ตอนค่ำ หลังจากที่ทุกคนออกไปแล้ว ออกัสก็ไปที่ห้องผู้ป่วย ร่างของคุณหญิงมัทนาได้ถูกบรรจุเก็บไว้ในโลงเย็นแล้ว
นั่งลงข้างๆโลงเย็น สายตาเขามองไปที่หัวหน้ามัทนา เธอมีท่าทีสงบ และนิ่ง คงไม่มีโอกาสได้ยินเธอเรียกชื่อออกัสของเขา และทำแง่งอนใส่เขาอีกแล้ว
เธอชอบแง่งอนใส่เขาที่สุด และรักเขามากที่สุด ตั้งแต่เล็กจนโต เวลามีของกินที่อร่อยก็มักจะเก็บไว้ให้เขา รอเพียงให้เขาไปที่เมืองบีเจ ก็ถึงจะเอาของกินพวกนั้นออกมา
และราวกับนานวันเข้า ก็กลายเป็นความเคยชิน ตลอดจนเขาอายุยี่สิบ เธอก็ยังคงมีนิสัยแบบนั้นไม่เปลี่ยน
อ้าปากทีไรก็ออกัสของฉันอย่างโน้น ออกัสของฉันอย่างนี้ เป็นคำพูดที่ติดปากอยู่ตลอด ดังนั้น ลูกน้องและคนสนิทในที่ทำงานของเธอ ไม่มีใครไม่รู้ว่าเธอมีหลานชายคนหนึ่งชื่อออกัส
จากนี้ไป จะไม่มีคนที่คอยพร่ำบ่นเขาเหมือนเด็ก เอาใจเขา และน้อยใจเขาที่ไม่ยอมไปหาอีกต่อไปแล้ว
ขอแค่เขาพูดอ้อนเอาใจ และพูดเพราะๆ เธอก็จะดีใจจนลืมทุกอย่าง ยิ้มแย้มเบิกบาน และร่าเริงแจ่มใส
คนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา ได้จากเขาไปแล้ว
มือใหญ่ยื่นเข้าไปในโลงเย็น ออกัสลูบไปที่ใบหน้าของเธอ และมือของเธออย่างแผ่วเบา ร่างทั้งร่างของเขาทั้งตึงและเกร็ง เส้นเลือดที่หลังมือปูดนูนชัด แต่กลับไม่กล้าออกแรงมากนัก เขากลัวจะทำเธอเจ็บ
เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่า เธอจะด่วนจากเขาไปกะทันหันแบบนี้ หากเป็นไปได้ ในตอนที่เธอยังมีชีวิตอยู่ เขาอยากจะใช้เวลาอยู่กับเธอให้มากกว่านี้
ราวกับคิดอะไรขึ้นมาได้ มือใหญ่ของเขาขยับ หยิบรูปถ่ายออกจากกระเป๋าสตางค์ เป็นรูปของซาราง
“เมื่อก่อนคุณยายเอาแต่บ่นว่าอยากได้เหลนชาย เหลนสาว นี่ครับรูปของเหลนสาว คุณหญิงมัทนา เหลนสาวของคุณยายจะงอนที่ไม่ยอมซื้อขนมให้แกกินนะครับ……”
แต่ว่า ในตอนนี้เธอไม่ได้ยิน และมองไม่เห็นมันอีกแล้ว……
เมื่อก่อน เราเอาแต่คิดว่าจะมีคนคนหนึ่งอยู่เคียงข้างเราไปตลอด ขอแค่เราหันหลังกลับ ก็จะเห็นคนคนนั้นยิ้มให้และมองดูเราอยู่
แต่ว่า เรากลับลืมว่าโลกนี้ไม่มีอะไรที่แน่นอน ไม่มีใครอยู่เคียงข้างเราไปตลอด เขาก็เจ็บป่วยได้ เหงาได้ และแก่จนตายจากได้
ที่ผ่านมา หัวหน้ามัทนาไม่เคยได้เห็นหน้าตาของเหลนสาวที่เขาโหยหาคนนี้เลยสักครั้งว่าเธอจะมีหน้าตายังไง……
“คุณหญิงมัทนา ฟังให้ดี และจำไว้ด้วย เหลนสาวของคุณชื่อซาราง เธอชื่อซาราง……”
ไม่สามารถให้เธอได้เจอกับซาราง และไม่สามารถให้ซารางได้เจอเธอ นี่ถือเป็นความเสียใจและรู้สึกผิดอันใหญ่หลวงของเขา
ร่างกายเธอเย็นมาก อันที่จริงแล้ว เธอกลัวความหนาวเย็นที่สุด ฤดูหนาวมือและเท้าของเธอจะเย็นราวกับน้ำแข็ง เมื่อก่อนก็มักจะให้ความอบอุ่นกับเธอ แต่ตอนนี้ เขาอยากจะให้ ก็ทำให้เธอไม่ได้แล้ว
หยิบมือถือออกมา เขากดโทรออกโดยไม่รู้ตัว
ตอนนี้เป็นเวลาตีสอง เชอร์รีนกำลังนอนหลับอยู่ เสียงโทรศัพท์ปลุกเธอให้ตื่น เธอพลิกตัว หยิบโทรศัพท์มา หมายเลขที่ขึ้นตรงหน้าจอ เป็นเลขหมายที่เธอจำมันได้ขึ้นใจ
ขบริมฝีปาก เธอคิดว่าเขาคงบ้าไปแล้ว เขาหายตัวไป และทำไมดึกดื่นเที่ยงคืน เวลาตีสองแบบนี้ถึงได้โทรหาเธอ ?
