* * *

“โชคร้ายที่ไม่เป็นไปตามที่มาร์ควิสหวังนะ”

แม้อาซจะพูดอย่างนั้นแต่กลับเผยสีหน้าสดใส แม้จะไม่ใช่สีหน้าของผู้ที่ยินดีในความทุกข์ของคนอื่นก็ตาม มาร์ควิสเปียสต์กลับยอมรับโดยดี

“…อย่างนั้นสินะครับ ขอบคุณท่านที่ให้การช่วยเหลือนะครับ”

มาร์ควิสเปียสต์ที่ได้ยินความเห็นจากอาเรียแล้ว จึงไม่พูดว่าจะพาอาเรียกลับไปอีก

อาซพอใจกับผลลัพธ์นั้นพลางถามเขาว่าจะทำอย่างไรต่อ

“แล้วต่อไปท่านจะทำอย่างไรต่อล่ะ ทั้งเคาน์ติส อาเรียต่างหลุดมือไปทั้งคู่เช่นนี้”

“ก่อนอื่น… จะลองพูดคุยกับเคาน์ติสดูก่อนครับ แม้ว่าเลดี้จะบอกว่าไม่ชอบอย่างไรก็ตาม แต่เรื่องความสัมพันธ์ทางสายเลือดนั้นเป็นปัญหาอื่นนี่ครับ”

“เป็นความคิดที่ดี คงจะดีกว่าทำให้เลดี้ต้องสับสน”

“ครับ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม คิดว่าฟังจากเคาน์ติสโดยตรงน่าจะดีกว่า”

สุดท้ายแล้วก็พาตัวกลับไปยังโครอาไม่ได้ แทนที่จู่ๆ จะมาสารภาพว่าเธอเป็นสายเลือดมาร์ควิสนั้น ค่อยๆ เปิดเผยข้อมูลอย่างช้าๆ น่าจะดีเสียกว่า

ไม่ว่าจะด้วยทางไหนก็กระทบกระเทือนจิตใจทั้งสองทาง อาจจะดีกว่าถ้าเธอฟังแม่ที่คอยอยู่กับเธอมาตลอดแทนที่จะฟังคนแก่แปลกหน้าอย่างเขา

“ขอโทษนะครับ รบกวนให้การช่วยเหลืออีกสักครั้งจะได้หรือไม่ครับ”

“ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่ยากเท่าไหร่นะ ช่วยเรื่องอะไรล่ะ”

“ช่วยจัดแจงที่นั่งให้ผมได้พูดคุยกับเคาน์ติสได้ไหมครับ เพราะเคยไปเยือนคฤหาสน์ท่านเคานต์ในฐานะอื่นแล้ว จะไปเยือนอีกครั้งดูท่าจะยากน่ะครับ…”

“ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ได้สิ”

อาซตกลงให้การช่วยเหลือมาร์ควิสอย่างยินดี ได้สมหวังในสิ่งที่ต้องการทั้งยังรู้เรื่องราวที่เคยสงสัย ไม่มีอะไรที่จะช่วยไม่ได้

ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเหตุผลอื่นที่อาซช่วยเหลือมาร์ควิส เพราะเขาต้องการจะเข้าร่วมพูดคุยในที่นั้นพร้อมกันกับเคาน์ติสและมาร์ควิสด้วยเช่นกัน

จากนั้นไม่นานเขาก็ได้พบกับเคาน์ติส ทันทีที่มีจดหมายส่งมาว่าวิลล่าที่เธอซื้อมีปัญหา เคาน์ติสก็ปรากฏตัวขึ้น ณ ที่นัดหมายด้วยความเร่งรีบ

“เจ้าชาย…!”

