ตอนที่ 665 หรือเสียสติไปแล้ว / ตอนที่ 666 ใครเสียสติ

เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ

ตอนที่ 665 หรือเสียสติไปแล้ว

 

 

เป็นสามีภรรยาวันเดียวความสัมพันธ์แน่นแฟ้น แม้พวกเขาจะไม่ถือว่าเป็นสามีภรรยากันอย่างเป็นทางการ ทว่าก็เคยผ่านเรื่องอะไรนั่นแล้ว

 

 

ฮ่องเต้จะลงโทษอย่างไร้เมตตาได้จริงๆ หรือ

 

 

“เจ้ารู้ถึงความผิดหรือไม่” ฉินเย่หานมองนางอย่างเคร่งขรึม น้ำเสียงของเขาเย็นยะเยียบ

 

 

ป๋ายไต้ซือที่ลุกขึ้นยืนเพื่อร้องเรียนซูหลีเป็นคนแรก เมื่อเขาได้ยินคำพูดของฉินเย่หาน มุมปากจึงยกขึ้นเล็กน้อย

 

 

หลายวันมานี้ป๋ายถานให้คนส่งจดหมายกลับบ้านหลายต่อหลายครั้ง เนื้อความในจดหมายกล่าวว่าไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เขาต้องจับตามองซูหลีผู้นี้เอาไว้ อย่าให้ซูหลีไต่ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งสูงได้

 

 

เดิมทีป๋ายไต้ซือยังไม่คิดจะใส่ใจ แม้ซูหลีจะฉลาดถึงอย่างไร ในสายตาของเขาก็แค่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเท่านั้น ไม่มีค่าพอที่เขาจะกังวลใจแม้แต่น้อย

 

 

ทว่าวันนี้เขาเห็นลูกไม้ที่ซูหลีจัดการพ่อลูกสกุลเฉิงแล้ว ป๋ายไต้ซือจึงจำเป็นให้ความสนใจคำพูดทั้งหมดของบุตรีแล้ว

 

 

เพียงแต่…

 

 

ดูเหมือนฝ่าบาททรงมิได้โปรดปรานซูหลีถึงขนาดนั้น อย่างน้อยบัดนี้ก็ยังเทียบกับจี้เหิงหรานไม่ได้

 

 

แม้ซูหลีกับจี้เหิงหราน คนหนึ่งจะเป็นเซ่าซือ อีกคนจะเป็นเซ่าฟู่ ฟังดูแล้วตำแหน่งขุนนางนั้นมิต่างอะไรกันมาก ทว่าจากอากัปกิริยาของฮ่องเต้แล้ว นั่นยังถือว่าต่างกันอีกมากโข

 

 

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่จำเป็นที่พวกเขาจะเสียเวลาจัดการซูหลี

 

 

“กระหม่อม…” ซูหลีคิดไม่ถึงว่าฉินเย่หานจะต้องการลงโทษนางจริงๆ ในเวลานี้นางถึงกับอ้ำอึ้งไปบ้าง หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง จึงคุกเข่าลงอย่างยอมรับชะตากรรมแล้วเอ่ยว่า

 

 

“กระหม่อมทราบถึงความผิดพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ลากคนเข้ามาภายในคล้ายกับลากสัตว์เลี้ยงเข้ามา เป็นนางก็ไม่สามารถกล่าวปฏิเสธออกมาได้ ในเมื่อฮ่องเต้ถามหาความรับผิดชอบ นางก็ทำได้เพียงยอมรับความผิด

 

 

ฉินเย่หานมองนางด้วยสายตาเฉยเมย สมองพลันผุดภาพที่นางยิ้มให้เซี่ยอวี่เสียนเมื่อครู่ หัวใจยิ่งเต็มไปด้วยความอัดอั้น

 

 

กับบุรุษอื่นนางกลับพูดและยิ้มให้กับเขา พอเป็นเขา นางกลับยอมรับผิดอย่างตรงไปตรงมา!

 

 

นางเห็นคำพูดของเขาเป็นคำพูดที่ฟังหูซ้ายทะลุหูขวา!

 

 

“ทว่า…” ในขณะที่ฉินเย่หานมีสีหน้าคลุมเครือและบรรยากาศภายในกำลังตึงเครียด จู่ๆ ซูหลีเอ่ยขึ้นมา “ก่อนฝ่าบาทจะทรงลงโทษกระหม่อม กระหม่อมมีเรื่องที่อยากจะรายงานฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ฉินเย่หานแสดงสีหน้าเยียบเย็น แล้วเอ่ยว่า “พูดมา!”

