“ท่านทราบเรื่องได้อย่างไรกันครับ”

อาซเชิญให้มาร์ควิสเปียสต์ที่กำลังถามอย่างกะทันหันให้ย้ายที่ยืน

“ย้ายที่สักหน่อยก็คงจะดีนะ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมายืนพูดแบบนี้นี่นา”

“…เข้าใจแล้วครับ”

วิการ์เข้าใจสถานการณ์ได้รวดเร็วจึงสั่งการข้ารับใช้ให้จัดเตรียมรถม้า

ตั้งแต่ที่เขาปรากฏตัวในห้องทำงานตอนนั้น ก็ได้จัดเตรียมน้ำชาสองถ้วยไว้แล้ว อาซและมาร์ควิสเปียสต์จึงย้ายที่คุยไปยังห้องสำหรับต้องรับแขกข้างๆ

“คนที่รู้ก่อนไม่ใช่ฉันหรอก แต่เป็นเฟรย์ต่างหากล่ะ”

“หากเป็นเฟรย์ล่ะก็…หรือว่า…!”

เฟรย์ บุตรสาวคนโตของไวโอเล็ตงั้นหรือ

หลังจากที่โคลอีและไวโอเล็ตโดนเนรเทศ แม้ทั้งคู่จะแยกกันอยู่ก็ตามหากเป็นเธอที่เคยใช้เวลาด้วยกันมาก่อน ก็มีความเป็นไปได้ว่าเขาจะมองอาเรียออกตั้งแต่ครั้งแรก

“ใช่แล้ว เฟรย์ ฟรานซ์ เป็นคนที่นายก็รู้จักดีล่ะสิ”

“…เธอสบายดีใช่ไหมครับ”

“ดูท่าจะเป็นอย่างนั้นนะ ไปเยือนแล้วดูด้วยตาตัวเองสักครั้งก็คงไม่แย่หรอก”

บุคคลที่พรากครอบครัวของเธอจะทำอย่างนั้นได้อย่างไรกัน

แน่นอนว่าคนที่พรากไวโอเล็ตไปคือเชื้อพระวงศ์แห่งราชอาณาจักร ทว่าท้ายที่สุดแล้วกลับมีแค่เฟรย์ที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวในราชอาณาจักร เขาจึงไม่สามารถไปสู้หน้าเธอได้อย่างเต็มภาคภูมิ ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกันเสียอีก

“…ขอบคุณครับ”

เพราะอย่างนั้นสีหน้าของเขาดูไม่ค่อยขอบคุณเท่าไรนัก กลับเป็นสีหน้าราวกับบอกให้เปลี่ยนเรื่องสนทนาเสียมากกว่า

อาซที่รู้ทันจึงไม่รอให้เสียเวลาเริ่มเข้าประเด็นทันที

“อย่างไรก็ตาม ฉันก็ได้รู้เรื่องเกี่ยวกับโคลอีแล้วอย่างไรล่ะ พอดีจำได้ว่าสมัยเด็กๆ เคยเจอกันอยู่น่ะ ยิ่งหาข้อมูลเท่าไรยิ่งพบว่าข้อมูลหลายอย่างซ้ำกับเลดี้อาเรียเยอะ ทำให้อดสงสัยไม่ได้”

“เพราะอย่างนั้นเลยมาหาดิฉันสินะคะ เพื่อจะเช็กความจริง”

“ใช่  คนที่โดนเนรเทศออกจากราชอาณาจักร นอกจากมาร์ควิสก็ไม่มีใครอื่นแล้ว หากไม่มีผู้มีอำนาจช่วย ก็ไม่มีทางที่ข้อมูลจะหลุดรอดออกมาได้อย่างไรล่ะ”

“….”

แล้วการสืบเรื่องก็เริ่มขึ้น สายสัมพันธ์ที่เกือบจะตัดขาดกลับสานต่ออีกครั้ง แม้ข่าวการแต่งงานของเคาน์ติสจะเป็นข่าวร้ายมาก แต่สถานการณ์กลับดีกว่าในอดีตที่แทบจะตามหาร่องรอยไม่ได้ และยังสามารถสืบหาตัวตนของอาเรียได้อีกด้วย

เพราะอย่างนั้นอาซจึงถามมาร์ควิสที่กำลังดื่มชาด้วยความดีใจ

“โคลอียังไม่รู้ตัวตนของอาเรียใช่ไหม”

