ตอนที่ 663 การลงโทษ / ตอนที่ 664 ดวงตาเผยความรู้สึก

เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ

ตอนที่ 663 การลงโทษ

 

 

คนที่พวกเขาคาดคิดไม่ถึงยิ่งกว่าก็คือ ซูหลีที่เข้าร่วมการว่าราชกิจยามเช้าในวันนี้เป็นวันแรก!

 

 

ความคิดของคนผู้นี้ช่างละเอียดรอบคอบ ความแข็งแกร่งภายในใจของเขาช่างเหนือความคาดหมายของทุกคน

 

 

เห็นได้ชัดว่าในมือเขากุมหลักฐานที่มีน้ำหนักเอาไว้อยู่ ทว่าเขากลับเก็บอาการเอาไว้ไม่แสดงอะไรออกมาทั้งสิ้น เขารอให้คนสกุลเฉิงพูดโต้แย้งทีละก้าว จากนั้นถึงหยิบสิ่งที่เตรียมเอาไว้ออกมา!

 

 

แผนการเช่นนี้ช่างล้ำลึกยิ่งนัก!

 

 

โดยเฉพาะการปฏิบัติทุกอย่างด้วยความระมัดระวังทุกฝีก้าว ทำให้กระดานในครานี้กลายเป็นกระดานที่เข้าตาจน แม้กระทั่งเฉิงเหว่ยก็ยังถูกดึงเข้ามาในเรื่องนี้…

 

 

คนจำนวนไม่น้อยคิดได้เช่นนั้น ร่างกายก็สั่นเทิ้มด้วยความหนาวเหน็บอย่างห้ามไม่ได้

 

 

ช่างเป็นลูกวัวที่ไม่กลัวเสือ!

 

 

สกุลเฉิงล่วงเกินซูหลี ถึงได้ถูกคำพูดเลื่อนลอยและสิ่งของเพียงไม่กี่ชิ้นทำให้กลายเป็นเช่นนี้ได้!?

 

 

“ฝะ ฝ่าบาทโปรดยกโทษให้กระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” ทันใดนั้นเฉิงเหว่ยก็ทนต่อไปไม่ไหวแล้ว เขาแทบจะแข้งขาอ่อนยวบลงไปทันใดและคุกเข่าลงไปเช่นนี้

 

 

มีทั้งหลักฐานและพยานเช่นนี้ เมื่อครู่เขายังสามารถเถียงข้างๆ คูๆ ได้ กล่าวว่าซูหลีมีความแค้นต่อเฉิงเค่อ กล่าวว่าลู่เหมียนเหมียนมีแผนการเช่นนี้เพราะรักแต่ไม่ได้ครอบครอง

 

 

ทว่าหลังจากผงยาคลายเส้นเอ็นกับใบสั่งยาที่จางย่วนพั่นเขียนด้วยตนเองเปิดเผยออก เขาก็พูดอะไรไม่ได้แล้ว!

 

 

หลักฐานที่หนักแน่นดุจขุนเขาเช่นนี้ เขายังจะสามารถแก้ตัวอะไรได้อีก!?

 

 

ซูหลีชำเลืองเห็นสีหน้าของเฉิงเหว่ย ริมฝีปากจึงแสยะยิ้มเย็น

 

 

ศาลต้าหลี่เป็นสถานที่แห่งใดกัน ราชวงศ์ต้าโจวมีกรมอาญา กรมอาญานั้นมีหน้าที่ควบคุมกฎหมายทั้งราชวงศ์ ทว่าหากพบคดีพิเศษจะส่งมอบให้ศาลต้าหลี่จัดการ

 

 

ชีวิตคนสกุลหลี่หนึ่งร้อยสี่สิบสามชีวิต ไม่มีใครหลงเหลือสักคน

 

 

นี่เป็นผลสุดท้ายจากการตรวจสอบตลอดหลายเดือนของศาลต้าหลี่

 

 

แน่นอนว่าศาลต้าหลี่สามารถทำได้เพียงตรวจสอบคดีเท่านั้น ไม่สามารถลงโทษได้ การประหารชีวิตทั้งครอบครัวเป็นคำสั่งที่ฮ่องเต้องค์ก่อนถ่ายทอดออกมา ทว่าหากพูดตามข้อเท็จจริงแล้ว ผู้ที่ตรวจสอบว่าสกุลหลี่มีความผิดนั้นก็คือศาลต้าหลี่

