นกลุ่มคนชุดแดงบินมาจากแต่ไกล คนกลุ่มนี้เผยความชัดเจนทางร่างกาย ศีรษะมีเขาแพะงอกออกมาถึงสอง พบเห็นคนกลุ่มนี้ ฉินหยุนจึงค่อยตระหนักได้ว่าสมควรเป็นชนเผ่ามนุษย์สัตว์
มันทําให้เขานึกย้อนถึงพี่ชายผู้ซึ่งเป็นจักรพรรดิสัตว์ราชันสวรรค์ ครั้งนั้นที่จักรพรรดิสัตว์ราชันสวรรค์และอีกหลายคนออกจากเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬ นับแต่นั้นเขาก็ไม่ทราบอีกเลยว่าอีกฝ่ายไปที่ใดแล้ว
“กลุ่มตัวบัดซบแพะภูตผีย่อมได้เห็นว่าพวกเราอยู่ตรงนี้ กระนั้นยังคิดเข้าไป!” ผู้นําหน่วยพยัคฆ์คํารามดัง
“ผู้นําพยัคฆ์ใหญ่ เมื่อครู่ทําได้ดีนัก ถึงขั้นกวาดล้างผู้นําพาความตายเหล่านั้นได้จนหมดสิ้น!”
ผู้นําชนเผ่าแพะภูตผีแท้จริงยังเยาว์ ทั้งยังมีเสน่ห์อันชั่วร้าย เมื่อก่อนลงที่พื้น เขาคว้ามือของผู้นําพาความตายขึ้นมาข้างหนึ่งก่อนจะเริ่มกัดกิน
“ผู้ปกครองแพะภูตผี เจ้าเองก็ทราบว่าพวกเราเอาจริง เหตุใดยังเข้ามาวุ่นวาย?” ผู้นําพยัคฆ์ใหญ่กล่าวขึ้นเสียงเล็กน้อย พร้อมเปิดเผยออร่าสะกดข่มออกมา
ผู้ปกครองแพะภูตผีเข้ากัดกินเนื้อผู้นําพาความตาย ราวกับมันคืออาหารอันโอชะ คําถามที่ได้ยิน ล้วนไม่มีการตอบกลับ
ผ่านการกินไปครู่หนึ่ง เขาจึงกล่าว “มิตรสหาย ผู้นําพาความตายเหล่านี้กล่าวได้ว่าเลิศรส กระนั้นเจ้าที่กินพวกมันได้กลับไม่คิดกิน ข้าเกรงว่าพวกเจ้าจะเสียโอกาสอันดีไปแล้ว!”
ผู้นําพยัคฆ์ใหญ่และผู้ขีพยัคฆ์คนอื่นต่างเฝ้ามองแพะภูตผีเหล่านี้ กัดกินเนื้อทั้งร่างของผู้นําพาความตาย ภายในต้องรู้สึกเย็นเยือกที่แขนขา
ฉินหยุนอุทานดังในใจ “เจ้าพวกนี้มันตัวบ้าอะไรกัน?”
หลิงหยุนเอกล่าว “เสี่ยวหยุน กลุ่มนี้คือชนเผ่าโบราณที่น่าจะข้องเกี่ยวกับพวกสัตว์!”
“อย่างนั้นหลันซูเหยาผู้นั้นก็เป็นสัตว์อสูรสั้นหรือ? นางอสูรบัดซบ!” ฉินหยุนสบถเสียงเบา
ผู้ปกครองแพะภูตผีพลันหัวเราะพร้อมกล่าว “ผู้นําพยัคฆ์ใหญ่ คิดหรือว่าข้าไม่ทราบ ว่าเจ้าจงใจข่มขวัญพวกเรา เพื่อซ่อนเร้นความจริงที่พวกเจ้าพยายามกระทําอยู่!”
กลุ่มคนขีพยัคฆ์ได้เข้าน้ำนั่นสังหารผู้นําพาความตายไปมาก เมื่อครู่เป็นพวกเขาลงแรงไปอย่างมหาศาล
“ผู้ปกครองแพะภูตผี เจ้าจงเร่งรีบไสหัวไป!” ผู้นําพยัคฆ์ใหญ่ตะโกนกราดเกรี้ยว
“ชนเผ่าอื่นเห็นแก่พวกเจ้า ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เลือกมาที่ประตูนี้!”