“ออกัส คุณบ้าไปแล้วจริงๆหรือไง!” กดรับสาย น้ำเสียงของเธอหงุดหงิด
ปลายสายเงียบมาก ไม่มีเสียงอะไรเลย เงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจ และไม่มีเสียงใดๆ
ตามสัญชาตญาณ เธอรู้สึกว่าบรรยากาศมันแปลกๆ ขมวดคิ้ว และพูดเสียงเบา“ออกัส!”
“……”
“ออกัส!”
“……”
“ออกัสตอบสิ ถ้าคุณไม่พูด ฉันจะวางสายแล้วนะ !”
“คุณหญิงมัทนาไปแล้ว……”สักพัก เสียงที่แหบแห้งก็ดังทุ้มขึ้นมา เสียงที่เศร้าสลดทำให้เชอร์รีนที่อยู่ปลายสายก็สัมผัสได้ถึงความหดหู่อันหนักหน่วง จนทำให้หายใจไม่ออก
ไปแล้ว……
ดูจากอารมณ์ของเขา และท่าทีที่หดหู่ของเขา เชอร์รีนไม่ใช่คนโง่ ไปแล้วที่เขาพูดไม่ใช่ว่าไปที่ไหน เกรงว่าจะเป็น……
เธอรู้สึกลำคอแห้งผาก ความง่วงงุนก็หายไป กำโทรศัพท์ในมือแน่น แล้วพูดว่า “เมื่อไหร่ แล้วคุณ——”
ยังโอเคไหม ? คำนี้ยังไม่ทันได้พูดออกไป ปลายสาย ก็กดวางสายไปแล้ว
ขมวดคิ้ว หลังจากนั้นเชอร์รีนก็ไม่ได้นอนต่อ เธอไม่รู้ว่าการคาดเดาของเธอนั้นมันถูกต้องหรือไม่ แต่เธอคิดเอาเองว่า หัวหน้ามัทนาคงไม่ได้เป็นอะไร และน่าจะกำลังให้อาหารแมวอยู่ที่โซฟา
เช้าวันรุ่งขึ้น กนกอรกำลังทำอาหารเช้าอยู่ และเชอร์รีนก็กำลังล้างหน้า และแปรงฟันอยู่ในห้องน้ำ ในตอนนี้เอง มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น จักรกฤษเปิดประตูออก เป็นชายแปลกหน้าที่สวมใส่ชุดสูท
“เชอร์รีน คุณเชอร์รีนพักอยู่ที่นี่ใช่ไหมครับ ?”
ได้ยินดังนั้น เชอร์รีนก็เดินออกจากห้องน้ำ“ฉันเชอร์รีนค่ะ มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ?”