“ครับ เพราะทันทีที่เขาได้พบกับหญิงที่ชื่อว่าแอปเปิล ความลับเรื่องการคลอดครั้งนั้นก็ถูกเปิดเผยทำให้โดนเนรเทศ เขาจึงไม่รู้เรื่องอะไรเลยครับ”

“…แอปเปิล”

“ชื่อเก่าของเคาน์ติสคนปัจจุบันตระกูลโรสเซนต์ครับ ถือว่าเป็นนามแฝงที่มีทั่วไปในแวดวงโสเภณีครับ”

ช่างเป็นเรื่องที่แปลกเสียจริง ในราชอาณาจักรที่ใช้ดอกไม้เป็นสัญลักษณ์ของตระกูลกลับใช้ชื่ออื่นที่ไม่ใช่ดอกไม้ไปเป็นนามแฝงเป็นเรื่องปกติ

ท่ามกลางคนสิบคนใช้ชื่อนั้นไปแล้วห้าคน เพราะแอปเปิลเป็นผลไม้ที่หาได้ง่ายๆ เช่นนั้นการจะหาร่องรอยของเธอจึงไม่ง่ายเลย

“แม้จะได้พบหล่อนเพียงแค่ครั้งเดียวก็ตาม แต่จนตอนนี้ยังคงนึกถึงเธออยู่ครับ”

“ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่ให้คนช่วยปล่อยข่าวล่ะ แม้จะโดนเนรเทศก็ตามแต่ด้วยยศของมาร์ควิสแต่ผมคิดว่าสามารถทำได้อยู่แล้วไม่ใช่หรอกเหรอ”

“ตอนที่โดนเนรเทศโคลอีเขาจิตไม่ปกติครับ เพราะตอนนั้นอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถพูดอะไรได้อยู่พักใหญ่ ยิ่งได้รู้ความจริงว่าบุคคลที่เขาเชื่อว่าเป็นพ่อตัวเองมาตลอดกลับไม่ใช่พ่อที่แท้จริง มีหรือจะไม่สติแตกไปเสียก่อน ตอนนี้ ไม่บ่อยนัก… ไม่สิ อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นก็ได้ส่งคนออกไปตามหาแล้ว แต่ก็หาตัวไม่พบครับ”

“เพราะอย่างนั้นถึงมาที่นี่สินะ เพราะสภาพของโคลอีก็ไม่สู้ดีเท่าไรนัก”

“…จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ”

แต่กลับรับรู้ได้ว่าจุดหมายของเขาได้เปลี่ยนไปหลังจากเจออาเรีย เมื่อได้เห็นท่าทางที่ดีใจของเขาแล้วไม่ว่าใครก็ตามสามารถรับรู้ได้ว่า ใบหน้าของเขาเผยให้เห็นความประทับใจที่ได้พบอาเรียอย่างบริสุทธิ์ใจ

“ตอนนี้เหลือแค่กลับไปเท่านั้นครับ หวังว่าโคลอีและไวโอเล็ตจะดีใจนะครับ”

“…จะแค่กลับไปแบบนี้เลยเหรอ”

“แค่เหรอครับ ท่านหมายความว่าอย่างไรกัน”

“เคาน์ติสได้แต่งงานกับท่านเคานต์ไปแล้ว จึงไม่สามารถอยู่กับโคลอีได้ และเลดี้อาเรียต่างมีตำแหน่งที่เหมาะสมในราชอาณาจักรแล้ว เลดี้ไม่ตามมาร์ควิสไปแน่ แค่จะถามว่าพวกท่านมาเพียงเพื่อเช็กสายเลือดของหล่อนแล้วกลับไปอย่างนี้น่ะหรือ”

นั่นเป็นผลลัพธ์ที่อาซปรารถนาที่สุด หากอาเรียตามมาร์ควิสไปยังโครอา จะยิ่งเจอได้ยากกว่านี้ เนื่องจากระยะทางไกลเกินไปทำให้เขาใช้พลังไม่ได้

หากกายห่างกันแล้ว ใจก็ยิ่งห่างกันด้วยไม่ใช่หรือ เขากังวลเรื่องนั้นจึงถามไป มาร์ควิสใช้เวลาคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ให้คำตอบ