 

 

ทว่าผ่านไปสองปีจนถึงวันนี้ คนภายนอกจะยังไม่เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่าสกุลหลี่กระทำสิ่งใดผิด เพียงรู้แค่ว่าเป็นโทษอันใหญ่หลวงที่ไม่สามารถละเว้นได้ ถึงถูกประหารทั้งสกุลเช่นนี้

 

 

ทว่ากลับไม่ได้รับเหตุผลของผู้บังคับบัญชาของศาลต้าหลี่ และนั่นก็คือเฉิงเหว่ย

 

 

เฉิงเหว่ยนั้นตรวจสอบคดีอย่างไร ซูหลีไม่อาจรับรู้ได้ ทว่านางรู้แค่ว่าเฉิงเหว่ยไม่ใช่บุคคลที่ไม่มีความผิด

 

 

ครั้นคิดถึงเรื่องของสกุลหลี่ สีหน้าของซูหลีก็เย็นชาไปหลายส่วน

 

 

ซูไท่ยืนอยู่ภายในกลุ่มขุนนาง เขาจับตามองที่บุตรของตนปราดหนึ่ง พลันรู้สึกว่าซูหลีในเวลานี้ดูเหมือนคนแปลกหน้าเป็นอย่างมาก

 

 

ไม่ว่าจะเป็นสีหน้าหรือความประพฤติ ล้วนไม่เหมือนบุตรที่ไม่ฟังคำสั่งสอนของเขาคนนั้นเลยสักนิด

 

 

“ถ่ายทอดคำสั่งของเราออกไป”

 

 

ฉินเย่หานที่นั่งอยู่เบื้องบนพลันเอ่ยปากขึ้น ซูหลีหวนสติกลับคืนมา และตั้งใจฟังคำพูดของฉินเย่หานอย่างละเอียดถี่ถ้วน

 

 

“เฉิงเค่อ บุตรของเฉิงเหว่ยผู้บัญชาการศาลต้าหลี่ พยายามปล้นสวาทสตรี ทำตัวเหลวไหลตามอำเภอใจ ถือว่าเป็นโทษร้ายแรง นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ถูกเพิกถอนออกจากตำแหน่งชื่อเสียง ไม่สามารถเข้าร่วมการสอบเคอจวี่ได้ตลอดชีวิต ลงโทษสถานหนักโดยการโบยแปดสิบครั้ง!”

 

 

กฎหมายของราชวงศ์ต้าโจว โทษของการมั่วโลกีย์จักต้องลงโทษด้วยการโบยแปดสิบครั้ง ฉินเย่หานจัดการลงโทษเขาอย่างยุติธรรม ซูหลีจึงไม่อาจพูดอะไรออกมาได้

 

 

“เฉิงเหว่ย ผู้บัญชาการศาลต้าหลี่ สั่งสอนบุตรอย่างไม่ถูกวิธี ทั้งยังปล่อยให้บุตรกระทำผิดโดยไม่ห้ามปรามจนทำผิดเช่นนี้ ความผิดร้ายแรง ดังนั้นลงโทษลดเบี้ยหวัดหนึ่งปี และลดขั้นเป็นรองผู้บัญชาการขั้นห้า!”

 

 

ในเวลานี้ช่างดีนัก เฉิงเหว่ยพยายามมาครึ่งชีวิตเพิ่งจะไต่ขึ้นไปอยู่ตำแหน่งผู้บัญชาการศาลต้าหลี่ได้ เพียงชั่วพริบตาเดียวเขากลับถูกลดตำแหน่งเป็นรองผู้บัญชาการเท่านั้น

 

 

สีหน้าของเฉิงเหว่ยซีดเผือด เขาเกือบจะทรุดตัวลงไปนั่งที่พื้นเหมือนบุตรของตนจนลุกขึ้นมาไม่ไหวแล้ว!