 

 

น้ำเสียงของเขาเย็นชามากกว่าเดิมอีกหลายส่วน

 

 

ในชั่วขณะนี้ซูหลีถึงกับอ้ำอึ้งไป เหล่าขุนนางที่อยู่ด้านข้างก็อึ้งไปเช่นกัน

 

 

ไยจู่ๆ ฮ่องเต้ถึงเปลี่ยนเป็นอารมณ์ไม่ดีเช่นนี้ได้

 

 

ขุนนางชั้นผู้ใหญ่เหล่านี้คิดว่าซูหลีทำให้ฮ่องเต้ทรงกริ้ว ทว่าซูหลีกลับรู้สึกว่าตนบริสุทธิ์ นางไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น นางเพียงแค่เอ่ยว่ามีเรื่องต้องการรายงานเขาเท่านั้น ไยถึงทำให้ฉินเย่หานโมโหกัน

 

 

ป๋ายไต้ซือที่อยู่ด้านข้างแค่นยิ้มเย็นออกมา ฮ่องเต้ผู้ซึ่งมิเคยแสดงท่าทีโมโหหรือดีใจกลับถูกยั่วยุให้โกรธเช่นนี้เสียแล้ว

 

 

มีอะไรที่ต้องหวาดกลัวอีกกัน

 

 

“กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมรู้จักกับคุณชายเฉิงถือว่านานพอสมควร แม้จะมีเรื่องที่ไม่มีความสุขเท่าไรนัก ทว่ากระหม่อมทราบดีกว่า แท้จริงแล้วคุณชายเฉิงมิใช่คนเช่นนี้” ซูหลีก็เป็นอีกคนที่ไม่เข้าใจโทสะของฉินเย่หาน ทว่านางกลับไม่คิดอะไรมาก เพียงเอ่ยในสิ่งที่ตนต้องการจะเอ่ยออกมา

 

 

หมายความว่าอย่างไรกัน

 

 

ทันทีที่นางพูดจบ ก็ทำให้ทุกคนหันมองไปทางนาง

 

 

เมื่อครู่นางยังมีทั้งพยานและหลักฐาน ก่อเรื่องวุ่นวายใหญ่โตขนาดนี้ก็เพื่อต้องการให้ฮ่องเต้ทรงลงโทษเฉิงเค่อผู้นี้ บัดนี้กลับเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนา นี่ซูหลีต้องการร้องขอความเมตตาให้แก่เฉิงเค่อหรือ

 

 

คนที่ไม่ทราบยังคิดว่า นี่นางเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร!

 

 

ทว่าสีหน้าของนางยังคงเรียบเฉย ยังอยู่ท่าทางที่สุขุมเยือกเย็น ไม่เหมือนคนเสียสติเลยสักนิดนี่นา!

 

 

แม้แต่เฉิงเค่อที่หมดอาลัยตายอยาก ในเวลานี้เขาก็ยังมองไปทางซูหลีอย่างห้ามไม่ได้

 

 

นี่ซูหลีเตรียมจะกระทำสิ่งใดกัน

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 666 ใครเสียสติ

 

 

ซูหลีไม่วางแผนกระทำสิ่งใด นางเพียงพูดตามความจริงเท่านั้น

 

 

“คุณชายเฉิงเป็นถึงผู้นำของสี่อัจฉริยะสำนักฉยงสือ มีชื่อเสียงที่ดีในเมืองหลวงมาโดยตลอด” ช่างเถิด ในตอนแรกคนอื่นนำคำพูดนี้มาโต้แย้งคำพูดของนาง นางนี่ช่างดีโดยแท้ ยังหยิบยกคำพูดนี้ขึ้นมาพูดอีก

 

 

ในเวลานี้ทุกคนไม่เข้าใจว่านางต้องการกระทำสิ่งใดกัน

 

 

แม้แต่จี้เหิงหรานที่ไม่สนใจเรื่องนี้มาโดยตลอด ก็ยังอดมองซูหลีอยู่หลายปราดไม่ได้

 

 

“ใต้เท้าซู สรุปเจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน เมื่อครู่ยังเอ่ยว่าคุณชายเฉิงต้องโทษอันใหญ่หลวง บัดนี้กลับช่วยคุณชายเฉิงในหลุดพ้นจากเรื่องนี้ จาก…” มีบางคนที่มองเรื่องนี้ไม่ออก จึงถามซูหลีตามตรง

 

 

หากไม่ใช่เพราะสถานการณ์ไม่เหมาะสม เกรงว่าคนผู้นี้คงจะเอ่ยถามนางว่า… ‘หรือเจ้าจะสมองไม่ดีแล้ว’

 

 

ไม่สิ ซูหลีนั่นมีสติดีมากและรู้ว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่

 

 

“จากที่ข้าทราบมา เมื่อวานนี้คุณชายเฉิงดื่มสุราเข้าไปแล้ว ทว่าความสามารถในการดื่มสุราของคุณชายเฉิงไม่เหมือนกับกระหม่อม ความสามารถในการดื่มสุราของเขานั้นไม่เลวมาโดยตลอด ใช่หรือไม่ใต้เท้าเฉิง”

 

 

สีหน้าของเฉิงเหว่ยเปลี่ยนไป เขาไม่เข้าใจว่าซูหลีต้องการกระทำสิ่งอันใดกันแน่ เขาได้ยินดังนั้นจึงผงกหัวตามคำพูดของซูหลี

 

 

ปัญหาเรื่องความสามารถในการดื่มเหล่าเช่นนี้ แม้จะหาใครสักคนมาตอบคำถามก็สามารถตอบได้ เขานั้นไม่สามารถปิดบังเรื่องนี้ได้

 

 

อีกทั้ง เฉิงเหว่ยมองท่าทางเช่นนี้ของซูหลี เขาก็ไม่เข้าใจว่าซูหลีต้องการกระทำสิ่งใด ไม่แน่ซูหลีอาจต้องการช่วยเฉิงเค่อให้หลุดพ้นจริงๆ ก็ได้!