“ไม่เลยครับ พวกเราไม่คิดจะกลับไปแค่แบบนี้ครับ แอปเปิล ไม่สิ เคาน์ติส… ตามที่ท่านกล่าวเพราะว่าหล่อนอยู่ในสถานะที่แต่งงานเรียบร้อยแล้วจึงไม่นำตัวท่านกลับไปครับ แต่สำหรับเลดี้อาเรียอาจจะต่างไปครับ ผมก็ไม่รู้เรื่องอื่นนอกจากที่ได้ยินข่าวลือมาหรอกครับ แต่เมื่อเทียบกับราชอาณาจักรที่เลดี้ได้รับแต่คำด่าทอดูถูกแล้ว เธอน่าจะใช้ชีวิตที่โครอาได้ง่ายกว่านั้นก็ไม่รู้สิครับ และพวกเราพร้อมจะให้การสนับสนุนทุกอย่างทดแทนจากครั้งก่อนที่ไม่ได้ช่วยเหลืออะไรครับ”

บางทีฝั่งนั้นอาจจะเป็นฐานอำนาจที่ดีกว่าสำหรับอาเรียก็ได้

เพราะส่วนใหญ่แล้วพวกเขาก็จะต้องคิดเช่นเดียวกันมาร์ควิสแน่ แม้จะบอกว่าอยู่ในราชอาณาจักรก็ตาม แต่เนื่องจากมีงานที่จัดการผ่านทางจดหมายเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นการย้ายไปยังอาณาจักรโครอาน่าจะดีเสียกว่า

“ไม่รู้สิ ท้ายที่สุดแล้วจะง่ายอย่างดีคิดหรือเปล่านะ”

แม้ทุกคนต่างเห็นด้วยก็ตามอาซกลับไม่เห็นด้วย

เนื่องจากข่าวลือของอาซและอาเรียได้แพร่ไปทั่วและมาร์ควิสก็รับรู้อยู่แล้ว เขาจึงพยายามไม่ถามหาสาเหตุของคำตอบแง่ลบพวกนั้น

“ยิ่งไปกว่านั้นจิตใจของเลดี้สำคัญกว่าสิ ไม่ใช่ว่ามาร์ควิสจะพาตัวใครไปๆ มาๆ ได้นี่นา”

“…เรื่องนั้นผมทราบดีครับ เช่นนั้นจึงต้องลองถามความเห็นดูอย่างไรล่ะครับ”

“ความเห็นงั้นเหรอ…”

เชื้อสายที่ไม่โผล่มาแม้แต่เงาในตอนที่ไม่มีอะไร แต่เมื่อประสบความสำเร็จแล้วจู่ๆ กลับปรากฏตัวขึ้นพลางบอกว่าจะพาตัวกลับไป อย่างนี้ใครเขาจะยอมรับด้วยความยินดีกันล่ะ หากเป็นอาเรียในอดีตที่เคยเป็นลูกนางโสเภณีอาจจะดีใจกระโดดโลดเต้นไปแล้ว แต่ตอนนี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน

อีกใจหนึ่งก็อวดดีแอบคิดเป็นตุเป็นตะว่าอาเรียจะไม่ทิ้งตนไปไหน แต่หากเป็นอาเรียแล้ว แน่นอนว่าเธอต้องเลือกตนเองไม่ใช่มาร์ควิสที่จู่ๆอก็โผล่มา

และถ้าไม่เป็นเช่นนั้น… ก็ปิดพรมแดนข้ามโครอาไปก็สิ้นเรื่อง หรือสร้างกฎหมายว่าผู้ไม่บรรลุนิติภาวะไม่สามารถออกนอกราชอาณาจักรได้ก็ไม่เลว

แม้จะรู้ว่าช่างเป็นความคิดที่โง่เขลายิ่งนัก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่อยากให้อาเรียจากเขาไปไกล สิ่งที่เรียกว่าอำนาจมีไว้ใช้สำหรับเวลาแบบนี้ไม่ใช่หรอกหรือ

ไม่ว่าอาเรียจะตอบอย่างไร อาซที่คิดหาทางออกไม่ให้มาร์ควิสพาตัวอาเรียกลับไปได้จึงเผยสีหน้าสดใสขึ้นพลางบอกกับมาร์ควิส

“ดีล่ะ ถ้าอย่างนั้นไปถามเธอโดยตรงตามที่มาร์ควิสพูดเลยก็น่าจะดี”

“โดยตรง…เหรอครับ ตอนนี้หรือครับ”

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความทรงจำเมื่อได้พบกันครั้งแรกลอยขึ้นมาในหัวหรืออย่างไร มาร์ควิสแสดงสีหน้าตกใจทันที

“หากมาร์ควิสไม่สะดวกใจผมสามารถไปถามให้แทนได้นะครับ”