 

 

ทว่าเขาทราบดี การลงโทษเช่นนี้ถือว่าเป็นโทษสถานเบาแล้ว ลู่เหมียนเหมียนเป็นถึงบุตรีของสกุลขุนนาง ซึ่งแตกต่างจากชาวบ้านสามัญชนทั่วไป ฉินเย่หานไม่คร่าชีวิตของเฉิงเค่อ นั่นก็ถือว่าเป็นพระกรุณาของฮ่องเต้แล้ว

 

 

“กระหม่อมขอบพระทัยฝ่าบาท!” เมื่อรับคำลงโทษ เขายังต้องเอ่ยขอบคุณในพระกรุณา สีหน้าของเฉิงเหว่ยย่ำแย่จนถึงขีดสุด

 

 

ซูหลีที่ยืนอยู่ด้านข้างฉีกยิ้มที่มุมปากบางๆ จะรีบร้อนไปทำไม นี่เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น

 

 

เมื่อเอ่ยว่าจะคิดบัญชีกับพวกเขา นางก็ไม่พูดเพียงลมปากเท่านั้น

 

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 664 ดวงตาเผยความรู้สึก

 

 

“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” ในขณะที่ทุกคนคิดว่าเรื่องนี้จบลงเช่นนี้แล้ว จู่ๆ พลันมีคนผู้หนึ่งลุกขึ้นยืนจากด้านข้าง

 

 

ซูหลีเหลือบตามองปราดหนึ่ง จากนั้นจึงหรี่ตาลงเล็กน้อย คนที่ลุกขึ้นยืนกลับเป็นคนที่นางคาดไม่ถึง

 

 

“เรื่องนี้เป็นความผิดของใต้เท้าเฉิงกับคุณชายเฉิง ทว่าใต้เท้าซูมัดคนเข้ามาในท้องพระโรง อากัปกิริยาที่เหิมเกริมเช่นนี้เป็นการไม่เห็นผู้อื่นในสายตา ไม่เคารพฮ่องเต้ไม่นับถือท้องพระโรง หากปล่อยเรื่องนี้เลยตามเลย จะเป็นตัวอย่างไม่ดีเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าราชสำนักคงจะวุ่นวาย”

 

 

ป๋ายไต้ซือพูดจบก็เดินออกมาด้านหน้าก้าวหนึ่งและคำนับอย่างนอบน้อม แล้วเอ่ยว่า “กระหม่อมอยากจะขอร้องให้ฝ่าบาทลงโทษใต้เท้าซูที่ปฏิบัติตัวไร้มารยาทด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

มิผิด คนที่ลุกขึ้นยืนขอร้องให้ฮ่องเต้ลงโทษซูหลี ก็คือป๋ายไต้ซือ บิดาของป๋ายถานและป๋ายเฮ่อ!

 

 

ซูหลีกวาดตามองเขาด้วยรอยยิ้มที่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มปราดหนึ่ง ดูเหมือนว่าการเข้ามาในท้องพระโรงครั้งแรกของนางจะดึงดูดความสนใจของคนจำนวนไม่น้อย บัดนี้ยังมีคนเริ่มใช้อำนาจข่มขู่นางแล้ว

 

 

น่าเสียดาย…

 

 

หากในยามปกติคงจะเห็นผลดั่งที่คาดไว้ อย่างไรป๋ายไต้ซือก็เป็นขุนนางอาวุโสที่อยู่มาสองรัชสมัย อำนาจในการพูดบนท้องพระโรงจึงไม่ใช่สิ่งที่ซูหลีจะเทียบได้ ทว่า…

 

 

ซูหลีแค่นยิ้มเย็นออกมา เกรงว่าจะทำให้พวกเขาผิดหวังเสียแล้ว!

 

 

“กระหม่อมคิดว่าที่ป๋ายไต้ซือกล่าวมาถูกต้องที่สุดพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

“ไม่ปฏิบัติตามกรอบธรรมเนียม ควรจะลงโทษเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

เมื่อไป๋ใต้ซือเอ่ยเช่นนี้ เนื่องจากเขาเป็นผู้นำของคนจำนวนมาก ขุนนางทางด้านนั้นจึงต่างผุดขึ้นขอร้องให้ลงโทษซูหลี

 

 

ใบหน้าของฉินเย่หานยังไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ แววตาของเขาเย็นยะเยือกกวาดมองซูหลีปราดหนึ่ง เขาเห็นซูหลีไม่มีอาการตื่นตระหนกเพียงเพราะคำพูดของป๋ายไต้ซือ มีเพียงรอยยิ้มบนใบหน้าที่เบาบางลงไปบ้างเท่านั้น

 

 

