ตอนที่ 793 : โลหิตสีดําประหลาด

Nine Sun God King เทพราชันเก้าตะวัน

ตอนที่ 793 : โลหิตสีดําประหลาด

 

ผู้แข็งแกร่งที่สุดของชนเผ่าแพะภูตผี ย่อมต้องเป็นผู้ปกครองแพะภูตผี ทว่าเขาเพิ่งต่อสู้กับผู้นําพยัคฆ์ใหญ่ ตอนนี้จึงไม่อาจลงต่อสู้ได้อีก

 

ผู้นําพยัคฆ์ใหญ่ไม่ทราบว่าชายหนุ่มผู้นี้ที่เพิ่งปรากฏตัวเป็นผู้ใด หรือมีเหตุผลอันใดต้องช่วยเหลือผู้ขีพยัคฆ์ เพราะชนเผ่าผู้ขีพยัคฆ์ของพวกเขาไม่ค่อยเป็นที่ชื่นชอบในที่นี้

 

“ฝ่ายเจ้าเล่าคิดส่งผู้ใดออกมา?” ฉินหยุนนําเอากระบี่ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณปรโลกออกมา ในเมื่อเป็นการต่อสู้ที่สามารถใช้งานอาวุธ เขาจึงกล้ากระโดดพรวดออกเสนอตัว

 

ตราบเท่าที่สามารถใช้งานอาวุธ เขาย่อมไม่แพ้

 

“อย่างนั้น พวกเราจะส่งคนหนุ่มไปต่อสู้เช่นกัน!” ผู้ปกครองแพะภูตผีหัวเราะดัง จากนั้นจึงตะโกน “เฟิงหยาง เจ้าออกมาสู้”

 

เฟิงหยางเผยตัว เขาเป็นคนหนุ่มเช่นกัน กระทั่งว่าค่อนข้างเตี้ยกว่าฉินหยุน กระนั้น เขาแพะบนศีรษะกลับใหญ่อย่างเห็นได้ชัด มันใหญ่เสียยิ่งกว่าแพะภูตผีทั้งหลายในที่นี้

 

ผู้นําพยัคฆ์ใหญ่ได้เห็น เขาจึงกล่าวออกเสียงเย็น “ผู้ปกครองแพะภูตผี คนหนุ่มที่เจ้าส่งออกมาแข็งแกร่งเกินไป!”

 

เห็นได้ชัดว่าเขาแพะขนาดใหญ่ มันหมายถึงความแข็งแกร่ง

 

“ข้าทําเพื่อความเสมอภาค ด้วยการส่งคนหนุ่มเช่นเดียวกันออกมา!” ผู้ปกครองแพะภูตผีหัวเราะดัง

 

“คนหนุ่มเอ๋ย เจ้าจงเร่งรีบไปเสีย! ชายผู้นี้นามเฟิงหยาง ทั้งยังแข็งแกร่งยิ่ง อย่าได้มองว่าภายนอกอ่อนเยาว์ แท้จริงมันมีอายุนับพันปีแล้ว!” ผู้นําพยัคฆ์ใหญ่กล่าวต่อฉินหยุน

 

ถือกําเนิดขึ้นมากว่าพันปี เช่นนั้นก็ไม่แปลกที่จะแข็งแกร่ง

 

ฉินหยุนไม่เพียงแต่ไม่คิดจากไป เขากลับรู้สึกตื่นเต้นยินดีด้วยซ้ํา เพราะตัวเขาเพิ่งก้าวถึงขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ําระดับสูง และยังไม่มีโอกาสได้สู้ในศึกใด แม้เฟิงหยางเป็นไปได้มากว่าจะเป็นราชันยุทธ์ กระนั้นฉินหยุนหาได้หวั่นเกรงใดไปไม่ กลับกัน เขารู้สึกตื่นเต้นยินดีด้วยซ้ํา

 

“พี่ชายผู้นํา แม้พวกเราเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน กระนั้นข้านับถือและเคารพในการกระทําท่านนัก! วันนี้ ข้าตัดสินใจทุ่มสุดตัวช่วยเหลือท่านจัดการกลุ่มแพะภูตผีเหล่านี้ให้ถอยกลับไปเอง!” ฉินหยุนกล่าว

