บทที่ 389 ฟิงส์
ฟิงส์ ผู้นำระดับตำนานที่นำยุคทองมาสู่เผ่าพันธุ์สฟิงซ์ และยังเป็นผู้นำคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ทำให้ทุกชนเผ่าต้องยอมศิโรราบและมาคุกเข่าอยู่ต่อหน้า

แม้ว่าในยุคนั้นจะมีอีกหลายบุคคลที่มีพลังอำนาจมากกว่าฟิงซ์ แต่พลังของมันก็ยังอยู่เหนือจินตนาการของลูเซียน ไม่มีทางเลยที่ลูเซียนจะต่อกรกับมันได้ อีกอย่างคือ ลูเซียนหาได้รู้สักนิดว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรกับฟิงส์บ้าง ก่อนที่มันจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาในอีกหนึ่งหมื่นปีให้หลัง

‘วิ่ง!’ นั่นคือความคิดแรกที่แล่นเข้ามาในสมองลูเซียน

และมันคือสิ่งเดียวที่เขาจะคิดได้ยามเผชิญหน้ากับศัตรูระดับตำนาน!

แต่หลังจากวิ่งถอยหลังมาไม่กี่ก้าว ลูเซียนก็สงบจิตใจลงและหยุดยั้งตนเองจากการหลับหูหลับตาวิ่งหนีเอาชีวิตรอด

‘วิ่งงั้นรี วิ่งไปไหนเล่า’

หากลูเซียนตรงออกไปทางประตู นักบวชระดับเก้าคงจะสังหารเขาได้อย่างง่ายดาย

หรือว่าลูเซียนควรจะลักลอบออกไป เขาไม่แน่ใจเลยสักนิดว่าจะมีเวลาเพียงพอ

หรือว่าเขาควรจะเข้าไปหลบซ่อนภายในช่องว่างของ ‘โลกแห่งวิญญาณ’ ไม่ดี ภายในช่องว่างนั้นคือภาพจำลองของสุสานแห่งนี้ บางอย่างภายในโลกแห่งวิญญาณคือสิ่งที่ทำให้ฟิงส์คืนชีพขึ้นมา ดังนั้นมันจึงเป็นสถานที่ที่อันตรายที่สุดในตอนนี้!

ลูเซียนยังคงมีม้วนคาถาเคลื่อนที่ซึ่งได้รับมาจากเจ้าแห่งพายุ และนี่อาจเป็นหนทางเดียวที่เขาจะออกไปได้ในเวลานี้ เขาหยิบม้วนคาถาออกมาเตรียมใช้การ

“ข้าหลับใหล… ในที่แห่งนี้… มานับหมื่นปี… ข้าถูก… จองจำไว้ที่นี่ เจ้า… กล้าดีอย่างไร!”

เสียงของฟิงส์ฟังดูแหบแห้งและเย็นชา ราวกับเสียงไม้แตกหักออกเป็นชิ้นๆ

เดี๋ยวนะ! ลูเซียนได้ยินคำว่า ‘ถูกจองจำ!’

ฟิงซ์ถูกจองจำไว้ที่นี่เช่นนั้นหรือ! สรุปแล้วมันก็ไม่มีอำนาจในการควบคุมความตายและการฟื้นคืนชีพของตนเองน่ะสิ

เช่นนั้นลูเซียนก็ยังมีหวังอยู่!

ลูเซียนเกิดมาเพื่อเป็นนักผจญภัยโดยแท้ หัวใจของเขาเริ่มเต้นเป็นจังหวะปกติ ขณะถือม้วนคาถาไว้แน่น เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังชั่วร้ายยิ่งใหญ่ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง

การฟื้นคืนของพลังนั้นเป็นไปอย่างเชื่องช้า แม้ว่าพลังจะเพิ่มพูนขึ้นอย่างค่อนข้างคงที่ แต่ก็ช้ามาก! ฟิงส์ต้องใช้เวลาในการจะฟื้นคืนพลังหลังจากหลับใหลไปนับหมื่นปี!