เพราะหากเขาไปถามเองอาจจะได้คำตอบว่าไม่ไปด้วยก็ได้

ในขณะที่ยังไม่รู้เหตุผลนั้น มาร์ควิสกลอกตากังวลเรื่องที่ยังติดค้างอยู่ในความคิด ทันใดนั้นเขาจึงรับข้อเสนอของอาซ

“ไม่รู้ว่าค่อยๆสานสัมพันธ์แล้วถามทีหลังแบบนั้นจะมีผลดีอะไรหรือเปล่า แต่ควรจะสืบความเป็นอยู่ตอนนี้ไว้ก่อนน่าจะดีกว่านะครับ แต่หากท่านจะทำแบบนั้น ผมก็ขอบพระคุณจริงๆ ครับ”

ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคือกับดัก

แต่คำตอบนั้นทำให้อาซพอใจพลางยกยิ้มขึ้น

* * *

และวันถัดมา อาซที่ใจร้อนจึงรีบไปเยือนคฤหาสน์ท่านเคานต์ทั้งที่ยังไม่ได้นัดล่วงหน้า พร้อมกับมาร์ควิสที่สวมวิกพรางตัวเป็นคนขับรถม้า

รถม้าที่หรูหราขับมาทำให้องครักษ์ที่กำลังเดินเล่นอยู่ตอนเช้าต่างตกใจวิ่งกรูกันเข้ามา รถม้าที่มีตราสัญลักษณ์ดอกทิวลิปสลักอยู่ทำเอาคนที่ได้เห็นต้องโค้งหัวคำนับ

อาเรียที่ยังไม่ได้รับประทานอาหารเช้า ออกจากคฤหาสน์มาในสายกว่าที่เคยจึงถามสาเหตุด้วยสีหน้าตกใจ

“มีเรื่องอะไรถึงมาหาตั้งแต่เช้าเหรอคะ”

“นอกจากจะมาหาเลดี้แล้วยังต้องมีเหตุผลอื่นอีกด้วยเหรอครับ”

“ดิฉันเหรอคะ แต่ว่าตอนนี้ยังเช้าเกินไปนี่นา…”

ยิ่งไปกว่านั้นทำไมถึงต้องนั่งรถม้าหรูหราขนาดนั้นมาด้วยนะ หรือเพราะอยากจะอวดคนในเมืองว่าตนเองมาหาเธออย่างนั้นเหรอ เขาสามารถเข้ามาให้ห้องได้เลยด้วยซ้ำ

หัวเราะร่าพลางถามอาเรียว่าจะรับประทานอาหารเช้าพร้อมกันกับเขาไหม

“ถ้าอย่างนั้นมื้อเช้าไปทานข้างนอกด้วยกันดีไหมครับ”

“ข้างนอกเหรอคะ”

“ทานด้วยกันสองคนแบบอบอุ่นอย่างไรล่ะครับ”

ไม่ใช่มื้อเย็นที่อบอุ่น แต่เป็นมื้อเช้า ช่างเป็นข้อเสนอที่แปลกเสียจริง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ต้องการอาเรียจึงยิ้มพลางพยักหน้าเบาๆ

“ต้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วล่ะค่ะ”

“จะรอนะครับ”

นอกจากนั้นยังต้องจัดแต่งทรงผมอีกเล็กน้อยอาจจะใช้เวลาหน่อยก็ตาม เมื่อเห็นเขาตอบเช่นนั้นอาเรียก็รู้สึกใจร้อนขึ้นทันที

อาเรียที่หายเข้าไปในคฤหาสน์พลางยุ่งกับการแต่งตัว

“เลดี้!  ชุดเดรสนี่เป็นไงคะ”

“สร้อยคออันนี้น่าจะดีนะคะ!”

“โรยผงทองลงบนผมดีไหมคะ”

“ตายแล้ว  ต้องทาเล็บให้เป็นประกายสักหน่อยแล้วค่ะ!”