 

“เจ้า… นับถือข้า?” ผู้นําพยัคฆ์ใหญ่เบิกดวงตากว้าง เรื่องราวพบว่ายากเกินเชื่อ หากเป็นชนเผ่าผู้ขี่พยัคฆ์ของเขา เช่นนั้นก็เป็นเรื่องปกติ ทว่าคนหนุ่มตรงหน้าผู้นี้ อีกฝ่ายคือคนแปลกหน้าโดยสมบูรณ์ ไม่เพียงแต่ผู้นําพยัคฆ์ใหญ่ กระทั่งผู้ขี่พยัคฆ์อื่นในที่นี้ต่างก็ตื่นตะลึง

 

“ชายผู้นี้สมองโดนกระทบกระเทือนแล้วหรือไร ชนเผ่าผู้ขี่พยัคฆ์มีอันใดให้นับถือ?” ผู้ปกครองแพะภูตผีกล่าวคําเหยียดหยัน “วาจาเหล่านี้ไร้ค่านัก เร่งรีบต่อสู้กันได้แล้ว!”

 

เฟิงหยางมองที่ฉินหยุนพร้อมเลียริมฝีปาก “ข้าคิดอยากกินเจ้านี่ทั้งเป็น ร่างนั่นคงอร่อยไม่น้อย!”

 

ในมือเฟิงหยางคือมีดสั้น สภาพดูค่อนข้างย่ําแย่ระดับหนึ่ง

 

ทว่ากระบี่ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณปรโลกที่ฉินหยุนถือไว้ตอนนี้ สภาพมันยิ่งเลวร้ายกว่า ไม่เพียงแต่ทรุดโทรม กระทั่งมีรอยปริแตกหลายแห่ง รวมถึงเสื้อผ้าที่สวมใส่ยังดูค่อนข้างมอซอ ไม่ว่าผู้คนมองเขาเช่นไร ก็ไม่คล้ายจะพบว่าเป็นคนมากฝีมือแต่อย่างใด

 

“ให้ข้าได้กิน กิน กิน กิน แล้วก็กิน!” เฟิงหยางพลันหัวเราะดังราวคลุ้มคลั่ง เขาตะโกนพร้อมร่างแปรเปลี่ยนเป็นแสงสีแดงพุ่งเข้าหาฉินหยุน

 

“เช่นนั้นจงไปกินสิ่งปฏิกูล!” ฉินหยุนคํารามดัง กระบี่ในมือตวัดออกซึ่งหน้า เผยออกซึ่งพลังสั่นไหวรุนแรงดุดัน

 

ต้ม ตุ้ม ตุ้ม!

 

พื้นดินพลันปริแตกแยกออก สิ่งปลูกสร้างโดยรอบพังทลาย พวกมันแตกออกเป็นเสี่ยงเพียงเพราะแรงสั่นไหวจนกลับกลายเป็นฝุ่นทราย ฉินหยุนตวัดกระบี่อีกครั้งหนึ่ง พื้นที่โดยรอบจึงถูกปกคลุมด้วยพลังสั่นไหวแผ่กระจาย เป็นผลให้กลุ่มแพะภูตผีต้องเร่งรีบบินขึ้นบนฟ้า เฟิงหยางเองก็กระเด็นไปไกลเพราะการโจมตีสั่นไหวอย่างกะทันหันของฉินหยุน

 

“กิน กิน กิน ให้ข้าได้กิน ให้ข้าได้สังหารเจ้า!” เฟิงหยางมีโทสะ ดวงตาเผยหมอกสีแดงรุน แรงออกมาขณะทะยานร่างจากพื้น

 

กําลังฉินหยุนที่เผยออก เป็นผลให้ทั้งผู้นําพยัคฆ์ใหญ่และผู้ปกครองแพะภูตผีตื่นตะลึง เพราะพวกเขาไม่คุ้นเคยกับพลังเช่นนี้

 

เฟิงหยางพิโรธ สภาพเวลานี้คล้ายคลุ้มคลั่ง มีดสั้นในมือคิดโจมตี แสงอสนีบาตสายฟ้าสีแดงสุกปลั่ง เวลานี้มันพุ่งทะยานเข้าหาฉินหยุนสว่างวาบในพริบตา

 

“ที่เจ้าจะได้กิน ก็มีแต่สิ่งปฏิกูล!”

