“ฉันพูดจริงนะคะ…” เธอมองเขาอย่างกระเง้ากระงอด 

 

 

“โอเค ผมเชื่อคุณแล้ว” เขาก้มลงหอมศีรษะเธอเบาๆ อย่างรักใคร่แล้วจับมือเธอเอาไว้ “ตามผมมา” 

 

 

“ไปไหนคะ?” ดวงตาเป็นประกายของเธอแฝงแววฉงนสนเท่ห์ 

 

 

“ไปถึงเดี๋ยวก็รู้เอง” เขาดึงเธอให้ลุกขึ้น เดินไปพูดไป 

 

 

เธอรู้สึกแปลกใจแต่ก็ยอมลุกขึ้นแต่โดยดี มือใหญ่อบอุ่นของเขาจับมือเล็กของเธอเอาไว้ มันทำให้จิตใจเธอสงบเป็นพิเศษ ราวกับว่าเรื่องงานที่ทำให้เธอกลุ้มใจมลายหายไปสิ้น 

 

 

ความรู้สึกแบบนี้ทำให้เธอมึนเมาจนไม่รู้ว่าตัวเองขึ้นไปนั่งอยู่ในรถตั้งแต่เมื่อไหร่ เธอเรียกสติคืนมาอีกครั้งก็ตอนที่รถถูกขับไปหยุดจอดอยู่ตรงหน้าร้านอาหารหรูร้านหนึ่งแล้ว 

 

 

“คุณ… คุณพาฉันมาที่นี่ทำไม?” เธอมองเขาตาปริบๆ อย่างไม่เข้าใจ 

 

 

จิ้นหยวนลงจากรถแล้วเดินอ้อมไปเปิดประตูรถให้เธอ รอจนเธอลงจากรถแล้วจึงเอ่ยขึ้น “พาคุณมาทานข้าวที่นี่ไง” 

 

 

“ความจริงคุณไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้ ฉันกินข้าวที่ออฟฟิศเองได้…” เธอเอ่ยอย่างลังเลเพราะรู้สึกว่าเขาทำมากเกินไป 

 

 

เขามองเธอแวบหนึ่งแล้วถอนหายใจอยู่ในอก ก็แค่มากินข้าวเที่ยง จำเป็นต้องกระวนกระวายมากขนาดนี้เลยหรือ? 

 

 

เธอสังเกตเห็นสายตาของเขาแล้วไม่กล้าพูดอะไรอีก จากการสังเกตพฤติกรรมของเขามาเป็นระยะเวลาที่นานพอสมควร มันทำให้เธอรู้ว่าตอนนี้เขากำลังไม่พอใจอยู่ 

 

 

เขาเป็นอะไรไป? เธอคิดอยู่ชั่วครู่แต่ก็ไม่รู้สาเหตุเสียทีจึงได้แต่ส่ายศีรษะอย่างปลงๆ ว่าจิตใจผู้ชายนั้นยากจะคาดเดาเสียจริง 

 

 

พอเดินเข้าไปในร้านเธอถึงเห็นว่าร้านอาหารร้านนี้กว้างขวางมากและร้านถูกตกแต่งอย่างหรูหรา แต่ที่น่าแปลกคือ ตอนนี้เป็นเวลามื้อเที่ยงที่ควรจะต้องมีลูกค้าแน่นร้าน แต่ในร้านกลับมีเพียงแค่เสียงเพลงที่เปิดคลอเบาๆ แต่กลับไม่มีลูกค้าแม้แต่คนเดียว  

 

 

นี่มัน… เธอส่งสายตาเต็มไปด้วยความสงสัยให้จิ้นหยวน แต่เขากลับเดินต่อโดยไม่อธิบายอะไรทั้งสิ้น เพียงไม่นานก็มีชายใส่สูทผูกเนคไทที่น่าจะเป็นผู้จัดการร้านเดินเข้ามาต้อนรับทั้งสองและเชื้อเชิญให้ไปนั่งที่โต๊ะกลางร้าน 

 

 

เธอมองจิ้นหยวนที่ไม่พูดไม่จาแล้วชักสังหรณ์ใจแปลกๆ จิ้นหยวนเห็นสายตาสงสัยของเธอแต่กลับทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ จากนั้นหยิบเมนูอาหารขึ้นมาเปิดดู “คุณดูเมนูซิว่าอยากทานอะไร” 

 

 

ทุกอย่างดูแปลกไปหมดตั้งแต่ที่เธอเดินเข้ามาในร้านแล้ว เธอรู้สึกอึดอัดมาก อยากจะถามเหลือเกินว่าเขากำลังคิดจะทำอะไรกันแน่ แต่เธอก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาเปิดเอ่นเมนูที่อยู่ในมือ ที่นี่เป็นร้านอาหารฝรั่งเศส อาหารทั้งหมดจึงเป็นอาหารขึ้นชื่อของฝรั่งเศสทั้งหมด 