เช้าวันนี้ทั้งท้องพระโรงวุ่นวายเป็นอย่างมาก มีเพียงไม่กี่คนไม่สะทกสะท้านกับเรื่องนี้

 

 

คนหนึ่งคือผู้มีรูปโฉมหล่อเหลาอย่างไหวอ๋อง ฉินม่อโจว อีกคนหนึ่งคือคนสนิทของฮ่องเต้ จี้เหิงหราน

 

 

ฉินม่อโจวไม่รู้ว่าซูหลีคิดจะทำอะไรกันแน่ เขาไม่อาจมีส่วนร่วมได้ ส่วนจี้เหิงหรานนั้น…ความรู้สึกของเขานั้นซับซ้อนมาก เพียงแต่ครานี้เขาไม่ได้เข้าช่วย แต่ก็ไม่ได้เข้าไปเหยียบย่ำซ้ำเติม กลับทำให้ผู้อื่นมองไม่ออกว่าเขาคิดอย่างไรกันแน่

 

 

นอกจากพวกเขาแล้ว ยังมีพวกสกุลเซี่ย

 

 

เซี่ยเก๋อเหล่ากับบัณฑิตเซี่ยยืนอยู่ด้วยกัน ทว่ากลับยืนก้มหน้าก้มตามาโดยตลอด อยู่ในท่าทางที่คล้ายดั่งไม่สนใจเรื่องทางโลก

 

 

เซี่ยอวี่เสียนกลับรู้สึกเป็นห่วงซูหลีมาก น่าเสียดายที่บัดนี้เขายังไม่เป็นขุนนางอย่างเป็นทางการ ที่สามารถเข้าร่วมการว่าราชกิจ ก็แค่อาศัยชื่อเสียงของบัณฑิตจอหงวนในการสอบเอินเคอเท่านั้น ยามอยู่ในท้องพระโรงเขาไม่มีอำนาจในการพูดยิ่งกว่าซูหลีเสียอีก

 

 

เขาทำได้เพียงร้อนใจ ทว่าไม่สามารถช่วยอะไรซูหลีได้

 

 

เป็นประจวบที่ซูหลีที่ถูกป๋ายไต้ซือร้องเรียนจึงหันศีรษะมาพอดี ถึงได้สบเข้ากับแววตาที่เป็นกังวลของเซี่ยอวี่เสียนพอดี

 

 

นางผงะไปครู่หนึ่ง นางรู้สึกอบอุ่นในใจ จากนั้นจึงฉีกยิ้มให้กับเซี่ยอวี่เสียน

 

 

เซี่ยอวี่เสียนถึงกับอึ้งไป เขาคิดไม่ถึงว่าซูหลีจะสามารถฉีกยิ้มในเวลานี้ได้ เมื่อคิดดูแล้วนางคงจะสามารถรับมือกับเรื่องเหล่านี้ได้ เขาจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ แววตาที่มองนางก็อ่อนโยนลงไปด้วย

 

 

ทว่าพวกเขาทั้งสองคนไม่ทราบว่า อากัปกิริยาของพวกเขาทั้งสองคนนั้นถูกฉินเย่หานมองออกอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว

 

 

แม้ใบหน้าของฉินเย่หานจะไม่แสดงอาการออกมา ทว่ารังสีรอบร่างกายของเขานั้นเปลี่ยนเป็นหนาวยะเยือก

 

 

หวงเผยซานที่ยืนอยู่เบื้องหลังฉินเย่หาน ถึงกับขาสั่นอย่างห้ามไม่ได้

 

 

นะ…นี่จู่ๆ ฮ่องเต้ทรงเป็นอะไรไปแล้ว

 

 

“ซูหลี!” ทางด้านหวงเผยซานยังไม่เข้าใจ ก็ได้ยินเสียงเยียบเย็นของฉินเย่หานเอ่ยชื่อของซูหลี

 

 

ภายในท้องพระโรงพลันเงียบลงทันใด ทุกคนต่างพากันมองไปทางซูหลี

 

 

“…กระหม่อมอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ” ซูหลีผงะไปทันที ใบหน้ามีความตื่นตระหนก นี่ฉินเย่หานคงจะไม่ใช่เชื่อคำพูดของป๋ายไต้ซือกระมัง

 

 

เป็นไปไม่ได้กระมัง!?