 

ฉินหยุนแค่นเสียงสะบัดกระบี่ในมือ ร่างเงากระบี่นับร้อยโจมตีออก ออร่ากระบี่ได้เผยพลังของกระบี่ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณปรโลก มันนําพามาซึ่งพลังกลืนกินจิตวิญญาณอันเย็นเยือกเผยพลัง

 

ภาพร่างกระบี่อัดแน่นฟากฟ้า ราวกับสายลมเย็นเยือกจากนรกก้นบึงทะลักล้นออก มันบดบังฟากฟ้า ปกคลุมผืนแผ่นดิน พวกมันทะลักล้นออกมาซ้อนทับกันชั้นแล้วชั้นเล่าเข้าปกคลุมเฟิงหยาง

 

แม้กระบี่ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณปรโลกได้รับความเสียหายหนัก กระนั้นมันก็ยังแข็งแกร่งยิ่งกว่าอุปกรณ์เต่ําหลายต่อหลายเท่านัก

 

การโจมตีครั้งที่สองของเฟิงหยางถูกต้านรับไว้ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังรู้สึกราวกับจิตวิญญาณตนเองถูกกัดกินโดยบางสิ่งจนเจ็บปวดรวดร้าว

 

“ลงนรกไปกินสิ่งเน่าเหม็นที่เจ้าต้องการ!”

 

ฉินหยุนใช้ก้าวเท้าร่างเงาประกายแสงสมบูรณ์เข้าถึงด้านหลังเฟิงหยางในพริบตา จากนั้นจึงสับฟันกระบีลงอย่างดุร้าย

 

ตึง!

 

อย่างกะทันหัน ห่วงเขาแพะสีแดงฉานพลันปรากฏโจมตีใส่กระบี่ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณปรโลกของฉินหยุน ด้วยฉินหยุนกระชับกระไว้แน่นในมือ เขาจึงรู้สึกเพียงเจ็บที่มือจนต้องถอยร่น

 

“ศึกนี้พวกเราแพ้!”

 

ผู้ปกครองแพะภูตผีที่ภาคภูมิอหังการเมื่อครู่ ยามนี้ไม่กล้าปรามาสต่อฉินหยุน เพราะเฟิงหยางแทบถูกสังหารต่อหน้า

 

“ตัวบัดซบ!” ฉินหยุนรับรู้ถึงความเจ็บปวดที่มือ เสียงต้องสบถก่นด่าเบา

 

ผู้ปกครองแพะภูตผีกล่าวเสียงเย็นเยียบ “คนหนุ่ม เจ้าไม่ใช่คนของชนเผ่าผู้ขี่พยัคฆ์ ดังนั้นสมควรต้องระวังพวกเราเอาไว้ เมื่อครู่เป็นเจ้าคิดสังหารคนของชนเผ่าแพะภูตผีของพวกเรา!”

 

ฉินหยุนแค่นเสียงกล่าวตอบ “ตัวบัดซบที่คิดสังหารกัดกินข้า เหตุใดข้าจึงไม่อาจสังหารมัน?”

 

เฟิงหยางถูกนําตัวไป เขากรีดร้องตะโกนด่าทอฉินหยุนแม้อยู่ไกลเห็นได้ชัด ว่าเขาไม่ยินยอมรับความพ่ายแพ้

 

ผู้ปกครองแพะภูตผีพลันเผยน้ําเสียงหนักอึ้งและเย็นเยียบ เขากล่าวออกด้วยโทสะ “หากเจ้ายังกล้าอวดดี เชื่อหรือไม่ว่าเมื่อใดข้าออกปาก เจ้าก็จะตายที่ตรงนี้!”

 

ฉินหยุนหัวเราะดังตอบกลับ “ตัวบัดซบหัวแพะเอ๊ย หากเจ้ามีความกล้า เช่นนั้นจงเข้ามา หาได้มีผู้ใดหวาดเกรงเจ้าไม่!”