ใบหน้าของผู้ปกครองแพะภูตผีพลันแสยะออกหัวเราะโฉดชั่ว “กระนั้นข้าไม่ใช่ ข้าไม่เคยไว้หน้าผู้ใด! นอกจากนี้แล้ว ประตูอีกสามที่เหลือก็เป็นชนเผ่าอื่นใช้เพื่อเข้าไปกันแล้ว ดังนั้นข้าจึงคิดอยากเข้าผ่านประตูนี้ เพื่อให้ชนเผ่าข้าได้ดูน่าเกรงขาม!”
ผู้นําพยัคฆ์ใหญ่เผยเสียงทุ้มลึก “เจ้าคิดหรือว่าสามารถผ่านประตูนี้? ที่พวกเจ้าจะผ่านไปได้ มีแต่ร่างที่ไร้ชีวิต!”
ฉินหยุนเลิกคิ้วขึ้น ผู้ควบขีพยัคฆ์เหล่านี้คิดต่อสู้กับชนเผ่าแพะภูตผีแล้ว!
เขตแดนอ้างว้างแห่งนี้ดูลึกลับ มันมีหลายชนเผ่ามนุษย์สัตว์โบราณ ทั้งยังแข็งแกร่งกันถ้วนหน้า พวกเขาทราบวิธีการเข้าสู่เมืองภูตผีต้องห้าม เห็นได้ชัดว่าภายในต้องมีของดีคงอยู่ เพราะเหตุนั้นพวกเขาจึงพร้อมเสี่ยง
“ผู้นําพยัคฆ์ใหญ่ ข้าจะมอบโอกาสให้ พวกเราจะประลองยุทธ์กันสามรอบ ฝ่ายที่ชนะได้สองรอบจึงเป็นผู้ชนะ” ผู้ปกครองแพะภูตผียิ้มกล่าว “หากเจ้าเอาชนะ เช่นนั้นพวกเราจะไปยังประตูอื่นเอง!”
ฉินหยุนย่อมได้เห็น ว่าแม้กลุ่มผู้ขีพยัคฆ์เหล่านี้ไม่แข็งแกร่งเป็นล้นพ้น ทว่าชนเผ่าอื่นต่างไว้หน้า กระทั่งหลันซูเหยายังไม่คิดสู้
“ตกลงตามนั้น!” ผู้นําพยัคฆ์ใหญ่เห็นพ้องด้วย
ชนเผ่าแพะภูตผีมีกันกว่าร้อยคน นอกจากนี้แล้ว พวกเขาล้วนแข็งแกร่ง หากเกิดการปะทะ ผู้ขี่พยัคฆ์เหล่านี้อย่างไรก็ต้องพ่ายแพ้อย่างสาหัส
ตามปกติ ชนเผ่าแพะภูตผีหากคิดปะทะโดยตรง ก็อาจต้องสูญเสียคนกว่าครึ่ง ผู้ปกครองแพะภูตผีจึงเสนอเช่นนี้ เพราะเขาไม่คิดแบกรับความสูญเสียครั้งใหญ่ หากสามารถเอาชนะได้ พวกเขาย่อมได้เข้าสู่เมืองภูตผีต้องห้ามด้วยเกียรติอันสูงส่ง!
“ข้าออกไปก่อนเอง!” ผู้ปกครองแพะภูตผีหัวเราะดัง เขาร่อนลงกับพื้นและกล่าว “ฝ่ายเจ้าคิดส่งผู้ใดออกมา?”
ผู้ปกครองแพะภูตผี ย่อมต้องเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในชนเผ่า ดังนั้นแล้ว ผู้นําพยัคฆ์ใหญ่จึงต้องเป็นฝ่ายออกหน้าต้านรับ
“ผู้นําพยัคฆ์ใหม่ แม้เจ้าเอาชนะรอบนี้ รอบหน้าเจ้าก็ไม่อาจลงต่อได้! ข้าเองก็ด้วย พวกเราสามารถลงประลองต่อกันได้ครั้งหนึ่งเท่านั้น!” ผู้ปกครองแพะภูตผีกล่าวคําจบ จึงนําเอาห่วงสีดําซึ่งน่าจะเป็นอาวุธออกมาถึงสอง ที่ตัวห่วง มันมีเขาแพะปรากฏ ดูไปแล้วเป็นอาวุธที่ให้ความรู้สึกคุกคาม
ผู้นําพยัคฆ์ใหญ่ย่อมใช้กระบอง
“เริ่มได้!” เขาร้องตะโกนดังพร้อมพุ่งทะยานรุนแรง
ใบหน้าหล่อเหลาโฉดชั่วของผู้ปกครองแพะภูตผีเผยรอยยิ้มชั่วร้าย ร่างกายพลันสว่างวาบระเบิดแสงสว่างสีแดงออกมา ห่วงทั้งสองส่องประกายแสงสีแดงชั่วร้ายประหนึ่งอสนีบาต มันพุ่งตรงเข้าปะทะกับร่างผู้นําพยัคฆ์ใหญ่
ตู้ม ตู้ม ตู้ม!
ผู้นําพยัคฆ์ใหญ่กลับกลายเป็นฝ่ายโดนระดมโจมตีเสียก่อน ร่างสูงกํายําของเขาต้องปริปากแผลจํานวนมากเพราะการโจมตีต่อเนื่อง
“พี่ใหญ่!” หนึ่งในผู้ขี่พยัคฆ์ตะโกนออกอย่างเกรี้ยวกราด
ไม่นานนัก ผู้นําพยัคฆ์ใหญ่จึงถูกทําร้ายจนถึงขั้นต้องล้มนอนกับพื้น
“เจ้าพ่ายแล้ว!” แสงสีแดงควบแน่นรวมตัว กลับกลายเป็นผู้ปกครองแพะภูตผีตามเดิม
ผู้นําพยัคฆ์ใหญ่ถูกหามกลับ
ผู้ปกครองแพะภูตผีถอยฉาก ส่งชายวัยกลางคนออกมาแทนที่ เขาที่ศีรษะของชายผู้นี้ราวกับมันเป็นหนามแหลมคม มันทําให้ผู้พบเห็นรู้สึกถึงกําลังอันแข็งแกร่ง
“ผู้นําพยัคฆ์ใหญ่ ฝ่ายเจ้าคิดส่งผู้ใดออกมากันเล่า?” ผู้ปกครองแพะภูตผีเผยยิ้มอหังการ
ผู้นําพยัคฆ์ใหญ่ทราบกระจ่างถึงกําลังของชนเผ่าแพะภูตผี แม้เป็นระดับพลังเดียวกัน ทว่าผู้ขี่พยัคฆ์ที่ไม่อาจขีพยัคฆ์ในการต่อสู้ ทั้งเมื่อครู่ยังต้องสูญเสียพลังงานไปอย่างมหาศาล พวกเขาเป็นฝ่ายเสียเปรียบในทุกด้าน
“ให้ข้าเอง!” อย่างกะทันหัน ฉินหยุนปรากฏตัวพร้อมตะโกนดัง
ผู้นําพยัคฆ์ใหญ่และคณะต่างตื่นตะลึง เพราะผู้ขีพยัคฆ์มีจํานวนน้อยนิด ทั้งพวกเขายังมารวมกันที่นี้หมดสิ้น และพวกเขาไม่เคยมีมิตรสหาย ไม่ว่าผู้ใดล้วนไม่สมควรต้องยื่นมือช่วยเหลือพวกเขา
ผู้นําพยัคฆ์ใหญ่และคณะต่างมองไปยังชายชุดสีเทา ผิวหนังค่อนข้างเข้ม เป็นชายหนุ่มหล่อเหลาเคลื่อนตัวลงจากฟากฟ้าด้านบน ใบหน้านั้นเผยรอยยิ้มอันมาดมั่น
“โอ้? หน้าใหม่! ข้าไม่นึก ว่าผู้ขีพยัคฆ์เช่นพวกเจ้าจะถึงขั้นเปิดรับคนใหม่เข้ามา! หาได้ยากยิ่งนัก!” ผู้ปกครองแพะภูตผีหัวเราะกล่าว