คนที่ยุ่งไม่ได้มีแค่อาเรียเท่านั้น เนื่องจากจู่ๆมกุฎราชกุมารก็มาเยือนทำให้เหล่าข้ารับใช้ต่างยุ่งขึ้นเช่นกัน เคาน์ติสที่กำลังจะรับประทานอาหารเช้าก็ตะโกนเสียงดังพลางช่วยลูกสาวของหล่อนแต่งตัว

“เอาเพชรของแม่มาดีไหม เพชรที่เพิ่งซื้อมาครั้งที่แล้วเม็ดงามมากเลยล่ะ”

ท้ายที่สุดอาเรียก็เห็นสภาพตัวเองที่ค่อยๆถูกเสริมเติมแต่งจนเยอะเกินไป

“ทุกคนอย่าลืมสิคะว่านี่เป็นแค่มื้อเช้า ลูกแค่จะไปทานข้าว ไม่ได้จะไปงานเลี้ยงสักหน่อย”

แม้จะไม่ได้ทำเช่นนั้นก็สง่างามเพียงพออยู่แล้ว แต่เมื่อเสริมเติมแต่งอย่างเต็มที่ก็เปล่งประกายจนคนอื่นไม่กล้ามองไปเสียแล้ว

จะมีใครแต่งตัวหรูหราแบบนี้ตั้งแต่เช้ากันนะ แม้จะเป็นตระกูลชนชั้นสูงแค่ไหนก็ตามต้องรู้กาลเทศะในการแต่งตัวให้เหมาะสมเช่นกัน

อาเรียถอดเครื่องประดับคืน พร้อมกับยกยิ้มอย่างพอใจเป็นอันหมายความว่าการแต่งตัวได้เสร็จสิ้นแล้ว

“…เลดี้แต่งตัวออกมางดงามขนาดนี้มีหรือจะให้ลงจากรถม้าได้ล่ะครับ”

“ชมเกินไปจนวางตัวไม่ถูกเลยค่ะ”

เนื่องจากถอดเครื่องประดับทั้งหมดคืน ทำให้เธอไม่ได้แต่งตัวมาหรูหราจนเกินไป แต่ก็ไม่อาจหยุดรอยยิ้มของอาซได้

รถม้าที่อาเรียนั่งเริ่มออกเดินทางจากคฤหาสน์ท่านเคานต์ รถม้าหรูหราขับผ่านมาตอนเช้าทำให้คนธรรมดาทั่วไปที่เห็นซ่อนใบหน้าตกใจไว้ไม่ได้ แต่สักพักก็นึกได้ว่าเคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้อยู่หลายครั้งสาเหตุเป็นเพราะมกุฎราชกุมารที่ตกหลุมรักเข้าอย่างจัง จากนั้นจึงได้แต่ส่ายหัว

“แต่จะว่าไปมาธุระเรื่องอะไรเหรอคะ มาเพราะอยากจะทานมื้อเช้าด้วยกันเท่านั้นจริงๆเหรอคะ”

“แน่นอนสิครับ”

เพราะเรื่องที่จะถามก็เป็นอีกเรื่อง แต่ก็จริงที่มาหาแต่เช้าเพราะอยากรับประทานมื้อเช้าด้วยกันอาซจึงตอบอย่างเรียบเฉย

“จริงเหรอคะ”

“ครับ ไม่ได้เจอเลดี้ตั้งนานจนแทบนอนไม่หลับ เลยมาหาตั้งแต่เช้าแบบนี้อย่างไรล่ะครับ”

ครั้งนี้ก็ไม่ใช่คำโกหกด้วยเช่นกัน

แค่หลับตาก็นึกถึงอาเรียจนแทบจะใช้พลังหายตัวไปหลายครั้งแล้ว ดูเหมือนว่าอาเรียจะพอใจกับคำตอบนั้น สีหน้าที่เคลือบแคลงกลับหายไปแทนที่ด้วยรอยยิ้มดั่งดอกไม้แรกแย้ม

ช่างเป็นดอกไม้ที่แสนงดงามจนอาซหลงลืมคำพูด ทว่าที่จริงแล้วก็มีเหตุผลอื่นด้วยจึงมาหาอาเรีย พลางคิดว่าดีแล้วที่ได้มาพร้อมกับยกยิ้มอย่างอ่อนโยน

“เอ่อ อาจจะเป็นคำถามที่ไม่คาดคิดนะครับ หากจู่ๆมีญาติของเลดี้ปรากฏตัวขึ้นแล้วจะพาตัวกลับไป เลดี้จะทำอย่างไรเหรอครับ”

เสียงของอาซดังเลยออกไปนอกผนังรถม้าจนที่นั่งคนคุมม้าก็ได้ยินด้วย เป็นเพราะเขาตั้งใจเลือกรถม้าที่มีผนังบาง

มาร์ควิสที่นั่งอยู่ตรงนั้นก็กลืนน้ำลายที่แห้งเหือดพลางรอคำตอบของอาเรีย อาเรียหัวเราะออกมาพลางย้อนถาม

