‘ในตอนแรกยังไม่ได้เปิดเผยว่าโคลอีคือลูกชายของตัวเองเลยนี่… มกุฎราชกุมารทรงทราบเรื่องนี้ได้อย่างไรกัน’
ตกใจอยู่ครู่หนึ่งแม้จะพูดคุยกันสองสามคำแต่ท้ายที่สุดแล้วก็จบบทสนทนาด้วยคำพูดว่าเรื่องพวกนั้นเป็นเรื่องไร้สาระ
ทั้งที่ไม่ได้เปิดเผยเรื่องเกี่ยวกับโคลอีด้วยซ้ำ ทำไมถึงรู้ว่าเป็นลูกของเขากันล่ะ แต่อย่างไรก็ยังคอยกวนใจอยู่จนอยากเอ่ยปากบอกให้เลี้ยวรถม้ากลับ
คำพูดของวิการ์ที่บอกว่าลองเช็กให้แน่ใจก็ไม่เสียหายอะไรยังคงวนเวียนอยู่ในหัว ตามที่เขาพูด เพราะหากแค่ตรวจเช็กดูก็คงไม่มีอะไรเสียหายอย่างไรล่ะ
แม้จะคิดว่าเป็นไปไม่ได้ หากตามที่วิการ์พูดเป็นความจริงว่าเลดี้คนนั้นเป็นลูกของโคลอี เธอก็น่าจะอยู่กับหญิงที่เขารักไม่ใช่หรอกหรือ
ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นหลานสาวเสียอีก
‘เลี้ยวรถม้ากลับไปดีไหมนะ’
เมื่อมองออกไปหน้าต่างรถม้าก็เห็นว่ากำลังเข้าใกล้ที่พักอยู่แล้ว รู้สึกได้ถึงความเร็วรถม้าที่ค่อยๆลดลง
ไม่ใช่ว่าแม้รถม้าหยุดแล้วจะไม่สามารถย้อนกลับไป แต่เขากลับรู้สึกใจร้อนขึ้น
‘ไม่ใช่ว่า ฝ่าบาทโรฮันจะบอกเรื่องทั้งหมดกับมกุฎราชกุมารหรอกนะ…’
แต่จะว่าไปก็มีความเป็นไปได้อยู่เหมือนกัน อาจจะไประบายเรื่องต่างๆกับโรฮันเพื่อความสบายใจด้วยเหมือนกัน
ไม่มีเรื่องอะไรเพ้อเจ้อไปกว่าการเคลือบแคลงฝ่าบาทอีกแล้ว ผู้ที่สัญญาว่าจะเก็บเรื่องของโคลอีและไวโอเล็ตเป็นความลับนั้นไม่ใช่โรฮันแต่เพราะเป็นกษัตริย์องค์ก่อน แม้จะบอกว่าโรฮันได้เปิดเผยความลับนั้นแล้วก็ตาม เขาก็ไม่ใช่คนที่สามารถแสดงความเสียดายออกมาได้
แน่นอนว่าเขาไม่ได้เป็นคนที่เปิดเผยความลับง่ายๆเช่นนั้น แต่ก็มีความเป็นไปได้อยู่ส่วนหนึ่ง
“ถึงแล้วครับ”
ระหว่างที่ตกอยู่ในความคิดสับสน รถม้าก็หยุดลงพร้อมกับได้ยินเสียงของผู้คุมรถม้า แม้จะเป็นผู้ที่ราชอาณาจักรว่าจ้างมาโดยตรงก็ตาม ตอนนี้กลับรู้สึกคุ้นชินกับเสียงนั้นไปเสียแล้ว
แม้จะไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงแต่ก็เป็นคนที่ว่าจ้างมานาน ทั้งพลังและความงามที่ส่องประกายออกมาจากมาร์ควิสเปียสต์จึงพอคาดเดาได้ว่าพวกเขารู้จักกัน ถือว่าเป็นคนมีฝีมือคนหนึ่งเลย
แม้คนขับรถม้าจะไม่ได้แจ้งก็ตามแต่มาร์ควิสเปียสต์ก็สามารถทราบได้ว่ามาถึงที่หมายแล้ว จากวิวนอกหน้าต่าง
“…ถึงแล้วครับ”
เพราะเขาไม่พูดอะไรตอบ คนขับรถม้าจึงแจ้งอีกครั้ง
เขาที่นั่งคิดเงียบๆอยู่พักหนึ่ง เมื่อไม่มีทางอื่นที่นึกออกแล้วแล้วจึงมั่นใจว่าไปเช็กให้แน่ใจคงจะดีเสียกว่า