“ไม่ได้เจอกันนานนะครับ เคาน์ติสเชิญนั่งครับ”

เป็นจดหมายที่ส่งมาจากสำนักงานราชการนี่นา แต่ทำไมมกุฎราชกุมารถึงได้ปรากฏตัวด้วยนะ

เมื่อลองคิดโดยละเอียดแล้วดูแปลกตั้งแต่การที่เลือกจุดนัดหมายเป็นคาเฟ่ หากเกิดปัญหาอะไรก็ต้องถูกพาตัวไปยังหน่วยราชการอย่างไรล่ะ

แม้จะต่างจากคาเฟ่อื่นตรงที่เป็นห้องแยกออกมาแต่ก็ไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะกับการว่าราชการเท่าไหร่นัก เมื่อเคาน์ติสสังเกตเห็นว่าเขามากับชายที่เพิ่งมาเยือนคฤหาสน์เมื่อครั้งก่อนก็เผยสีหน้าตกใจพลางนั่งลงฝั่งตรงข้าม

“ผมสั่งชาไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่รู้จะถูกปากหรือเปล่าครับ”

“มะ ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณนะคะ”

เคาน์ติสยื่นมือที่สั่นเทาประคองถ้วยชาขึ้นมาดื่มพลางตั้งสติ ไม่รู้ว่าคิดจะทำอะไรถึงกับส่งจดหมายมาหลอกเธอแบบนี้

เป็นห่วงพลางรอจังหวะให้อาซพูด แต่จู่ๆ คนที่เริ่มพูดกลับเป็นมาร์ควิสเปียสต์

“ที่จริงแล้วคนที่เรียกเคาน์ติสมาก็คือผมครับ”

“…ทำไมล่ะคะ”

“เพราะมีเรื่องที่อยากจะถามน่ะครับ”

คนที่ได้รับความเมตตาจากท่านเคานต์ทำไมถึงเรียกเธอมาล่ะ จับทางไม่ถูกพลางกลืนน้ำลายที่แห้งเหือดรอคำตอบอยู่ ทว่าคำพูดที่ออกจากปากของเขากลับเป็นเรื่องไม่คาดคิด

“เคาน์ติสรู้จักโคลอีไหมครับ”

“…ใครนะคะ”

“โคลอีน่ะครับ เขาบอกว่า… เคยพบกับเลดี้ที่มีนัยน์ตาสีเขียวและผมสีทอง เมื่อ 17ปีที่แล้วครับ ลูกชายของผมที่คล้ายกับเลดี้อาเรียน่ะครับ”

เคาน์ติสได้ยินเช่นนั้นจึงเผยสีหน้าบึ้งตึงพลางขมวดคิ้ว เพราะนึกไม่ออกว่าเป็นใครจึงส่งสายตาราวกับกังวล แต่จะว่าไง ชายที่เธอได้พบแค่ครั้งเดียวเมื่อสิบปีก่อนจะนึกออกได้อย่างไรกัน

ยิ่งไปกว่านั้น หากเป็น 17 ปีที่แล้ว… ก็เป็นช่วงที่เธอยังทำงานโสเภณีอยู่ ชายที่พบในช่วงเวลาที่เธอไม่อยากแม้แต่จะย้อนคิดเนี่ยนะ

“…หรือว่า ท่านหมายถึงชายคนนั้นเหรอคะ”

แม้จะพูดอย่างนั้นก็ตามเพราะเขามีรูปลักษณ์โดดเด่นยากที่จะลืม ผ่านไปไม่นานเคาน์ติสก็เบิกตาโตขึ้นพลางถามอีกครั้ง แม้ในความทรงจำจะเหลือน้อยนิด แต่ด้วยรูปลักษณ์ที่อาเรียได้รับมาทำให้เธอสามารถนึกขึ้นได้

“…ทำไมถึงถามเรื่องนั้นล่ะคะ เป็นแค่คนที่เคยเจอเมื่อนานมาแล้วเท่านั้นเอง”

และก็พบในฐานะลูกค้าของเธอ

เป็นความสัมพันธ์ที่นานมากจนแทบจะจำไม่ได้หากไม่ใช่เพราะหน้าตาของอาเรียที่ได้จากเขามา