“หากเป็นไปตามที่ท่านพูดจริงๆดิฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงถามคำถามไม่คาดคิดแบบนั้นนะคะ”

“เพราะอีกไม่นานเลดี้ก็จะกลายเป็นผู้ใหญ่แล้ว จู่ๆเลยนึกออกครับ หากจู่ๆญาติสักคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาแล้วเลดี้หายตัวไปจะทำอย่างไรล่ะ หากเขาบอกว่าไม่ชอบผมขึ้นมา จะทำอย่างไรล่ะ ต้องกั้นเขตพรมแดนเลยไหมเนี่ย”

เพราะอาซทำท่าทางแสร้งกังวลเกินจริงราวกับเล่นละครอยู่อย่างนั้นทำให้อาเรียอดหัวเราะออกมาเสียไม่ได้

“ดูท่าผมคงจะกังวลมากสินะครับ เพราะเคยฝันว่าเลดี้จะหนีผมไปด้วยนี่ครับ”

อาเรียที่ทำอะไรหลายอย่างได้ด้วยตัวเอง แม้จะไม่ได้แต่งงานกับมกุฎราชกุมารก็สามารถใช้ชีวิตได้ด้วยตัวเองอยู่แล้ว

บางทีหากเธอไม่มีความสามารถอะไรจนต้องพึ่งพาเขา ก็ไม่รู้ว่าแบบนั้นคงจะสบายใจมากกว่าหรือเปล่า ทว่าเรื่องแบบนั้นจะไม่เกิดขึ้นและอาซก็ไม่ได้หวังว่ามันจะเกิดขึ้นเช่นกันจึงยอมแพ้มาพักใหญ่แล้ว

“ไม่รู้สิคะ หากเพิ่งปรากฏตัวเอาตอนนี้คงจะดูน่าสงสัยอยู่ไม่น้อยเลย”

“หมายความว่าอย่างไรเหรอครับ”

“ในตอนที่ลำบากแทบตายกลับไม่โผล่มาแม้แต่เงา แต่พอพึ่งตัวเองจนสามารถใช้ชีวิตได้คนเดียวแล้วจู่ๆก็โผล่มาแบบนี้หมายความว่าอย่างไรกันล่ะคะ ไม่มีทางจะยินดีที่ได้พบหรอกค่ะ”

และในอดีตเธอเติบโตถึงวัยยี่สิบกลางๆจนกระทั่งได้ลิ้มรสความตายยังไม่มีญาติคนไหนโผล่มาสักคน จู่ๆจะมาปรากฏตัวตอนนี้เนี่ยนะ แน่นอนว่าต้องสงสัยเจตนาจริงๆอยู่แล้ว

  “อย่างนั้นสินะคะ หากมีเหตุผลที่ปรากฏตัวไม่ได้ และเป็นคนที่แม้เลดี้จะไม่มีอะไรเลยก็ไม่ได้สนใจเท่าไรนักล่ะครับ

จะว่าไปคำถามที่จู่ๆเพิ่งนึกได้กลับเริ่มอธิบายรายละเอียดมากขึ้น ทำให้อาเรียส่ายหน้าอีกครั้ง

“หากดูตามเหตุผลแล้วอาจจะตัดสินใจต่างออกไปก็ได้… ไม่รู้สิคะ คงจะไม่ปฏิเสธนะคะ”

“…ทำไมล่ะครับ”

“เพราะดูเหมือนว่าคุณอาซจะไม่ชอบด้วยน่ะค่ะ”

แม้ปากจะบอกว่าแค่คิดแบบนั้น แต่กลับมองด้วยสายตาที่สั่นไหวราวกับอ้อนวอนขอร้องอย่าทำแบบนั้น มีหรือจะไม่เห็นด้วย

ยิ่งไปกว่านั้นคนที่จะใช้ชีวิตไปกับเธอในอนาคตไม่ใช่ญาติที่เพิ่งติดต่อมาแต่เป็นอาซต่างหาก และที่ผ่านมาคนที่คอยปลอบเธอก็มีแต่อาซ มาเผยตัวตนว่าเป็นพ่อแท้ๆของเธอตอนนี้จะพาตัวกลับไป ก็ไม่รู้สึกซาบซึ้งใจเท่าไรแล้ว

คำตอบที่ไม่เหลือช่องว่างแม้แต่นิด ทำให้รถม้ากระเทือนเล็กน้อย แม้จะไม่ได้รู้สึกมากเท่าไร แต่จิตใจของมาร์ควิสกลับได้รับความกระทบกระเทือนอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน

……………………….