 

ผู้นําพยัคฆ์ใหญ่ที่บาดเจ็บพลันต้องเร่งร้อนออกหน้า “ผู้ปกครองแพะภูตผี เมื่อครู่เจ้าลงมือกะทันหัน เป็นเจ้าแทรกแซงการแข่งขัน!”

 

“ถือว่าเจ้าโชคดีไปก็แล้วกัน!”

 

ผู้ปกครองแพะภูตผีมองผู้นําพยัคฆ์ใหญ่ด้วยดวงตาอัดแน่นเปี่ยมโทสะ เขากัดฟันแน่น จากนั้นจึงจากไปพร้อมคนของตนเอง

 

ฉินหยุนค่อยได้ตระหนักตอนนี้ ว่าชนเผ่าใหญ่ทั้งหลายภายในเขตแดนอ้างว้างลึกลับแห่งนี้ต่างหวาดกลัวต่อชนเผ่าผู้ขีพยัคฆ์ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าลงมืออันใดมาก

 

ชนเผ่าผู้ขีพยัคฆ์ไม่อาจกล่าวได้ว่าแข็งแกร่ง เพียงจักรพรรดิยุทธ์กวาดมือย่อมสังหารพวกเขาจนสิ้น กระนั้นกลับไม่มีผู้ใดกล้าลงมือ

 

ฉินหยุนมองทางผู้ปกครองแพะภูตผีที่คิดจากไป เขาสบถเสียงเบา “ตัวบัดซบหัวแพะนั่น ไม่ช้าข้าจะสังหารมันให้ได้!”

 

ผู้นําพยัคฆ์ใหญ่เอ่ยคําขึ้น “คนหนุ่ม นามเจ้าว่าอะไร? พวกเราติดค้างเจ้าอย่างแท้จริง”

 

“นามข้าฉินหยุน” ฉินหยุนมองทางประตูที่เปิดออกพร้อมกล่าวถาม “ภายในนั้นมีอันใดคงอยู่กันแน่? เหตุใดหลายคนจึงต่อสู้เพื่อให้ได้เข้าไป?”

 

ผู้นําพยัคฆ์ใหญ่ถอนหายใจยาว “ข้าเองก็ไม่ทราบ เพียงทราบว่าสิ่งที่ถูกผนึกเอาไว้ภายใน มันสามารถทําให้เขตแดนอ้างว้างนี้ถูกทําลาย และชนเผ่าผู้ขี่พยัคฆ์ของพวกเราได้รับหน้าที่คุ้มกันมันตั้งแต่ครั้งโบราณ เพื่อที่ไม่ให้ผู้ใดสามารถผ่านประตูเมืองเข้าไปได้!”

 

ฉินหยุนกล่าวถาม “พี่ชายผู้นําใหญ่ ข้าคิดอยากเข้าไปรับชมแล้ว ลาก่อน!”

 

เขาไม่คิดเคลื่อนไหวที่ประตูนี้ เพราะชนเผ่าผู้ขีพยัคฆ์ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อป้องกันมันเอาไว้

 

“น้องชาย เจ้าจงเข้าไปผ่านประตูนี้!” ผู้ขี่พยัคฆ์ใหญ่พลันตะโกน

 

“นี่ไม่มีปัญหาหรือ? อย่างไรแล้วพื้นที่นี้ก็เป็นพวกท่านแบกรับความขื่นขมพิทักษ์มันเอาไว้” ฉินหยุนกล่าวอย่างกระดากใจ

 

“พวกเราแบกรับความขื่นขมพิทักษ์ไว้แล้วอย่างไร? ประตูเมืองอีกสามล้วนเปิดออก ผู้ใดต่างก็สามารถเข้า ข้าเพียงคุ้มกันที่นี่เพื่อเติมเต็มหน้าที่ซึ่งได้รับ!” ผู้นําพยัคฆ์ใหญ่ทราบดีว่าการป้องกันอย่างขมขื่นที่ประตูเมืองแห่งนี้มันไร้ค่า

 