รูปลักษณ์ภายนอกที่งดงามจนยากจะเชื่อว่าเป็นผู้ชายที่เคยทำให้เธอตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบ ทั้งยังใช้คำพูดเยินยอว่าจะทำให้เธอออกมาจากที่นั่นเพื่อทำให้เธอรู้สึกด้วย

แม้จะไม่ได้บอกชื่อหรือตำแหน่ง แต่เธอก็เคยคิดว่าผู้ชายที่อ่อนหวานเช่นนี้คงจะทำให้เธอมีความสุขได้

แต่หลังจากที่โคลอีมาหาครั้งนั้นก็ไม่เคยกลับมาอีกเลยทำให้หัวใจของเคาน์ติสที่รอคอยมาโดยตลอดค่อยๆ ถูกแช่แข็งจนเย็นยะเยือก

ทำไมจู่ๆ จึงถามถึงผู้ชายแบบนั้นกันนะ คิดแบบนั้นพลางแสดงสีหน้าไม่พอใจ ทันใดนั้นความรู้สึกลางสังหรณ์แปลกๆ ก็เข้ามา ชายที่ได้พบเพียงครั้งเดียวเมื่อสิบปีที่แล้วทำไมถึงได้นึกถึงเขาผ่านลูกสาวเธอล่ะ

ยิ่งไปกว่านั้นเวลายังน่าสงสัยอีกด้วย น่าจะเป็นเพราะเขามาพบอาเรียหลังจากพบโคลอีไม่นานสินะ

เคาน์ติสตกใจจนปิดสีหน้าไม่มิดและสองมือนั้นก็สั่นอยู่เช่นกัน มือนั้นสั่นจนน้ำชาที่อยู่ในถ้วยชาหกเลอะชุดเดรสแสนสวยของเธอ

ดูท่าว่าเธอต้องการเวลาที่เรียบเรียงความคิดนั้น อาซและมาร์ควิสทำได้เพียงมองภาพนั้นและนั่งรออย่างเงียบๆ

เคาน์ติสที่ตกอยู่ในห้วงความคิดอยู่พักใหญ่ จู่ๆ ก็เผยสีหน้าที่เคร่งขรึมราวกับเรียบเรียงความคิดนั้นได้พร้อมกับมองไปที่มาร์ควิสพลางถามคำถาม

“เพราะอย่างนั้นถึงใช้ลูกสาวของดิฉันเป็นเหยื่ออย่างนั้นหรอกเหรอคะ ต้องการเงินอย่างนั้นเหรอ”

หากไม่ใช่อย่างนั้นไม่มีทางที่เขาจะมาเยี่ยมเยียนท่านเคานต์ถึงคฤหาสน์เพียงเพื่อจะมาตอบแทนบุญคุณเล็กๆน้อยๆหรอก

แม้จะแปลกที่มกุฎราชกุมารก็อยู่ข้างๆ แต่เนื่องจากสถานการณ์ทำให้ต้องคิดเช่นนั้นอย่างเสียไม่ได้ ทันทีที่ตัดสินออกมาแบบนั้นอาซที่นั่งเงียบอยู่ก็เริ่มพูด

“เคาน์ติส ไม่ใช่อย่างที่คิดครับ ได้โปรดคลายความโกรธลงก่อนเถอะครับ ผมแนะนำตัวให้ช้าไปสินะ ผู้นี้คือมาร์ควิสเปียสแห่งอาณาจักรโครอาครับ”

“…ใครนะคะ”

เมื่ออาซแนะนำว่าชายผู้นั้นคือมาร์วิสเปียสต์อีกครั้ง เคาน์ติสก็ไม่ขยับตัวราวกับหยุดหายใจไปเสียอย่างนั้น

“โคลอีที่เคาน์ติสได้พบเป็นลูกชายคนโตของผมเองครับ แม้ว่าตอนนี้จะมั่นใจอยู่แล้วก็ตาม แต่ตอนนี้กำลังสงสัยว่าเลดี้อาเรียสืบทอดสายเลือดมาหรือเปล่าน่ะครับ หากไม่ใช่อย่างนั้น ไม่มีทางที่ใบหน้าจะคล้ายกันขนาดนี้สิครับ”

“ถ้าอย่างนั้น… อาเรียมีเชื้อสายของมาร์ควิสอย่างนั้นเหรอคะ”

“กำลังคิดเช่นนั้นอยู่ครับ”

“….”