ลูเซียนประมาณการณ์ดูแล้วว่าฟิงส์ยังต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อยสามสิบวินาทีเพื่อฟื้นฟูพลังกลับมาให้เต็มเปี่ยม ลูเซียนนำทุกๆ ปัจจัยมาไตร่ตรองครุ่นคิด ราวกับเขาเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์เท่านั้น

เขาร่ายเวท ‘พละกำลัง’ และ ‘แรงกระทิง’ ใส่ตัวเองอย่างรวดเร็ว และยังกระดกน้ำยาเวทมนตร์ที่ชื่อ ‘ยักษ์มอลเท็นรัวหมัด’ เผื่อไว้อีกด้วย

เพราะลูเซียนคาดการณ์ว่าตนจะต้องเจอกับอันตรายเสี่ยงตายในระหว่างการผจญภัยครั้งนี้ตั้งแต่ยังอยู่ที่อัลลิน เขาจึงใช้คะแนนอาร์คานาทั้งหมดที่ได้มาจากเฟอร์นันโดโดยใช้รายได้ประจำปีแลกมาเพื่อซื้อวัตถุดิบอุปกรณ์ทั้งหลาย แต่เขาก็ใช้พวกมันไปกับการกักขังเคานต์วลาดเป็นจำนวนมาก

ลูเซียนต้องยอมรับว่าทุกการต่อสู้คือการผลาญเงินดีๆ นี่เอง โชคยังดีที่เขาได้รับของดีๆ จากขุมทรัพย์ของไรน์มาบ้าง

เลือดในกายลูเซียนเดือดพล่านหลังจากดื่มน้ำยาเข้าไป กล้ามเนื้อกำยำล่ำสันพองขึ้นบนแขนลูเซียน และเขาก็รู้สึกได้ถึงพลังแห่งเปลวไฟในร่าง

ขณะนี้เหลือเวลาประมาณยี่สิบเอ็ดวินาที… ร่างกายของลูเซียนเริ่มหนักอึ้งและอืดอาด แต่เขาไม่อาจดื่มน้ำยาชนิดใดเพื่อเพิ่มความคล่องตัวให้กับร่างกายได้ เขาจึงร่ายเวทระดับสอง ‘วิฬาร์เฉิดฉาย’ ใส่ตัวเองเพื่อเสริมความเร็วขึ้นอีกนิด

‘สิบเก้าวินาที… สิบแปด…’ ลูเซียนนับถอยหลังในใจ

ลูเซียนใช้ปากคาบม้วนคาถาขณะหยิบดาบหน้าตาธรรมดาออกมาจากกระเป๋ามิติ แล้วถือด้ามจับไว้แน่น

สายธารอบอุ่นแห่งพลังแผ่ซ่านเข้ามาทางมือทั้งสองข้างของลูเซียน ขับไล่ความกลัวและความวิตกออกไปจากใจเขา สิ่งที่เหลืออยู่คืออำนาจจิตของลูเซียนที่แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมาก

“เป็น… หรือตาย… เจ้าจะต้องกลายเป็น… ทาสของข้า… ตลอดกาล…”

โทสะในน้ำเสียงของฟิงส์เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับความพึงพอใจที่มันกำลังได้รับพลังคืนกลับมาอีกครั้ง

ทว่า มันยังคงอยู่ในโลงศพทองคำ เหมือนดั่งที่ลูเซียนคาดการณ์ไว้ พลังของมันยังไม่พร้อม!

‘สิบห้าวินาที… สิบสี่…’ ลูเซียนจำต้องทิ้งเวลาห้าวินาทีสุดท้ายไว้เพื่อใช้ม้วนคาถา เผื่อว่าการเดิมพันอันใหญ่หลวงนี้จะเกิดความผิดพลาด

ลูเซียนนับถอยหลังในใจต่อไป พลางสัมผัสถึงพลังอันยิ่งใหญ่ที่เข้ามารวมตัวกันอย่างเชื่องช้า เขาเดินตรงไปหาโลงศพทองคำ

“ข้า… ถูก… ปลุกขึ้นมา… ข้าจะ… กลับมา…”

เสียงของฟิงส์เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ และควันดำก็เริ่มคืบคลานเข้ามาหาประตูวิสุทธิชน