“พี่ชายผู้นําใหญ่ สิ่งน่ากลัวภายในมันคืออันใดกันแน่?” ฉินหยุนมองที่ภายในประตูเมือง ที่พบเห็นมันเป็นเพียงม่านฉากสีดําสนิท

 

“ข้าไม่ทราบ! ที่ทราบก็เพียงด้านในอันตรายยิ่ง หากเจ้าคิดอยากเข้าไป เช่นนั้นก็จงเตรียมพร้อมแบกรับความตายทุกเมื่อชั่วขณะ!” ผู้นําพยัคฆ์ใหญ่กล่าว

 

“ถ้าอย่างนั้น ไว้มีโอกาสพวกเราคงได้พบกันใหม่!” ฉินหยุนกล่าวคําจบ เขาจึงพุ่งทะยานไปทางประตูเมือง

 

ทันทีเมื่อเข้ามา เขารับรู้ได้ถึงสายลมเย็นเยือกหมองหม่นพัดพา เส้นทางภายในแห่งนี้มีแต่หมอกสีดําปกคลุม ทําให้แทบไม่อาจมองเห็นสภาพรอบด้าน หลังพิจารณาโดยการบินอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงค่อยบุกฝ่าหมอกสีดําไปต่อ ทุกสิ่งอย่างที่นี้ล้วนดําสนิท คลื่นสายลมเย็นเยือกพร้อมกลิ่นเน่าเหม็นพัดพาไม่หยุดหย่อน

 

ดังที่คาดไว้ ภายในเป็นเมือง ทั้งยังค่อนข้างใหญ่ สิ่งปลูกสร้างงดงามต่างกระจายอยู่ทั่ว ทว่าทุกหนแห่งไร้ซึ่งจิตวิญญาณ สิ่งปลูกสร้างสองฟากฟ้าเส้นทางปกคลุมด้วยของเหลวสีดําหนาอย่างน่าสะอิดสะเอียด เส้นทางก็มีหลายสิ่งปะปน ฉินหยุนก้าวเหยียบที่พวกมัน เหล่านี้คือสิ่งข้นเหนียวชวนสะอิดสะเอียด!

 

“นี่เป็นเลือด!” หลิงหยุนเอ๋อร้องโพล่ง

 

“เลือดอันใดกันเป็นเช่นนี้?” ฉินหยุนสัมผัสพวกมัน พยายามตรวจจับ จนได้พบว่าภายในมีพลังงานประหลาด

 

“ข้าไม่ทราบ แต่มันต้องเป็นสิ่งที่มาจากสิ่งมีชีวิตอันแข็งแกร่ง! การศึกน่าจะเกิดขึ้นบนฟากฟ้า ดังนั้นเลือดเหล่านี้จึงกระจายทั่วสถานที่แห่งนี้ นอกจากนี้แล้ว มันยังเกิดขึ้นเมื่อเวลาหลายปีมาแล้วด้วย!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว

 

เลือดเหล่านี้ยังข้นเหนียวแม้ผ่านมาหลายปี คิดเช่นนี้ มันยิ่งทําเขาหวาดกลัว ต้องทราบว่าผู้นําพาความตายคงอยู่ที่นี่มานานนับ กระนั้นพวกมันกลับไม่อาจทําให้เลือดประหลาดเหล่านี้เลือนหาย ฉินหยุนหันกลับมองไป พบว่าสิ่งข้นเหนียวสีดําที่เขาเหยียบย่างมันกลับคืนสู่สภาพปกติ

 

“พลังการฟื้นตัวของมันก็ยอดเยี่ยม!” ฉินหยุนอุทานตื่นตะลึง

 

“นี่ถือเป็นของดี ข้าคิดอยากดูดกลืนพวกมัน!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว

 

ร่างกายฉินหยุนพลันมีมวลพลังงานสีดํากระจายออก พวกมันเหล่านี้ปลดปล่อยพลังกลืนกินอันแรงกล้า เริ่มทําการดูดกลืนเลือดสีดําประหลาดจากทั่วพื้นที่

 

“หยุนเอ๋อ ดูดกลืนเลือดสีดําประหลาดพวกนี้ไม่มีปัญหาหรือ?” ฉินหยุนเกิดกังวล

 

“ข้าจะผนึกพวกมันเอาไว้ในตะวันทมิชชั่วคราว ดังนั้นไม่น่ามีปัญหาใด!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว “เสี่ยวหยุน เจ้าควรเดินไปให้ทั่ว รวบรวมเลือดประหลาดเหล่านี้ให้ได้มากที่สุด!”