เคาน์ติสแสดงสีหน้างุนงงราวกับไม่เชื่อ เป็นสายตาที่ไม่รู้ว่าจะรับเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องแย่ แต่เป็นเพราะเธอไม่คาดคิดเสียมากกว่า

เนื่องจากชายที่ต้องการตัวเธอมีแต่ขุนนางชนชั้นสูง เธอก็เคยคิดว่าบางทีเรื่องแบบนั้นอาจจะมีความเป็นไปได้ แต่ไม่คิดว่าจะเป็นชายในตระกูลของมาร์ควิส

“เพราะบุตรชายของผมมีเรื่องนิดหน่อย จึงไม่สามารถมาพบเคาน์ติสได้… ตอนนี้เขาก็คิดถึงเคาน์ติสอยู่นะครับ หากได้รู้ว่าตนเองมีลูกสาวน่าจะปลื้มใจไม่น้อยเลยล่ะครับ”

“…ได้โปรดขอเวลาสำหรับคิดสักครู่นะคะ เพราะกะทันหันมากจนไม่รู้ว่าจะต้องตอบอย่างไรน่ะค่ะ ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังไม่แน่ใจอีกด้วย จะมาพบเพียงเพราะแค่คล้ายกันเท่านั้นหรือ…”

เคาน์ติสวางถ้วยชาแล้วตอบมาร์ควิสหลังจากเขาพูดจบ แม้รูปลักษณ์ที่งดงามของเขาจะไม่ใช่ใบหน้าที่หาเจอได้ทั่วไป แต่เพราะอาชีพเก่าของเธอทำให้ยืนยันคำพูดได้ยาก

“ไม่ต้องกังวลไปหรอกครับ เคาน์ติส ผมมีวิธียืนยันครับ”

คำพูดของอาซทำให้เคาน์ติสและมาร์ควิสหันไปมองอาซพร้อมกัน

ไม่ได้มีชื่อเขียนอยู่ที่เลือดนี่นา จะยืนยันด้วยวิธีไหนกัน ทันใดนั้นมาร์ควิสก็เบิกตาโตราวกับนึกอะไรออก

“…บ่อน้ำในปราสาท”

“ใช่แล้วครับ หากเลดี้เป็นหลานสาวของผู้ที่ได้ดื่มน้ำมนตร์อย่างเช่นท่านไวโอเล็ต เลดี้จะสามารถสัมผัสบ่อน้ำในปราสาทได้ครับ”

พวกเขาพูดเกี่ยวกับปราสาทอย่างนั้นอย่างนี้ซึ่งเธอไม่รู้เรื่องสักอย่าง อย่างไรก็ตามหลังจากได้ยินว่ามีหนทางยืนยันตัวตนอาเรียเคาน์ติสจึงพยักหน้าเบาๆ

“…ถ้าอย่างนั้นหากมั่นใจแล้วช่วยบอกดิฉันอีกครั้งนะคะ เพราะจนกว่าจะถึงตอนนั้น ดิฉันคงต้องจัดการความคิดสักหน่อยน่ะค่ะ”

เธอพูดเช่นนั้นราวกับจะจบบทสนทนา มาร์ควิสจึงถามเธอด้วยท่าทางเร่งรีบ

“หรือว่า หากไม่ว่าอะไรผมขอส่งจดหมายไปให้ได้ไหมครับ”

“…ท่านมาร์ควิสจะส่งให้ดิฉันเหรอคะ หรือว่าให้อาเรียคะ”

“ผมส่งให้เคาน์ติสน่ะครับ… ไม่สิ บางทีโคลอีก็…”