 

 

ปกติแล้วเธอกินแต่อาหารจีนเสียเป็นส่วนใหญ่และไม่ค่อยชอบอาหารฝรั่งเศสสักเท่าไหร่ เธอจึงสั่งเซ็ทอาหารที่ทางร้านแนะนำแทน 

 

 

จิ้นหยวนรับเมนูอาหารมาจากเธอแล้วไม่ชายตาแลมันอีก เขายื่นเมนูอาหารให้ผู้จัดการร้านที่ยืนอย่างนอบน้อมอยู่ข้างโต๊ะ “เอาเหมือนเธออีกหนึ่งที่” 

 

 

ผู้จัดการร้านรับเมนูอาหารมาแล้วโค้งกายอย่างสุภาพ จากนั้นหมุนตัวเดินออกไป 

 

 

จิ้นหยวนหันกลับมาปะทะเข้ากับสายตาสงสัยของเฉียวซือมู่พอดี “คุณมีอะไรจะบอกฉันหรือเปล่าคะ?” เธอเอ่ยถามพลางกวาดสายตามองร้านโล่งๆ ไปทั่วร้าน 

 

 

จิ้นหยวนยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ผมเหมาร้านนี้น่ะ” 

 

 

เป็นอย่างที่เธอคิดจริงๆ ด้วย เธอเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ถ้าอยากจะทานข้าวเงียบๆ ก็เลือกที่มันเป็นห้องส่วนตัวก็ได้นี่คะ ไม่เห็นต้องทำโอเว่อร์อย่างนี้เลย เปลืองเงินเปล่าๆ” 

 

 

จิ้นหยวนดื่มน้ำเย็นอย่างใจเย็นแล้วเอ่ย “คุณพูดถูก อย่างอื่นผมมีไม่เยอะ มีแต่เงินที่เยอะ” 

 

 

“คุณนี่หน้าไม่อายจริงๆ” เธอหัวเราะพลางส่ายศีรษะน้อยๆ แต่เขาก็พูดถูก ตอนนี้ธุรกิจของจิ้นซื่อกรุ๊ปกำลังเจริญก้าวหน้าถึงขีดสุด ขนาดคนที่ไม่ค่อยได้ทำข่าวเศรษฐกิจอย่างเธอยังเห็นข่าวของเขาอยู่บ่อยๆ แล้วนับประสาอะไรกับคนที่อยู่ในแวดวงเดียวกับเขา 

 

 

ยามนี้แววตาของจิ้นหยวนลึกล้ำยากจะคาดเดาดั่งราชสีห์ที่กำลังจ้องจะขย้ำเหยื่อ เขามองเธอนิ่งแล้วเอ่ย “อาหารร้านนี้อร่อยใช้ได้ คุณลองทานดู” 

 

 

“ค่ะ” เธอพยักหน้าหงึกๆ คิดๆ แล้วเอ่ยถาม “ตอนนี้ที่บริษัทคุณไม่ยุ่งเหรอคะ?” 

 

 

เขาเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ “ผมเสียเงินจ้างคนตั้งเยอะแยะ ก็ต้องให้พวกเขาทำงานบ้างสิ จริงไหม?” 

 

 

เธอหัวเราะ “ไม่รู้ว่าใครกันนะที่ช่วงก่อนยังงานยุ่งทุกวันจนแทบจะไม่มีเวลานอน” 

 

 

จิ้นหยวนคลี่ยิ้มน้อยๆ “นั่นเป็นเพราะว่า…” 

 

 

จู่ๆ เขาก็หยุดพูดราวนึกอะไรขึ้นมาได้จนทำให้เธอต้องเอ่ยถามขึ้นด้วยความอยากรู้ “เพราะอะไรคะ?” 

 

 

เขาชะงักเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ “เพราะต้องรับมือกับคู่แข่งที่ฝีมือไม่เบาคนหนึ่ง”  

 

 

“คู่แข่งเหรอคะ?” เธอเอ่ยช้าๆ พลางมองใบหน้าไม่บอกอารมณ์ของจิ้นหยวน หัวใจของเธอกระตุกอย่างแรงจนไม่กล้าเอ่ยถามอะไรอีก 

 

 

อย่าบอกนะว่าเป็นจ้านซีเยวี่ย? หรือว่าฉีหย่วนเหิง? 

