บทที่ 388 แรงกดดันชั่วร้าย

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

บทที่ 388 แรงกดดันชั่วร้าย
ควันดำพวยพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วภายในห้องโถงที่มีโลงศพตั้งเรียงราย และแผ่ไปทั่วทั้งสุสาน ราวกับสัตว์ร้ายน่ารังเกียจที่เข้าจับจองเขตแดนอย่าวดุร้าย

ยามเฝ้าสุสานทุกตัวต่างหมอบกราบโดยหันไปทางยอดพีระมิด แม้ในช่วงเวลาส่วนใหญ่แล้วพวกมันจะมีท่าทีดุร้ายและหยาบคาย ตอนนี้กลับหมอบตัวก้มกราบกรานอยู่บนพื้น แสดงความนบนอบราวกับแกะตัวน้อย

ควันดำนั้นเข้ากลืนกินทุกสิ่งทุกอย่าง ทว่าแสงสีทองที่ปกคลุมร่างพวกมันกลับสกัดกั้นพลังแห่งความตายอันร้ายนั้นมิให้กล้ำกลายเข้าใกล้

ภายในสุสาน ศพมากมายที่แขวนอยู่บนผนังต่างเริ่มขยับและคำรามด้วยความโกรธแค้น

ฝาโลงศพสีดำพลันกระเด็นกระดอนเปิดออกด้วยพลังที่มองไม่เห็น แล้วแขนกับมือมากมายที่พันรัดด้วยผ้าพันแผลก็ยื่นออกมา

ผ้าพันแผลเก่าๆ ชุ่มโชกด้วยน้ำมันสีเหลืองอ่อนที่ไหลออกมาจากซากศพยิ่งทำให้ดูน่าขยะแขยงอย่างที่สุด เสียงคร่ำครวญขมขื่นและเสียงกู่รองด้วยโทสะทำให้สุสานกลายเป็นเหมือนนรกขุมหนึ่ง

‘ลูเซียน’ และอิงเค ยกหอกของตนขึ้นตัดผ่านควันดำนั้นราวกับกำลังแบ่งแยกคลื่นน้ำที่โถมถั่งเข้ามา ควันดำตรงเข้าไปในประตูโดยตรง แต่กระทั่งความดุร้ายของมัน ควันดำนั้นก็ยังเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นสิบวินาที มันก็หายไปโดยสิ้นเชิง รวมถึงเสียงคร่ำครวญและกู่ร้องอย่างบ้าคลั่งด้วยเช่นกัน

เมื่อเห็นว่าทุกอย่างกลับมาสู่ความปกติ อิงเคก็พูดกับแอสกาโดยไม่ได้คิดอะไรมาก “ในที่สุดมันก็จบลงเสียที”

“ข้าไม่พูดคุยกับแมงป่องโสโครก” แอสกาตอบเสียงเย็นเยียบ

อิงเคพลันเดือดดาล เปลิวเพลงแห่งโทสะลุกโชนในดวงตาเขา

ทว่าแอสกาเพียงส่งเสียงเยาะหยันแล้วหันกลับไป

แม้ว่าอิงเคจะหัวเสียอย่างยิ่ง แต่เขาก็ไม่กล้าสร้างปัญหาใดๆ ต่อหน้านักบวชชั้นสูง จึงทำได้เพียงมองตรงไปข้างหน้า ขบริมฝีปากแน่น เขาจะไม่พูดกับแอสกาอีกต่อไป!

นักบวชชั้นสูงสังเกตเห็นแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นที่ตรงนั้น แต่มันหาใช่สาระสำคัญสำหรับเขา เขาก้มศีรษะลงและสวดภาวนาต่อเพื่อรวบรวมพลัง

เวทมนตร์มายาศาสตร์ระดับห้า ‘คงสภาพ’ สามารถสร้างภาพจำลองของผู้ร่ายที่เหมือนจริง ทั้งยังพูดและขยับได้ และผู้ร่ายยังสามารถทิ้งข้อความง่ายๆ เพื่อให้เกิดบทสนทนาได้อย่างเป็นธรรมชาติที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

เบื้องหลัง ‘ประตูวิสุทธิชน’ ควันดำเริ่มเดือดพล่านขึ้นอย่างเงียบงัน

ท่ามกลางความมืดมิด เงาร่างของลูเซียนค่อยๆ ปรากฏขึ้น เขากลับมาสู่รูปลักษณ์เดิมแล้ว จากนั้นจึงดึงหมวกสีดำขึ้นสวมเพื่อปกปิดใบหน้า

สำหรับเขา สถานที่แห่งนี้ให้ความรู้สึกเหมือน ‘โลกแห่งวิญญาณ’ เมื่อมองไปรอบๆ ลูเซียนก็เห็นจุดสีเทาส่วนหนึ่งล่องลอยอยู่ในอากาศท่ามกลางความเงียบงันไร้ที่สิ้นสุด

ขณะนี้ลูเซียนอยู่ด้านในปราสาททรงกลม ที่โดยรอบมีลวดลายดอกทานตะวันวาดไว้อย่างประณีต บนพื้นมีเส้นแสงสีทองสลักเอาไว้โดยใช้วัสดุใดมิอาจทราบได้ มันแผ่ตรงไปยังแท่นบูชายกพื้นที่กลางห้อง

ตรงกลางแท่นบูชานั้นมีโลงศพทองคำตั้งอยู่ บนฝาโลงคือลวดลายของดวงจันทร์สีเงินที่แตกต่างหลากหลาย

เพราะควันดำที่มีพลังแห่งความตายรุนแรงคอยปิดกั้นทุกสิ่งทุกอย่างจากภายนอกไม่ให้แอบมองเข้ามาภายในพื้นที่นี้ ลูเซียนจึงใช้เวทมนตร์ได้อย่างปลอดภัยในตอนนี้ และเขาก็รีบร่ายเวทป้องกันให้กับตนเองหลายๆ ชั้น

แต่ลูเซียนก็ยังไม่กล้านำ ‘เครื่องรางมงกุฎสุริยัน’ ออกมา เพราะมันมีความเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับ ‘โลกแห่งวิญญาณ’ และลูเซียนก็ยังไม่รู้ว่าความเชื่อมโยงคืออะไร

เมื่อตรวจสอบจนแน่ใจว่าภายในปราสาทเป็นดังที่ไรน์บรรยายไว้ ลูเซียนก็เริ่มเดินตรงไปหาแท่นบูชากลางห้องตามเส้นทางแปลกประหลาดที่ไรน์บอกกับเขา

ยิ่งลูเซียนเข้าใกล้ ก็ยิ่งรู้สึกหนาวเย็น พลังแห่งความตายนั้นอยู่เหนือศีรษะของเขาพอดี ลูเซียนไม่อาจได้ยินอะไร และสีสันต่างๆ ก็เริ่มเลือนหายไปอย่างช้าๆ

ลูเซียนต้องใช้เวลามากกว่าสิบนาทีเพื่อเดินตรงไปหาแท่นบูชา เขาวางเท้าข้างหนึ่งลงบนขั้นบันไดสีทอง

หากไร้ซึ่งประสบการณ์ของไรน์ ไม่มีทางเลยที่ลูเซียนจะมาถึงหน้าโลงศพทองคำได้อย่างง่ายดาย เขาอาจต้องใช้เวลาหลายวันในการวิเคราะห์การจัดวางของวงแหวนเวทในที่แห่งนี้

ลูเซียนไม่เสียเวลาอันใด หยิบหุ่นสฟิงซ์ตัวจิ๋วออกมาและใส่มันลงในร่องบนฝาโลงศพ มันพอดีกับร่องนั้นอย่างเหมาะเจาะ ราวกับว่าหุ่นจิ๋วนั้นควรต้องอยู่ตรงนั้น!