“ขอโทษนะ ฉันมีที่ที่ต้องไปน่ะ”
“ครับ บอกมาได้เลยครับ”
ทันทีที่คนขับรถม้าตอบ มาร์ควิสเปียสต์แสดงสีหน้าลังเลอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจึงบอกจุดหมายที่ต้องการจะไป
“ไปที่คฤหาสน์ท่านเคานต์เรย์ออส”
“ได้เลยครับ”
หลังจากที่มาร์ควิสสั่งการก็ได้ยินเสียงฝีเท้าถี่ ไม่นานรถม้าก็ออกเดินทางไปยังจุดหมายใหม่
* * *
“ท่านวิการ์ ท่านเปียสต์มาเยือนครับ จะให้ทำอย่างไรดีครับ”
“เปียสต์…”
หรือว่า มาร์ควิสเปียสต์
ประจวบเหมาะกับเวลาที่กำลังรออยู่พอดี วิการ์จึงแสดงสีหน้ายินดีพลางสั่งการให้เชิญเขาเข้ามาข้างใน
แม้จะไม่ใช่อย่างนั้นก็ตามทันทีที่แจ้งมกุฎราชกุมารเรื่องมาร์ควิสเปียสต์ไปเยือนราชอาณาจักรอย่างลับๆ ซึ่งกำลังจะถูกตรวจสอบความจริงอยู่เช่นกัน
สีหน้าของเขาดูรีบร้อน
‘แม้จะตรวจดูจากภาพวาดแล้วก็ตาม แต่หากตรวจจากสายเลือดได้ก็คงจะดี หากความจริงถูกพิสูจน์ได้ชัดเจนแล้ว สงสัยเสียจริงว่าที่ผ่านมาคนที่คอยดูถูกเมินเฉยเธอจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร’
วิการ์ที่ย้อนนึกถึงคำพูดของมกุฎราชกุมารก็สงสัยว่าพวกนั้นจะเปลี่ยนไปอย่างไรเช่นกัน หมายถึงคนในตระกูลนั้นอย่างไรล่ะ ที่แม้ว่าเธอจะมีความสามารถยอดเยี่ยมก็ตามยังคงพูดเรื่องนั้นเรื่องนี้เกี่ยวกับชาติกำเนิดของเธออยู่
ไม่ใช่ว่าสนใจอาเรียจึงอยากเห็นพวกนั้นเสียใจเท่าไหร่หรอก แค่อยากเห็นท่าทางตีสองหน้าของตระกูลชนชั้นสูงว่าจะเป็นอย่างไรก็เท่านั้น
ลูกนางโสเภณีสกปรกกลับกลายมาเป็นบุตรสาวมาร์ควิสเสียได้ มีเรื่องอะไรที่น่าสนุกไปกว่านี้อีกล่ะ
ผ่านไปไม่นานมาร์ควิสก็กลับมายังคฤหาสน์ วิการ์ยืนต้อนรับด้วยสีหน้าดีอกดีใจ
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ มาร์ควิสเปียสต์ ได้พบกับบุคคลที่ท่านตามหาหรือยังครับ”
แม้ตัวเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าเพราะหาไม่เจอจึงมาหาตัวเอง วิการ์ก็ยังแสดงท่าทางมีเลศนัยกับมาร์ควิสเปียสต์ คล้ายกับจะประณามว่าควรจะเชื่อคำพูดของตัวเองเสียทีแรกอย่างนั้น
มาร์ควิสที่รู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อยเพราะตัวเอง จึงไม่พูดไร้สาระและเข้าประเด็นทันที
“ไม่สิ โชคร้ายที่ไม่เจอน่ะสิ จึงมาหาบุตรชายท่านเช่นนี้อย่างไรล่ะ เรื่องที่เราคุยกันครั้งก่อนก็น่าสนใจดีไม่ใช่หรือ”
แม้จะหาเมืองหลวงเจอแล้วก็ตามแต่เพราะไม่เจอแม้แต่รูปวาดผู้หญิงของโคลอี มาร์ควิสที่รู้สึกใจร้อนจึงรีบเปิดประเด็นเรื่องนั้นทันที
วิการ์ที่กำลังจะหาเรื่องที่มกุฎราชกุมารน่าจะพอใจไปรายงานอยู่พอดี จึงไม่รีรอคอยจับผิดพลางรีบตอบเช่นกัน
“จะไปดูใบหน้าเขาเหรอครับ”
“หากเป็นไปได้ล่ะก็ ตอนนี้เลยล่ะ”
“ดีเลยครับ เรื่องง่ายๆแค่นี้ แค่บอกว่ามาเยี่ยมเยียนดูสารทุกข์สุกดิบท่านเคานต์ก็ได้ใช่ไหมล่ะครับ”
และระหว่างนั้นก็ดูใบหน้าของเธอด้วย ซึ่งนั่นเป็นวิธีการง่ายๆที่สามารถตรวจดูใบหน้าได้อย่างไม่ยุ่งยากเช่นกัน
ไม่รู้ว่าจะเป็นเรื่องที่คิดไว้ก่อนแล้วหรือเปล่า แต่นั่นก็เป็นความคิดที่ดีมากสีหน้าของมาร์ควิสจึงสดใสขึ้นมาทันตา
“ออกเดินทางตอนนี้น่าจะดีนะครับ ก่อนที่อาทิตย์จะตกดินครับ”
“ได้สิ”
เนื่องจากทั้งวิการ์และมาร์ควิสต่างร้อนใจทั้งคู่จึงไม่รอช้ารีบออกเดินทางไปยังคฤหาสน์ท่านเคานต์ทันที แยกกันออกเดินทางไปก็ไม่มีอะไรดีสักเท่าไหร่ จึงส่งรถม้าของตนกลับไปยังที่พักและออกเดินทางไปด้วยกันพร้อมกับรถม้าของวิการ์
แม้จะเป็นทางที่ไม่ไกลเท่าไหร่นัก แต่กลับรู้สึกถึงเส้นทางยาวไกลพันลี้ เพราะอย่างนั้นริมฝีปากทั้งคู่จึงแห้งผากจนไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้
ทันทีที่เดินทางถึงคฤหาสน์ของท่านเคานต์โรสเซนต์อย่างรวดเร็ว ก็พบว่าเคนยังไม่กลับมายังคฤหาสน์เนื่องจากยุ่งอยู่กับธุรกิจของเขา
เพราะอย่างนั้นเคาน์ติสจึงพาทหารทั้งสองที่มาจากโครอา ย้ายที่จากในคฤหาสน์ที่วุ่นวาย ไปยังบ้านพักหรูหราแทน
“มีธุระอะไรเหรอคะ”
“เป็นห่วงท่านเคานต์เลยมาเยือนน่ะครับ ขออภัยที่รบกวนเวลาดึกๆ เช่นนี้ครับ”
“ไม่หรอกค่ะ ว่าแต่ ท่านนี้ล่ะคะ”
“อ้อ เป็นคนสนิทที่มาจากแดนไกลของผมเองครับ เห็นว่าเคยได้รับความเมตตาจากท่านเคานต์มาก่อนเลยมาเยี่ยมด้วยครับ”
“ตายจริง อย่างนั้นเหรอคะ ดูเหมือนว่าเขาจะไปสร้างเรื่องอะไรดีๆ ไว้เยอะเลย ยินดีที่ได้พบนะคะ”
เคาน์ติสเผยรอยยิ้มที่สง่างามตอบรับคำนับของมาร์ควิสเปียสต์
“เพราะเรื่องนั้นเกิดขึ้นสั้นมากจึงไม่รู้ว่าท่านจะยังจำผมได้ไหม แต่เพราะเป็นห่วงจึงได้มาเยี่ยมเยียนเช่นนี้ครับ ขออภัยที่รบกวนท่านครับ”
“รบกวนอะไรกนล่ะคะ เพราะขยับตัวไม่สะดวก จึงได้แต่นั่งนับวันรอว่าใครจะมาเยี่ยมเยียนกันบ้างเท่านั้นค่ะ”
ขณะที่เคาน์ติสที่กำลังตอบอยู่นั้นมาร์ควิสก็ค่อยๆ ดูใบหน้าอย่างละเอียดอยู่เช่นกัน
ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีเขียว และใบหน้าที่งดงาม ลักษณะภายนอกตรงกับที่โคลอีพร่ำพูดอยู่เสมอ
เพราะฝีมือวาดรูปของโคลอีจะไม่ได้ดีเท่าไหร่จึงตรวจดูหน้าตาอย่างแม่นยำได้ยาก แต่ตามคำลือแล้วในอดีตเธอเคยเป็นโสเภณีมาก่อน เท่านั้นก็เพียงพอที่หล่อนคือหญิงที่โคลอีตามหา
“ท่านอยู่ในห้องน่ะค่ะ โชคร้ายที่ขยับขาไม่ได้แม้แต่นิดจึงออกมาข้างนอกไม่ได้ค่ะ ช่างน่าสงสาร”
หล่อนอธิบายอาการของสามีตัวเองที่น่าสงสารด้วยท่าทางราวกับพูดเรื่องของคนอื่นเสียอย่างนั้น จากนั้นเคาน์ติสจึงนำทางวิการ์และมาร์ควิสไปยังห้องของท่านเคานต์
และที่ห้องนั้นก็มีท่านเคานต์ที่นอนขยับตัวไปไหนไม่ได้อยู่บนเตียง วิการ์และมาร์ควิสเห็นอย่างนั้นก็อดตกใจเสียไม่ได้
“…ท่านเคานต์ ไม่ได้เจอกันนานนะครับ”
“ใช่ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ วิการ์ สบายดีไหมล่ะ”
“แน่นอนสิครับ”
เนื่องจากไม่สามารถเอ่ยปากถามท่านเคานต์ว่าสบายดีหรือเปล่าจึงได้แค่ตอบกลับไปเท่านั้น ท่านเคานต์สังเกตเห็นมาร์ควิสที่ยืนอยู่ข้างๆจึงถามว่าเขาเป็นใคร
“อ๋อ เขาบอกว่าเมื่อก่อนเคยได้รับการช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ จากท่านเคานต์มาก่อนน่ะครับ”
“ผมชื่อเปียสต์ครับ ท่านเคานต์ ขอบพระคุณเรื่องครั้งก่อนนะครับ”
“อย่างนั้นเหรอ ขอโทษด้วยนะ ฉันจำไม่ได้เลย”
“ไม่หรอกครับ ก็น่าจะเป็นเช่นนั้นสิครับ เพราะอย่างนั้นเขาถึงได้ลือกันหนาหูว่าท่านเคานต์คอยเมตตาช่วยเหลือเด็กยากไร้อยู่ไม่ใช่หรอกเหรอครับ”
“ฮ่าๆ อย่างนั้นเหรอ ถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็ ฉันก็อิ่มใจ”
ท่านเคานต์ตอบด้วยสีหน้าสดใสขึ้นทันตา เพราะตอนนี้สำหรับคนที่ไม่สามารถทำงานเป็นทหารได้แล้วเพียงแค่พูดถึงเรื่องราวในอดีตก็สามารถซื้อความสนใจจากท่านเคานต์ได้ แม้จะเป็นคนที่ไม่เคยเจอหน้ากันก็ตาม
เพราะอย่างนั้นวิการ์และมาร์ควิสสามารถพูดคุยกับท่านเคานต์ได้นานมากขึ้น และพยายามถ่วงเวลาให้มากที่สุดเพื่อรออาเรีย แต่จนกระทั่งจวนเข้าเวลามื้อเย็นแล้วแต่กลับไม่พอแม้แต่เงาของเธอ
“ตายจริง เวลาผ่านมาขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย ตอนนี้ต้องขอตัวพาไปรับประทานมื้อเย็นก่อนนะคะ”
ดูท่าว่าการมาเยือนของพวกเขาจะยิ่งน่าเบื่อ เคาน์ติสจึงส่งสัญญาณนัยๆให้กับวิการ์และมาร์ควิส
ทว่าท่านเคานต์ดูจะเสียดายที่พวกเขาต้องกลับจึงชวนรับประทานอาหารมื้อเย็นเพื่อจะให้พวกเขาได้อยู่ต่ออีกสักหน่อย
“ทานมื้อเย็นกันหรือยังล่ะ”
“ยังเลยครับ”
คิดว่าบางทีเธอน่าจะออกมาที่ห้องอาหาร วิการ์จึงอยู่รอเหยื่อล่อ ส่วนเคาน์ติสก็แสดงสีหน้าที่ไม่พอใจพร้อมกับสั่งการข้ารับใช้ให้จัดเตรียมสำรับอาหารของอีกสองคน
เนื่องจากวัตถุดิบอาหารเตรียมไว้อย่างเหลือเฟือจึงไม่ยากเท่าไหร่ที่จะเพิ่มสำรับอาหารสำหรับสองคน
วิการ์และมาร์ควิสจึงสามารถร่วมรับประทานอาหารด้วยกันได้ ทั้งสองได้แต่รออาเรียลงมาอย่างใจจดใจจ่อ
ผ่านไปไม่นานบุคคลที่พวกเขาเฝ้ารอก็ปรากฏตัวขึ้น
“มีแขกอยู่นี่คะ”
มาร์ควิสที่หันไปมองตามเสียงใสนั้นราวกับลุ่มหลง เหมือนกับช่วงเวลานั้นได้หยุดนิ่ง
วิการ์ที่มองอยู่เช่นกันก็ยกยิ้มพลางส่งสายตาเป็นประกาย
“ใช่ท่านวิการ์หรือเปล่าคะ”
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับเลดี้”
“…อย่างนั้นสินะคะ มีธุระอะไรมาเยือนถึงที่นี่เลยล่ะคะ”
“ผมเพียงแค่จะมาเยี่ยมเยียนอาการของท่านเคานต์เท่านั้นครับ”
ทันทีที่วิการ์ตอบใบหน้าของอาเรียก็แสดงสีหน้าไม่ไว้ใจออกมา เนื่องจากเธอรู้ดีว่าวิการ์ไม่ใช่คนที่จะทำอะไรด้วยจิตใจบริสุทธิ์ ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ใช่คนที่จะมาเป็นห่วงท่านเคานต์
วิการ์ยิ้มแข็งทื่อพลางทำตัวเป็นเจ้าของบ้านเชิญให้นั่งลง
“เดี๋ยวอาหารจะเย็นซะหมดครับ ถ้าเย็นแล้วก็จะไม่อร่อยน่ะสิครับ”
“…ได้ค่ะ ว่าแต่ อีกท่านดิฉันเพิ่งได้พบเป็นครั้งแรกใช่ไหมคะ”
ครั้งนี้สายตาอาเรียหันไปยังมาร์ควิส
นัยน์ตาสีเขียวสดใสดูแล้วจะว่าคุ้นก็ดูคุ้นอยู่
หากเป็นคนที่ไม่รู้จักอาจจะคิดว่าดวงตาของเธอคล้ายกับเคาน์ติสก็เป็นได้ แต่มาร์ควิสกลับไม่คิดเช่นนั้น นัยน์ตาสุกใสนั่นคล้ายกับดวงตาโคลอีอย่างแน่นอน
ไม่ใช่แค่ดวงตาเท่านั้น รูปหน้าส่วนใหญ่ก็คล้ายกับโคลอี หากเป็นคนที่รู้จัก เธอและโคลอีล่ะก็ไม่มีทางคิดว่าทั้งคู่จะเป็นคนแปลกหน้าแน่นอน หากเธอตัดผมสั้นแล้วบอกว่าเป็นโคลอีก็แทบจะแยกไม่ออกด้วยซ้ำ
เพราะอย่างนั้นมาร์ควิสจึงใจลอยทั้งที่ยังไม่ได้ตอบคำถามของอาเรียจนวิการ์ต้องตอบให้แทน
“อ๋อ เขารู้จักกับท่านเคานต์อยู่นิดหน่อยน่ะครับ เลยมาเยี่ยมเยียนและก็ร่วมรับประทานอาหารด้วยครับ”
“อย่างนั้นเหรอคะ ท่านดูเป็นคนพูดน้อยสินะคะ”
อาเรียพูดอย่างนั้นพลางมองปราดมาร์ควิสด้วยสายตาเฉียบแหลม เพราะเธอไม่เชื่อคำพูดของวิการ์
ดูเหมือนเธอจะคิดว่าเขาต้องมีลับลมคมใน แม้แต่สายตาที่สงสัยตัวเขาเองยังคล้ายกับโคลอี
เขาไม่ได้จะมาหาอาเรีย เพียงแค่มาหาแม่ของเธอก็เท่านั้น แต่ทันทีที่เห็นหน้าอาเรียกลับไม่มีความสนใจเกี่ยวกับเคาน์ติสเลยแม้แต่น้อย สายตาของมาร์ควิสมองไปที่อาเรียเท่านั้น
“…เสียมารยาทจริงๆ เลยนะคะ”
จนกระทั่งอาเรียตำหนิการกระทำนั้นเขากลับไม่รู้สึกแม้แต่ความรู้สึกไม่สบายใจหรือรู้สึกขอโทษ กลับรู้สึกประทับใจเสียอย่างนั้น ได้มาเจอเชื้อสายญาติสนิทตัวเองในที่ต่างถิ่นโดยไม่ได้คาดคิดเช่นนี้ จะไม่ดีใจได้อย่างไร
“เลดี้งดงามมากเช่นนี้ จะไม่ให้มองได้อย่างไรล่ะครับ”
มาร์ควิสที่ไม่แม้แต่จะพูดขอโทษสักคำวิการ์จึงออกหน้าพูดแก้ตัวให้แทน แต่สายตาที่ไร้มารยาทของมาร์ควิสก็ยังคงอยู่เช่นเดิม
หากในสายตานั้นรู้สึกถึงการล่วงเกินก็จะสาดน้ำใส่ซะแล้ว แต่จะว่าไปสายตาของเขาดูตกใจจนช็อกมากกว่าสายตาแบบชู้สาวอาเรียจึงเริ่มรับประทานอาหารราวกับยอมแพ้เสียอย่างนั้น
มาร์ควิสดูมีอะไรอยากถามอาเรียอยู่มากแต่ท้ายสุดจนกระทั่งอาเรียรับประทานอาหารเสร็จก็ไม่สามารถพูดกับเธอสักคำ
* * *
“ท่านอัสเทอโรพี! ท่านอัสเทอโรพี!”
อาซตอบวิการ์ที่มาหาเขาในเวลาดึกดื่นเช่นนี้ด้วยสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์
“ทำไม”
“ไม่ใช่เวลาที่ท่านจะมาตอบเหมือนกับว่ารำคาญแบบนี้นะครับ!”
“ทำไมล่ะ”
รำคาญแม้กระทั่งพูดตอบแต่สาเหตุหลักเนื่องจากจดจ่ออยู่กับงานจนยุ่งจนไม่มีเวลาไปหาอาเรียต่างหาก
“อยากเห็นไหมล่ะคะว่ากระผมพาใครมา”
“ใครกันล่ะถึงกับต้อง… หรือว่า…”
อาซแสดงสีหน้าตกใจขึ้นทันที
“เลดี้อาเรียจะมาเยี่ยมถึงที่นี่ในเวลาดึกดื่นเช่นนี้หรือ”
เมื่อก่อนอาจจะเป็นน้อยกว่านี้ แต่ไม่นานมานี้เขาดูหลงอาเรียมากจนวิการ์อดรำคาญเสียไม่ได้
“ไม่ครับ จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ท่านก็ทราบว่าเลดี้ยุ่งแค่ไหนยังจะพูดเช่นนี้ได้อีกหรือครับ แม้จะเทียบกับเลดี้อาเรียไม่ได้ แต่ก็เป็นคนที่ท่านอัสเทอโรพีรอคอยอยู่นะครับ”
อาซไม่มีเวลาโกรธกับคำพูดปนจับผิดของวิการ์ เนื่องจากมีใครคนหนึ่งเปิดประตูเข้ามาในห้องทำงานของเขา ทั้งที่ยังไม่ได้ขออนุญาตเลยด้วยซ้ำ
ชายคนนั้นคนที่ค่อยๆย่างเข้ามาในห้อง ผมสีขาว ดูท่าจะเป็นคนแก่
“ใครน่ะ”
“ขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทครับ กระผมชื่อเปียสต์มาจากโครอาครับ”
คำแนะนำตัวของมาร์ควิสทำให้อาซเบิกตาโตขึ้น มาร์ควิสเปียสต์ที่อาเรียรอคอยเจอเขามาตลอดไม่ใช่เหรอ แล้วเขามาหาตนแบบนี้…
“ดูเหมือนว่าจะรู้แล้วสินะ”
อาซพูดแบบนั้นพร้อมกับนัยน์ตาเป็นประกาย เพราะเขารู้ผลนั้นแม้จะไม่ได้ฟังอย่างไรล่ะ
……………………….