 

 

น่าจะเป็นไปได้ทั้งสองคน เพราะฉะนั้นเธอจะคุยเรื่องนี้ต่อไม่ได้แล้ว เธอรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที เธอครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้นใหม่ “คุณรู้หรือเปล่าคะว่าเมื่อก่อนฉันไม่ค่อยชอบอาหารฝรั่งเศสสักเท่าไหร่ ตอนหลังที่บ้านได้พ่อครัวมาใหม่คนหนึ่ง ตอนแรกจะหาพ่อครัวทำอาหารจีน แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น สุดท้ายคุณพ่อถึงได้หาพ่อครัวที่ทำเป็นแต่อาหารฝรั่งเศสมาแทน…” 

 

 

เธอเปลี่ยนหัวข้อสนทนาได้แข็งกระด้างไปหน่อย แต่โชคดีที่มันยังฟังดูน่าสนใจอยู่บ้าง ตอนแรกจิ้นหยวนเพียงแค่นั่งฟังเฉยๆ แต่สุดท้ายเขาก็ถูกคำพูดของเธอดึงดูดจนต้องตั้งใจฟัง สองหนุ่มสาวใกล้ชิดกันมาก คนหนึ่งพูดคนหนึ่งฟัง คนหนึ่งหล่อเหลาคนหนึ่งสวยงาม ทั้งสองดูเหมาะสมกันราวกิ่งทองใบหยก 

 

 

ความจริงร้านอาหารร้านนี้มีบริกรหนุ่มสาวเยอะมาก แต่ถูกจิ้นหยวนสั่งให้ออกไปข้างนอกจนหมด แต่ละคนอยากรู้อยากเห็นจนต้องไปยืนออกันอยู่ข้างในประตูห้องครัวแล้วยื่นศีรษะโผล่ออกไปสังเกตการณ์บรรยากาศในร้านอาหาร เมื่อเห็นภาพสวยงามดุจภาพวาดสีน้ำมันแล้วต่างพากันเบิกตาโตด้วยความชื่นชมและส่งเสียงพูดคุยเจื้อยจ้าวไปด้วย 

 

 

“ดูสิ พวกเขาดูเหมาะสมกันมากเลยเนอะ…” 

 

 

“ใช่ๆ สวยมาก ช่างเป็นภาพที่งดงามอะไรอย่างนี้…” 

 

 

และมีคนที่อิจฉาริษยาเฉียวซือมู่อยู่ด้วย “ฉันว่าผู้หญิงก็ดูธรรมดา ผู้ชายคนนั้นได้แฟนอย่างนี้ถือว่าขาดทุน…” คนที่พูดจากระแนะกระแหนถูกโจมตีทันที “เธอสวยจะตาย หรือว่าเธอคิดว่าตัวเองสวยกว่า?” 

 

 

“นั่นนะสิ ทำไมต้องอิจฉาคนที่ได้ดีกว่าด้วย…” 

 

 

“จริงสิ ฉันเหมือนจะเคยเห็นผู้ชายคนนี้ที่ไหน พวกเธอไม่รู้สึกเหรอว่าคุ้นหน้าเขามากน่ะ?” จู่ๆ บริกรคนหนึ่งก็เอ่ยแทรกขึ้น 

 

 

พอเขาเอ่ยทักขึ้นมาคนอื่นๆ ก็เหมือนจะคิดอะไรออกเหมือนกัน “ใช่ พอเสี่ยวหลินพูดแบบนี้แล้วก็เหมือนจะ…”  

 

 

“อ๊ะ… ฉันนึกออกแล้ว ผู้ชายคนนั้นเป็นท่านประธานจิ้นแห่งจิ้นซื่อกรุ๊ปไม่ใช่เหรอ?” 

 

 

“ใช่ๆ ที่แท้ก็เป็นเขานี่เอง… ตอนที่ฉันเห็นรูปถ่ายของเขาในอินเทอร์เน็ตก็รู้สึกว่าเขาหล่อมากแล้วนะ แต่พอมาเห็นตัวจริงของเขาแล้วถึงได้รู้ว่าช่างภาพพวกนั้นถ่ายรูปได้ห่วยมาก ตัวจริงหล่อกว่าในรูปถ่ายตั้งเยอะเลย…”  

 

 

บริกรสาวๆ มองจิ้นหยวนตาเป็นประกายจนน้ำลายแทบหก แต่ละคนยื่นคอยืดคอยาวหวังจะได้ชื่นชมท่านประธานจิ้นที่ได้แต่เห็นตามหน้าข่าวให้เต็มตา หากไม่ใช่เพราะที่นั่งของจิ้นหยวนกับห้องครัวห่างกันมากพอสมควร ป่านนี้เขาคงเห็นพฤติกรรมไม่น่าพิสมัยของบริกรเหล่านั้นแล้ว 

 

 

ในขณะเดียวกัน มีใครคนหนึ่งฉวยโอกาสที่ทุกคนกำลังให้ความสนใจลูกค้าสุดพิเศษอยู่โดยการหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมา