บทที่ 387 ประตูวิสุทธิชน

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

บทที่ 387 ประตูวิสุทธิชน
สีหน้าอิงเคพลันแปรเปลี่ยนไปเมื่อได้ยินเสียงของนักบวชชั้นสูง เขาก้าวหลบไปด้านข้างแล้วมองไปทางแอสกา

อิงเคกำลังบอกว่าเป็นแอสกาที่สร้างปัญหา และในขณะเดียวกันก็พยายามรักษาระยะห่างระหว่างทั้งสองไปด้วย

ความจริงแล้วแอสกา หรือลูเซียน จงใจสร้างปัญหาขึ้น ลูเซียนรู้ดีว่าผู้เฝ้าประตูทั้งสองจะหลีกเลี่ยงวงแหวนเวทแล้วพาเขาไปยังมุมเปลี่ยวรอดพ้นสายตา และที่นั่นลูเซียนจะมีเวลามากพอสำหรับการปลอมแปลงตนเองเป็นหนึ่งในผู้เฝ้าประตู

นักบวชชั้นสูงเองก็เป็นสฟิงซ์แต่ขาทั้งสี่ที่เต็มไปด้วยขนฟูๆ นั้นกลับห่อหุ้มด้วยผ้าเนื้อหยาบสีดำ เขาคือคนเดียวกับที่ลูเซียนเห็นยืนอยู่ข้าง ‘ประตูวิสุทธิชน’ ณ ตอนนี้ นักบวชชั้นสูงกำลังจดจ้องลูเซียนด้วยดวงตาสีดำเย็นเยียบ

ลูเซียนรู้สึกว่าสภาพของนักบวชชั้นสูงท่านนี้ค่อนข้างน่าขัน แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังก้มศีรษะลง แสร้งทำเป็นประหม่าและหวาดเกรง “ท่านผู้ทรงศีล ข้าเพียงเห็นยามเฝ้าสุสานผู้หนึ่งละเมิดกฎขอรับ เขาวิ่งเตร็ดเตร่ไปทั่ว พอข้าหยุดเขาเอาไว้ เขากลับไม่แสดงถึงความเคารพยำเกรงต่อข้า ข้าก็เลย… ก็เลยสั่งสอนเขาถึงการประพฤติตัวที่ดีขอรับ”

นักบวชชั้นสูงเหลือบมองลูเซียนจากศีรษะจรดปลายเท้าด้วยความระแวดระวัง สายตานั้นเย็นเยียบและมีกลิ่นอายแห่งความตาย

ลูเซียนบังคับกล้ามเนื้อให้แสร้งสั่นเทาเล็กน้อย เขายังเร่งจังหวะหัวใจให้เต้นเร็วขึ้นอีกนิด เพื่อแสดงให้เห็นว่าเขากำลังวิตกกังวล

หลังจากตรวจดูแอสกาอย่างละเอียด นักบวชชั้นสูงก็ถามขึ้นช้าๆ “เจ้าใช้เวทมนตร์งั้นรึ”

น้ำเสียงของเขาค่อนข้างราบเรียบและไร้อารมณ์

“เขาพยายาม… จะตอบโต้… ข้ามิได้ตั้งใจนะขอรับ!” ลูเซียนรีบร้อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักที่แสร้งทำ ความจริงแล้ว ลูเซียนจงใจทำเช่นนั้นเพื่อให้นักบวชชั้นสูงสังเกตเห็นถึงคลื่นเวทมนตร์

หากว่าลูเซียนทิ้งแอสกาไว้ทั้งอย่างนั้น ภายในสิบนาที เฮลเกสจะต้องมาตามหาฟิลเป็นแน่ และนั่นคงเป็นจุดจบของทุกสิ่งอย่างที่ลูเซียนวางแผนเอาไว้ ดังนั้นเขาจึงหาโอกาสส่ง ‘ฟิล’ กลับไปเสียก่อน

ลูเซียนใช้ ‘เวทแปลงกาย’ เปลี่ยนแอสกาเป็นฟิล ขณะทำเช่นนั้น เขาก็ใช้เวทมนตร์คาถาสองบทที่ตกทอดมาในหมู่สฟิงซ์เพื่อปิดซ่อนคลื่นเวทมนตร์ของ ‘เวทแปลงกาย’ ดังนั้นอิงเคจึงมิอาจสัมผัสได้แม้ว่าเขาจะอยู่ไม่ไกลก็ตาม สุดท้ายลูเซียนก็ปลอมตัวเป็นผู้เฝ้าประตูแอสกาที่ใช้เวทมนตร์ออกไปเพราะโทสะได้สำเร็จ

ลูเซียนรู้ว่าคลื่นเวทมนตร์จะถูกตรวจจับได้โดยวงแหวนเวทภายในสุสาน และมันก็เป็นแผนการส่วนหนึ่งของเขาเพื่อให้นักบวชชั้นสูงที่ทำหน้าที่ในคืนนี้มาหาพวกเขา

นักบวชชั้นสูงจดจ้องเข้ามาในดวงตาของลูเซียนราวกับจะสามารถมองทะลุได้ทุกอย่าง ในดวงตาของลูเซียน นักบวชมองเห็นความวิตกกังวล ความประหม่า และความสุขสมพอใจที่หลงเหลืออยู่จากการต่อยตียามเฝ้าสุสาน

“แอสกา เจ้าไม่ควรใช่เวทมนตร์ภายในสุสานไม่ว่าจะเวลาใด เว้นแต่จะมีศัตรูอยู่ในที่นี้” นักบวชชั้นสูงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ซึ่งทำให้เขาฟังดูคล้ายกับผีดิบ “มาหาข้าหลังจากหมดกะเพื่อรับทัณฑ์ไม้เรียว”

“ขอรับ ท่านผู้ทรงศีล” ลูเซียนตอบรับด้วยความเศร้าสลด

“เจ้าพายามเฝ้าสุสานผู้นั้นกลับไปหากลุ่มแล้วปล่อยให้หัวหน้ากลุ่มตัดสินโทษ…” นักบวชกล่าวต่อ “บอกหัวหน้ากลุ่มให้มาหาข้าในภายหลังด้วยเช่นกัน”

นักบวชชั้นสูงย่อมไม่ปล่อยให้ยามเฝ้าสุสานนอนอยู่บนพื้นเช่นนั้นแน่ ทว่าตัวเขาก็สูงส่งเกินกว่าจะทำไปอะไรเช่นนั้นด้วยตนเอง ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามที่ลูเซียนหวังไว้

“ขอรับ ท่านผู้ทรงศีล” ลูเซียนตอบ ในใจเขาเต็มไปด้วยความสุขสมใจ

หลังจากที่นักบวชชั้นสูงกลับไปยัง ‘ประตูวิสุทธิชน’ ลูเซียนก็เหลือบมองไปทางอิงเคด้วยสายตากรุ่นโกรธ “ห้ามพูดคุยกับข้าอีกต่อไป เจ้าแมงป่องขี้ขลาด”

อิงเคที่กำลังจะอธิบายด้วยความรู้สึกผิด แต่ลูเซียนกลับทำให้เขาเดือดดาลขึ้นมา อิงเคจึงเอ่ยเสียงเยาะหยัน “ขอให้สนุกกับทัณฑ์ไม้เรียวเล่า!”

ลูเซียนได้ทำลายความสัมพันธ์ฉันท์คู่หูของทั้งสองลงอย่างง่ายดาย ต่อไปนี้เขาก็ไม่ต้องกังวลว่าอิงเคจะค้นพบความจริงจากการพูดคุยอีกต่อไป ขณะลาก ‘ฟิล’ ไปตามพื้น ลูเซียนก็เดินกลับไปทางห้องโถงอย่างอารมณ์ดี

ภายนอกห้องโถงน่าขนลุกที่เต็มไปด้วยโลงศพสีดำตั้งเรียงราย เฮลเกสคำรามด้วยความกราดเกรี้ยว “เจ้าทำอะไรเขา!”

ลูเซียนโยน ‘ฟิล’ ลงกับพื้นแล้วตอบด้วยท่าทางสบายๆ “เจ้าแมงป่องตัวนี้ทำตัวหยาบคายกับข้า ข้าจึงสั่งสอนเขาไปเล็กน้อย”

“เจ้าแมงป่องโสโครก! ข้าคือหัวหน้าของเขา และหากว่าเขาสมควรได้รับบทเรียน ข้าก็ควรจะเป็นผู้มอบให้!” เฮลเกสโกรธมาก เขาก้าวมาข้างหน้าและจ้องมองตรงเข้ามาในดวงตาของแอสกา เขาอยู่ห่างจากแอสกาเพียงระยะหนึ่งกำปั้น

“แล้วอย่างไร เจ้าอยากจะทำร้ายข้าหรือ” ลูเซียนหัวเราะอย่างหนัก “จะบอกอะไรให้นะ ท่านนักบวชชั้นสูงอยากพบเจ้าหลังออกกะ เจ้ามีปัญหาแน่ ฮ่าๆๆ!”

โทสะของเฮลเกสพลันมลายหายไป ก่อนที่เขาจะอุทานด้วยเสียงสั่นเครือเล็กน้อย “อะไรนะ”

“ฮ่าๆ ขอให้สนุกกับทัณฑ์ไม้เรียวเล่า” ลูเซียนยืมคำพูดจากอิงเคและหมุนกายจากไป แสดงท่าทางในแบบของแอสกาตามปกติ

เฮลเกสกลัดกลุ้มอย่างยิ่ง แต่เขาก็ทำอะไรมิได้ จะทำได้ก็เพียงเดินกลับไปกลับไปเท่านั้น

“เราควรไปตามนักบวชมารักษาฟิลไหม… ขอรับ เขาจะได้ตื่นขึ้นมาเร็วขึ้น” ยามเฝ้าสุสานผู้หนึ่งเดินมาหาเขา พยายามจะเอาใจเฮลเกส

“เจ้าแมงป่องโง่!” เฮลเกสยกขาหน้าขึ้นเตะยามผู้นั้นเต็มแรง จากนั้นจึงกระทืบฟิลเพื่อปลดปล่อยโทสะ

มิมีผู้ใดกล้าทำให้นักบวชชั้นสูงโมโห!

ลูเซียนกับอิงเคยืนอยู่หน้า ‘ประตูวิสุทธิชน’ ด้วยความเงียบงันเมื่อเริ่มเข้ากะ

นักบวชชั้นสูงเองก็กลับไปที่ห้องศิลาและเริ่มสวดภาวนาต่อแล้ว

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว และอากาศภายในสุสานก็เริ่มเย็นลงเรื่อยๆ พลังแห่งความตายกำลังเดือดพล่านและตะโกนก้องมาจากเบื้องหลังประตูราวกับมีผีดิบจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังทุบประตูด้วยแขนผอมแห้งซีดเซียวของพวกมัน

ท่ามกลางความเงียบงันนั้น ลูเซียนเริ่มครุ่นคิดว่าเขาจะเข้าประตูไปอย่างไรดี

ไรน์ได้ทิ้งข้อมูลทั้งหมดที่ลูเซียนต้องการไว้ให้แล้ว รวมถึงรูปแบบวงแหวนเวทของประตูและมนตราคาถาต่างๆ แม้แต่แวมไพร์ระดับตำนานอย่างไรน์ก็ยังไม่สามารถฝ่าประตูเข้าไปตรงๆ ได้

ลูเซียนลอบแผ่พลังจิตเข้าไปตรวจสอบประตู หลังจากแน่ใจว่าข้อมูลที่เขาได้มานั้นถูกต้อง เขาก็วางแผนง่ายๆ ขึ้นมา เขาคิดจะใช้ช่วงเวลาที่เกิดการเปลี่ยนแปลงของพลังอย่างฉับพลันเมื่อวันและคืนบรรจบกันเพื่อปิดซ่อนคลื่นเวทมนตร์ของเขา

ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดีสำหรับลูเซียน เว้นก็แต่เวลาที่เฮลเกสกับลูกน้องของเขาลาดตระเวนผ่านมา หลายครั้งที่เฮลเกสจ้องลูเซียนด้วยความโกรธ

ก่อนที่รุ่งอรุณจะมาเยือน ในช่วงเวลาที่มืดมิดและหนาวเหน็บที่สุด อยู่ๆ ประตูก็กลายเป็นภาพเหนือจินตนาการและบิดเบี้ยว ราวกับมันถูกเปลี่ยนให้เป็นประตูแห่งเงาที่เชื่อมต่อกับนรกภูมิ!