เพราะเขาทั้งคิดถึงและคอยตามหาหล่อนมาโดยตลอด อาจจะอยากพูดคุยด้วยก็เป็นได้ ไม่แน่อาจจะปลอมตัวมาในฐานะอื่นแอบเข้ามาในราชอาณาจักร

ทว่าเคาน์ติสกลับตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชาพลางลุกขึ้นจากที่นั่ง

“ไม่รู้สิคะ หญิงที่แต่งงานแล้วจะไปติดต่อรับส่งจดหมายกับผู้ชายคนนอกแบบนั้นอาจจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้สิคะ ขอโทษด้วยนะคะ หากไม่มีเรื่องอะไรแล้วดิฉันขอตัวก่อนค่ะ”

อย่างไรก็ตามเธอไม่ได้ปฏิเสธอย่างเด็ดขาดทำให้มาร์ควิสยังพอมีความหวังอยู่ มาร์ควิสที่ได้รับทั้งข่าวดีและช่องทางติดต่อเดินทางออกจากราชอาณาจักรโดยไม่เสียดายใดๆ

ในขณะเดียวกันอาซที่กลับมายังห้องปฏิบัติงานก็ก้มลงมองแหวนบนนิ้วพลางลูบไปมาและตกอยู่ในห้วงความคิด

* * *

หลังจากเสร็จกิจวัตรประจำวันจนถึงเวลาเข้านอน อาเรียที่ตั้งใจจะดื่มชาเห็นอาซที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นจึงร้องออกมาอย่างเบาๆ  แต่โชคดีที่เหล่าข้ารับใช้ไม่รู้ พลางดุอาซที่เกือบทำให้ทุกคนเห็นฉากที่ประหลาดเสียแล้ว

“คราวหน้าคราวหลังบอกก่อนจะมาสิคะ!”

“ขอโทษนะครับ”

อาซขอโทษพลางเบนสายตาไปยังแหวนที่สวมอยู่และเลยไปยังกล่องนาฬิกาทรายที่ตั้งเป็นของตกแต่ง เมื่อคิดว่าอาเรียมีสายเลือดของไวโอเล็ต จึงอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่ากล่องนั้นที่เธอพาไปด้วยทุกที่คืออะไร

“ท่านอาซ…”

อาซที่ยังไม่ละสายตาจากกล่องนั้นอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งอาเรียเรียกจึงเบนสายตากลับไปมองเธอ จากนั้นจึงบอกเหตุผลที่จู่ๆ ก็มาห้องอาเรียแบบนี้

“ไปเดินเล่นกันดีไหมครับ”

“…หนาวแบบนี้เนี่ยนะคะ”

แม้จะเป็นวันเกิดของอาเรียก็ตาม แต่เวลาดึกดื่นแบบนี้ไม่เหมาะกับการออกไปเดินเล่นเท่าไหร่ อาเรียถามอย่างฉงนใจ อาซจึงส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยนพลางถอดเสื้อคลุมตัวเองพาดไหล่ให้อาเรียพร้อมกับตอบ

“บ่อน้ำในปราสาทไม่หนาวขนาดนั้นหรอกครับ”

“คะ… บ่อน้ำในปราสาท…”

อาเรียตกใจที่จู่ๆ ก็พูดถึงบ่อน้ำในปราสาทและกำลังจะย้อนถาม  ทันใดนั้นอาซก็จับมืออาเรียพร้อมกับใช้พลังของตนเอง

มุมมองกลับเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันโดยที่ไม่ทันได้ตกใจ ทิวทัศน์ตรงหน้าที่งดงามราวกับภาพวาดในนิยายทำให้อาเรียพูดไม่ออก

“บ่อน้ำในปราสาทครับ วิวทิวทัศน์ที่งดงามและแปลกใหม่ทำให้ใจเย็นลงเป็นที่ที่ผมมาบ่อยเลยล่ะ”

“…ยิ่งใหญ่มากเลยนะคะ”