ลูเซียนก้าวถอยหลังแล้วร่ายคาถา หยาดโลหิตหลั่งไหลออกมาจากหุ่นสฟิงซ์เป็นเส้นสาย ดูน่าขนลุกและแปลกประหลาดอย่างยิ่ง

โลหิตแทรกซึมเข้าไปในโลงศพ ฉับพลันนั้นควันดำก็ขยับบิดเบี้ยวราวกับมีชีวิต ลวดลายดวงจันทร์สีเงินบนฝาโลงระเบิดแสงสลัวรางออกมาวูบหนึ่งแล้วดับมืดลงอย่างรวดเร็ว

แม้ว่าเขาจะเตรียมตัวมาดี ลูเซียนก็ยังประหลาดใจที่ทุกอย่างดูจะเรียบง่ายเสียเหลือเกิน

เขาอยากจะอยู่ต่อเพื่อศึกษาวงแหวนเวทภายในนี้ แต่ก็ไม่กล้าเสียเวลา นอกจากนี้ นักบวชชั้นสูงทั้งหลายก็อาจพบตัวเขาได้ทุกเมื่อ

ลูเซียนหมุนกายหันกลับ และเพิ่งจะเดินไปได้ไม่กี่ก้าวเมื่อจู่ๆ เขาก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันชั่วร้ายและข่มขวัญภายในที่นั้น มันรุนแรงเสียจนดูราวกับโลกทั้งใบอาจมาถึงจุดจบเพราะมัน!

‘แวมไพร์ที่ทรงพลังเช่นนั้นหรือ เจ้าชายแดรกคูลาหรือเปล่า’ นั่นคือความคิดแรกของลูเซียน เขามีพลังโลหิต ‘แสงจันทร์’ ดังนั้นจึงมีสัมผัสที่ไวต่อพลังของแวมไพร์ เห็นได้ชัดว่าเจ้าของพลังนั้นไม่คิดจะพยายามปกปิดเลยสักนิด

เมื่อเผชิญหน้ากับพลังอันยิ่งใหญ่ แม้แต่ควันดำก็ยังล่าถอยไปราวกับลูกสุนัขขลาดเขลา

ด้านนอกสุสาน แสงสว่างที่ขอบฟ้าได้หายไปแล้ว ดวงอาทิตย์หายไปแล้ว

ลูเซียนรู้สึกเหมือนใครบางคนเพิ่งจะเหลือบมองมาทางเขา จากซ้ายไปขวา เขาหลั่งเหงื่อกาฬออกมาเพราะแรงกดดันอันทรงพลังนั้น หน้าผากของเขามีเม็ดเหงื่อเล็กจิ๋วผุดพรายขึ้นเต็ม

เขาสัมผัสได้ว่าดวงตาคู่นั้นหยุดอยู่ที่ ‘เหรียญน้ำแข็งและหิมะ’ กับ ‘แหวนมงกุฎแห่งโฮล์ม’ อยู่วินาทีหนึ่ง จากนั้นจึงเคลื่อนไปต่อ

ทันใดนั้น ที่ด้านนอกสุสาน ดวงตะวันสีส้มก็ปรากฏขึ้นที่ปลายขอบฟ้าอีกครั้ง

ลูเซียนนึกสงสัยด้วยความหวาดเกรงว่านั่นคือพลังของเจ้าชายแดรกคูลาหรือไม่ แม้ว่าเจ้าแห่งพายุ อาจารย์ของเขาจะแข็งแกร่งทรงพลังพอๆ กับเจ้าขายแดรกคูลา ลูเซียนกลับไม่เคยประสบพบเจอกับพลังระดับตำนานที่ส่งตรงมาที่ตัวเขาเช่นนี้มาก่อน!

ก่อนที่ความมืดมิดจะหายลับไปโดยสมบูรณ์ ฝาโลงศพก็พลันเคลื่อนเปิด!

“ผู้ใด… มา… รบกวน…ยามนิทราของข้า” เสียงนั้นแหบแห้ง และน้ำเสียงก็ราบเรียบไร้ความรู้สึกโดยสิ้นเชิง

ลูเซียนพลันตระหนักว่าพลังชั่วร้ายขุมหนึ่งกำลังตื่นขึ้นช้าๆ!

“ข้า… หลับ… มานาน… นับหมื่นปี… ข้าถูก… จองจำ เจ้าจะต้อง… รองรับโทสะของข้า…” เสียงนั้นเริ่มมีอารมณ์ความรู้สึก

นี่สฟิงซ์ที่เสียชีวิตเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อนฟื้นคืนชีพกลับมาจาก ‘โลกแห่งวิญญาณ’ เพราะพลังของเจ้าชายแดรกคูลาเช่นนั้นรึ