 

สถานที่ซึ่งฉินหยุนอยู่แทบไม่มีผู้คน ผู้อื่นเข้ามาที่นี่ผ่านประตูเมืองอีกสามด้าน และพวกเขาไม่ใช่เพ่นพ่านไปทั่ว แต่กลับมุ่งตรงไปยังสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ยักษ์ที่ใจกลาง

 

ฉินหยุนย่อมได้เห็นแสงขมุกขมัว ที่ตรงกลางของเมืองภูตผีต้องห้าม มันคือสิ่งปลูกสร้างครึ่งทรงกลมขนาดใหญ่ยักษ์ กระนั้นเขาไม่คิดเร่งรีบไป สถานที่แห่งนี้สมควรมีแต่อันตรายคงอยู่ ฉินหยุนเก็บตัวอย่างเลือดประหลาดขึ้นมา ก่อนจะส่งพวกมันเข้าไปในไข่มุกเม็ดที่สาม เพื่อที่จะได้ให้เหยาเชิงช่วยวิเคราะห์เลือดเหล่านี้

 

“ฉินหยุน นี่เจ้าอยู่ที่ใด? เร่งรีบบอกข้า!” เหยาเชิงกล่าวถาม

 

“ข้าอยู่ในเขตแดนอ้างว้าง ตอนนี้มาถึงเมืองภูตผีต้องห้าม” ฉินหยุนบอกเล่าทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นให้เหยาเชิงได้ทราบ

 

“ฉินหยุน เป็นเจ้ามาถึงสถานที่มหาวิบัติแล้ว!” น้ําเสียงเหยาเชิงเผยความหวาดกลัวและร้อนรน “สถานที่ซึ่งเจ้าอยู่ตอนนี้ คือสถานที่ซึ่งบุตรแห่งจอมจักรพรรดิเซียนมังกรถูกผนึกเอาไว้!”

 

“จอมจักรพรรดิเซียนมังกร? บุตร?” ฉินหยุนตื่นตะลึง

 

“จอมจักรพรรดิเซียนมังกรได้ฝึกฝนจนถึงขอบเขตศักดิ์สิทธิ์ และไปจากแดนเซียนอ้างว้างเมื่อนานมาแล้ว เพื่อเดินทางไปยังแดนศักดิ์สิทธิ์อ้างว้าง! หนึ่งในบุตรชายทั้งหลายของเขา มีผู้หนึ่งซึ่งเลิศล้ํา เขาเองก็มีศักยภาพได้เป็นนายเหนือแห่งแดนเซียนอ้างว้าง ข้าได้ยินมาว่าภายหลังเขาได้ ข้องเกี่ยวกับเต๋าอสูร จนเกิดกลายสภาพเป็นบุคคลชั่วร้าย จากนั้น ยอดฝีมือหลายคนของแดน เซียนอ้างว้างจึงร่วมมือกันผนึกเขาเอาไว้ในแดนวิญญาณอ้างว้าง!” เหยาเชิงกล่าว

 

เหยาเชิงกล่าวคําจบ นางจึงกล่าวอีกครั้งด้วยน้ําเสียงเบาซึ่งมีแต่ความสงสัย “เลือดนี้เป็นของมังกร กระนั้นมันกลับพิเศษยิ่งกว่า แม้เป็นสีดํา ทว่าไม่ใช่ชั่วร้าย! แปลก… มันผู้นั้นสมควรถูกผนึกเอาไว้ เหตุใดเลือดเหล่านี้จึงกระจายไปทั่วได้? หรือเป็นไปได้ว่ามีผู้อื่นซึ่งเลิศล้ําทัดเทียมกันอยู่ที่ภายในนี้?”