“ผมมาแจ้งเรื่องงานศพครับ งานศพของคุณหญิงมัทนาจะมีขึ้นในอีกสามวันครับ”หลังจากที่พูดจบ ชายคนนั้นก็จากไป
เชอร์รีนยืนอึ้งอยู่กับที่ แปรงสีฟันที่อยู่ในมือร่วงลงกับพื้น เธอไม่คิดว่า คุณหญิงมัทนาจะเสียไปแล้วจริงๆ……
ในตอนนี้ ความรู้สึกที่ผุดขึ้นในใจไม่รู้ว่ามันรู้สึกยังไง ที่ตระกูลสิริไพบูรณ์ นอกจากเลอแปงแล้ว คุณหญิงมัทนาเป็นคนที่สองในครอบครัวที่เธอชอบมากที่สุด
ครั้งสุดท้ายที่เจอเธอ ก็คือเมื่อสี่ปีก่อน คืนก่อนไปฮันนีมูน แต่ตอนนี้กลับต้องจากกันตลอดกาล……
ไม่คิดว่า ผ่านไปสี่ปี การได้เจอกันอีกครั้ง จะต้องมาเจอกันในสภาพแบบนี้ !
เมื่อสี่ปีก่อน ร่างกายของเธอยังแข็งแรงอยู่ ดูๆไปแล้วอยู่อีกสักร้อยปีก็ไม่น่าจะเป็นปัญหา คิดไม่ถึงจริงๆ !
เป็นดั่งคำว่า ทุกอย่างล้วนไม่เที่ยง
“คุณหญิงมัทนา ? คุณหญิงมัทนาเป็นใคร?” กนกอรวางถ้วยชามในมือลง ขมวดคิ้ว บ้านเขาไม่รู้จักหัวหน้ามัทนาอะไรคนนี้ คนที่มาแจ้งข่าวสารเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า?
“เป็นคุณยายของออกัส เคยอยู่ด้วยกันช่วงหนึ่งตอนที่อยู่เมืองบีเจ ” เชอร์รีนกล่าว
เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของกนกอรก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย พูดขึ้นมาทันทีว่า“หย่าขาดกันไปแล้ว และอีกไม่กี่วันแกก็จะแต่งงานแล้วด้วย จะเอาเวลาที่ไหนไปเมืองบีเจ ไม่ต้องไป!”
เรื่องการหย่าร้าง เป็นหนามยอกอกในใจของกนกอร ความรู้สึกที่มีต่อออกัสก็มีแต่จะยิ่งแย่ลงเท่านั้น
ทั้งคู่ก็หย่าร้างกันไปแล้ว ยังจะต้องไปเมืองบีเจเพื่อร่วมงานศพอะไรอีก ทางนี้ก็กำลังจะแต่งงาน ยุ่งกันจนหัวหมุนไปหมด
“พูดแบบนี้ได้ยังไงกัน ? ในเมื่อคนที่เขามาแจ้งข่าวก็ได้บอกกล่าวเราแล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ไปร่วมงาน” จักรกฤษกล่าว“คนตายก็ล่วงลับไปแล้ว งานศพยังไงก็ต้องไปร่วม ต่อให้จะไปไม่ทันวันเผา แต่ก็ต้องไปให้ถึงที่แล้วค่อยกลับยังจะดีซะกว่า ตามมารยาทต้องทำกันแบบนี้ รู้ไหมที่รัก!”
เมื่อสิ้นเสียง สายตาก็หันมา มองไปยังเชอร์รีน “เชอร์รีน ไปเถอะ”
“พ่อ หนูทราบแล้วค่ะ ”เธอพยักหน้า “หนูจะพาซารางไปด้วย และจะรีบกลับค่ะ”
“แกไปคนเดียวก็พอ ทำไมต้องพาซารางไปด้วย เธอยังเด็ก เดินทางลำบาก ทิ้งไว้ที่นี่ให้ฉันกับพ่อแกดูให้นั่นแหละ”
เชอร์รีนพูดขึ้น“แม่ ยังไงซารางก็เป็นเหลน ตอนคลอดไม่เคยได้เห็นหน้า ตอนนี้เสียแล้ว ก็ควรให้เขาได้เห็นบ้าง”
เมื่อได้ยินคำนี้ กนกอรก็ไม่ขวางอีก เธอก็ไม่ใช่คนไร้เหตุผล
จัดเก็บกระเป๋าอยู่เพียงชั่วครู่ เชอร์รีนก็พาซารางเดินทางไปที่เมืองบีเจ โชคดีที่พอมาถึงสนามบิน อีกยี่สิบนาทีก็มีไฟล์ทที่จะบินไปที่นั่น ซื้อตั๋วเครื่องบินเที่ยวนั้น แล้วก็ทำการนั่งรอ
กำลังจะออกเดินทาง ถึงเมืองบีเจในช่วงบ่าย เธอเคยไปยังที่รับรองทหาร ดังนั้นครั้งนี้ก็จึงมุ่งตรงไปยังที่รับรอง