ไม่รู้ว่าเพราะเป็นเวลากลางคืนหรือเปล่า น้ำในบ่อน้ำสะท้อนแสงเป็นประกายราวกับดาวดวงเล็กๆ นั้นได้หลอมรวมเข้าด้วยกัน ทุกอย่างที่ล้อมรอบตัวทั้งคู่ต่างดูวิเศษอย่างน่าเหลือเชื่อ ตามที่อาซพูดตอนนี้ยังเป็นต้นฤดูหนาวจึงไม่รู้สึกถึงลมหนาวสักเท่าไหร่

เพราะอย่างนั้นอาเรียที่ก่อนหน้ายังตกใจอยู่ กลับเปลี่ยนสีหน้าเป็นหลงใหล

อาซที่ยืนนิ่งมองอาเรียจึงจับมือเธอพร้อมกับพาเธอไปด้านใน

“เอ่อ หญ้าที่เท้าดิฉัน…”

แม้จะคิดว่าเหยียบมันไปแล้วก็ตาม แต่น่าแปลกใจบริเวณหญ้าและดอกไม้ที่อาเรียเหยียบนั้นไม่งอหรือหัก กลับงอกขึ้นมาใหม่

สภาพแวดล้อมรอบตัวดูวิเศษไปเสียทุกอย่าง อาซจึงลองดูใต้รอยเหยียบของตัวเองบ้าง แต่หญ้าและดอกไม้พวกนั้นกลับหักงออยู่เช่นเดิม เป็นที่ที่แปลกเสียจริง

“น้ำในบ่อน้ำนี้เรียกว่าน้ำมนตร์ครับ เพราะมีตำนานว่ากันว่ามกุฎราชกุมารแห่งราชอาณาจักรรุ่นแรกถูกขึงไว้ที่แห่งนี้จึงกลายเป็นบ่อน้ำครับ”

“มีตำนานแบบนั้นอยู่ด้วยเหรอคะ…”

อาเรียตอบพร้อมกับตาเป็นประกาย ประกายในตาเหล่านั้นมาจากแสงดวงดาวบนผืนน้ำสะท้อนเข้านัยน์ตาเธอ เธอหลงใหลบ่อน้ำนั่นเข้าอย่างจัง

ทันใดนั้นอาซจึงถามอาเรียเพื่อเริ่มเข้าประเด็น

“ลองสัมผัสดูไหมครับ”

“บ่อน้ำนี่เหรอคะ สัมผัสได้เหรอคะ”

“ครับ มีเรื่องเล่าว่าหากสัมผัสจะนำความสุขมาให้ล่ะครับ”

แม้อาซจะอนุญาตแล้วก็ตาม อาเรียยังคงลังเลไม่บังอาจจะสัมผัสบ่อน้ำ แต่อาซบอกว่าจะนำพาความสุขมาให้มีหรือจะไม่หลงใหล

จากนั้นเธอจึงย่อตัวลงพร้อมกับยื่นมือไปสัมผัสบ่อน้ำ รู้สึกได้ถึงความเย็นจากปลายนิ้ว

“เย็นนะคะ ดูเหมือนจะมีแค่บ่อน้ำนี้ที่เข้าฤดูหนาวแล้วล่ะค่ะ”

  “…อย่างนั้นเหรอครับ”

นัยน์ตาของอาซเป็นประกายตลอดเวลาที่สังเกตการณ์

อาเรียที่สัมผัสน้ำจากนั้นจึงลุกขึ้นพร้อมกับเดินเข้าไปใกล้อาซ

“ได้สัมผัสน้ำในบ่อน้ำแล้ว ตอนนี้มันจะนำความสุขมาให้ใช่ไหมคะ”

อาเรียถามอย่างนั้นพร้อมใบหน้าแดงก่ำ ดูเหมือนจะพอใจที่จู่ๆ เขามาหาตอนดึกแบบนี้ทั้งยังพามาเดินเล่นอีก

อาซตอบว่าแน่นอนพลางเบนสายตาลง หันไปมองแหวนที่ถูกสวมบนนิ้วอาเรีย ที่กำลังส่องประกายอ่อนๆ

……………………….