 

 

“คนทั่วไปดื่มสุราไม่มากนัก ทั้งยังเป็นบัณฑิตที่สอบผ่านขุนนางและมีชื่อเสียงที่ดีในเมืองหลวงมาโดยตลอด ทำไมจู่ๆ ถึงลงมือกระทำเช่นนี้กับบุตรีของขุนนางในราชสำนักได้ ทุกท่านไม่รู้สึกประหลาดใจหรือ”

 

 

ประหลาดนัก!

 

 

ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว คำพูดของซูหลีกลับประหลาดเสียยิ่งกว่า

 

 

นี่นางต้องการกระทำสิ่งใดกัน

 

 

แม้ผู้อื่นจะไม่เข้าใจเรื่องนี้ ทว่าฉินเย่หานที่นั่งอยู่เบื้องบนนั้นกลับขมวดคิ้วขึ้นทันใด

 

 

คาดไม่ถึงว่าฉินเย่หานจะแสดงอารมณ์ออกมา นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เหล่าขุนนางใหญ่รู้สึกประหลาดใจในขณะเดียวกัน พวกเขาจึงครุ่นคิดในคำพูดของซูหลีอย่างละเอียด

 

 

ทว่าในขณะที่ทุกคนกำลังจมอยู่ในความคิดของตนเองจึงไม่ได้สังเกตเห็นว่า หลังจากได้ยินประโยคคำถามของซูหลี สีหน้าของเฉิงเค่อก็เปลี่ยนไปถนัดตา

 

 

สีหน้าของเขานั้นดูย่ำแย่เสียยิ่งกว่าได้ยินคำตัดสินโทษของฮ่องเต้เมื่อครู่นี้อยู่หลายส่วน

 

 

สีหน้าของเฉิงเค่อกลับอยู่ในสายตาของเซี่ยอวี่เสียนที่ยืนอยู่ด้านข้างพอดี ในเวลานี้เขาถึงกับผงะไปเล็กน้อย

 

 

“นักปราชญ์ล้วนรักในชื่อเสียงของตน กระหม่อมคิดว่า คุณชายเฉิงก็ไม่ต่างกัน โดยเฉพาะคุณหนูลู่เป็นถึงบุตรีของแม่ทัพในราชสำนักนี้ หากแม้จะคิดไม่ได้ในทันทีก็ไม่ควรจะลงมือกับคุณหนูลู่เช่นนี้ นอกเสียจาก…”

 

 

ซูหลีพูดถึงตรงนี้พลันหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ยามที่นางหยุดชะงักไปนี้ สามารถดึงดูดทุกคนให้สนใจคำพูดของนางได้สำเร็จ

 

 

“นอกจากว่าในเวลานั้น เขาจะมีสติเลือนราง!” จี้เหิงหรานที่ไม่ปริปากพูดตั้งแต่แรก ทันทีที่เอ่ยขึ้นก็ตรงเข้าประเด็นอย่างตรงไปตรงมา

 

 

ทว่าในที่สุดสายตาที่เขามองซูหลีก็เปลี่ยนไป เขาไม่ได้มีสายตาที่มองอย่างละเอียดถี่ถ้วนเช่นนั้นแล้ว ในทางกลับกันยังมีความรู้สึกชื่นชมเป็นอย่างยิ่งแฝงอยู่

 

 

ที่จริงแล้วนี่ก็แค่เรื่องกลั่นแกล้งกันแบบง่ายๆ ก็เท่านั้น หากคนโดยทั่วไปเมื่อประสบกับเรื่องเช่นนี้ ก็คงยืนกรานที่จะจัดการทุกอย่างเช่นนั้นก็เท่านั้น

 

 

ทว่าซูหลีกลับคิดไปถึงขั้นนี้

 

 

มิน่า ไม่ว่าอย่างไรฮ่องเต้ก็ทรงต้องการเก็บนางเอาไว้

 

 

เมื่อครู่หากนางไม่เอ่ยขึ้น แม้แต่จี้เหิงหรานก็ยังไม่คิดถึงขั้นนี้ แน่นอนว่าจี้เหิงหรานกับเฉิงเค่อไม่สนิทกัน นี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลหนึ่ง ทว่าเมื่อใคร่ครวญเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วนจะพบว่าเรื่องนี้ทะแม่งๆ

 

 

ถึงแม้จะเป็นคนเขลาถึงอย่างไร ก็ทราบว่าหากแตะต้องบุตรีของขุนนางจะมีจุดจบอย่างไรกระมัง

 

 

หากเฉิงเค่อที่ทราบแล้วแต่ยังกระทำ เขาเสียสติไปแล้วหรือ