ภายใต้กลิ่นเหม็นฉุนของความตายและความเย็นเยียบ แม้แต่ลูเซียนยังอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเทาเล็กน้อย

เขาตกตะลึงงันเมื่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่คุ้นเคย บรรยากาศจาก ‘โลกแห่งวิญญาณ!’

แม้ว่าลูเซียนจะไม่ได้สวมเครื่องรางมงกุฎสุริยันอยู่ แต่เพราะเขาเคยไปที่ ‘โลกแห่งวิญญาณ’ มาแล้วและเคยรับมือกับปีศาจระดับสูงจากที่นั่นมาสองสามครั้ง ลูเซียนจึงมีสัมผัสที่ไวพอจะบอกได้!

ในใจลูเซียนบังเกิดคำถามขึ้นมากมาย

‘ฟิงส์ ราชาแห่งสฟิงซ์ รู้ถึงการมีอยู่ของโลกแห่งวิญญาณแล้วหรืออย่างไร นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงเลือกที่ที่ใกล้กับช่องว่างที่เชื่อมต่อกับโลกแห่งวิญญาณเพื่อสร้างสุสานของเขาหรือไม่’

‘นี่หมายความว่าแท่นบูชาของเผ่าคัวโทนกับปราสาทใต้ดินของธานอสก็อยู่ใกล้กับช่องว่างใช่หรือไม่’

‘ธานอสรู้ถึงการมีอยู่ของโลกแห่งวิญญาณหรือเปล่า การตายของเขาเกี่ยวข้องกับมันหรือไม่’

ลูเซียนยิ่งระแวดระวังและวิตกกังวลเกี่ยวกับโลกแห่งวิญญาณกว่าเดิม เขารู้ว่ามันหาใช่เวลาเหมาะจะมาครุ่นคิดมากเกินไป จึงพยายามตั้งสมาธิจดจ่อและเฝ้ารออย่างใจเย็นจนกระทั่งแสงแรกมาเยือน

ที่ขอบฟ้า เส้นแสงสีส้มค่อยๆ โผล่พ้นขึ้นมา แล้วความศักดิ์สิทธิ์และความยิ่งใหญ่อลังการของมันก็แทรกผ่านความมืดเข้ามา

ทันทีที่ดวงตะวันเริ่มขึ้น แสงอาทิตย์ก็คล้ายกับจะฉายลงมาที่ยอดพีระมิด

ภายในสุสาน พลังแห่งความตายอันชั่วร้ายที่ทุบประตูวิสุทธิชนอยู่นั้นพลันถอยกลับไปราวกับหิมะที่กำลังละลายภายใต้แสงอาทิตย์ พลังนั้นถอยกลับไปอย่างรวดเร็วเสียจนก่อให้เกิดคลื่นพลังรุนแรง

นักบวชชั้นสูงจดจ่อสมาธิทั้งหมดอยู่กับประตูวิสุทธิชน ส่วนอิงเคนั้นเคยเห็นภาพนี้บ่อยเสียจนทำเพียงมองตรงไปข้างหน้า

ทันใดนั้น ร่างของลูเซียนก็กระเพื่อมราวกับสายน้ำแล้วเงาร่างโปร่งใสน่าขนลุกก็ผุดออกมา เงาร่างโปร่งใสนั้นใช้ร่างสฟิงซ์ของเขาในการอำพรางขณะร่ายเวทมนตร์อย่างเงียบงันแล้วลอยเข้าไปในประตูจากทางข้างใต้

ทว่าที่หน้าประตูนั้น แอสกายังคงยืนแน่วนิ่ง

เวทมนตร์มายาศาสตร์ระดับห้า ‘คงสภาพ!’

และเวทมนตร์ระดับสี่ ‘อากาศธาตุ!’