‘สิบสอง… สิบเอ็ด…’ ลูเซียนยังคงนับถอยหลังต่อไป

ฝาโลงศพทองคำเคลื่อนเปิดกว้างขึ้น และกลุ่มควันดำหนาก็เข้าปกคลุมร่างของฟิงส์อย่างรวดเร็ว ลูเซียนยก ‘ดาบยุติธรรมจืดจาง’ ขึ้น แล้วแทงลงไปยังจุดที่กลุ่มควันดำมารวมตัวกันหนาแน่นด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี

มิได้บังเกิดแสงสว่างเจิดจ้า หรือแรงพุ่งชนอันล้นหลาม ดาบหน้าตาธรรมดาเพียงแทงลงไปกลางกลุ่มควันดำ แสงอบอุ่นพลันวูบผ่าน และควันดำนั้นก็เร่งล่าถอยไปราวกับหิมะที่หลอมละลายเพราะแสงตะวัน เผยให้เห็นร่างของฟิงส์

ฟิงส์มีขนาดตัวใหญ่กว่าสฟิงซ์โดยทั่วไปสองถึงสามเท่า มันสวมมงกุฎที่ฝังหินสุริยันต์กับหินจันทราไว้มากมาย ใบหน้ากับร่างกายของมันถูกห่อหุ้มด้วยผ้าพันแผลสีขาว และมองเห็นได้เพียงดวงตารียาวเท่านั้น ในดวงตาคู่นั้นเปล่งประกายเย็นเยียบชั่วร้าย

“ข้า… ฟื้นคืน… จาก… ความตาย…”

ปากของฟิงส์หาได้ขยับ แต่เสียงยังคงดังอยู่ ทว่า ก่อนที่ประโยคนั้นจะจบลง ดาบของลูเซียนก็แทงลงไปที่กลางใบหน้าของมันจังๆ

ฉับพลันนั้นดาบก็ระเบิดพลังอันยิ่งใหญ่ ความแน่วแน่ ความยุติธรรม และความกล้าหาญออกมา!

ฟิงส์กรีดร้องโหยหวน ผ้าพันแผลที่พันรัดไว้ขาดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เผยให้เห็นผิวเนื้อเน่าเปื่อยซีดเซียว ขนที่เคยเป็นสีน้ำตาลทองนุ่มฟูบัดนี้กลับกลายเป็นขนสกปรกสีดำที่มีอยู่เป็นหย่อมๆ

กลิ่นเหม็นสาบลอยขึ้นมาจากบาดแผลที่ถูกแทงเปิดและของเหลวสีเหลืองอ่อนก็เริ่มไหลย้อยออกมา แต่เมื่อเจอกับพลังของดาบ ของเหลวนั้นก็ระเหยหายไปอย่างรวดเร็ว

ท่ามกลางเสียงกรีดร้องโหยหวนของฟิงส์ ปรากฏแมลงตัวเล็กจำนวนนับไม่ถ้วนคลานออกมาจากร่างของมันราวกับหลุ่มเมฆสีดำและป้องกันมิให้ดาบแทงลงไปลึกกว่านี้

พลังนั้นผลักดันลูเซียนอย่างรุนแรงให้ผละถอย ลูเซียนตระหนักได้ทันทีว่าร่างของฟิงส์นั้นมีความต้านทานและแข็งแกร่งยิ่งกว่าโลหะผสมจากสภาเวทมนตร์เสียอีก!

แมลงสีดำร่วงหล่นลงราวกับสายฝน แสงสีขาวเทาเข้าครอบคลุมร่างของฟิงส์ ก่อนที่แสงนั้นจะเปล่งประกายเจิดจ้าเต็มโลงศพทองคำ

ภายใต้พลังไร้ที่มานั้น ฝาโลงทองคำถูกดึงกลับและโลงศพก็ถูกปิดผนึกอีกครั้ง

ทุกอย่างค่อยๆ สงบลง เหลือเพียงควันดำที่หมุนวนไปมาอย่างเชื่องช้าอยู่ในอากาศ

พลังของ ‘ดาบยุติธรรมจืดจาง’ ยามเผชิญหน้ากับเหล่ามาร ปีศาจ และผีดิบ จะเทียบเท่ากับอาวุธระดับตำนาน!

ลูเซียนใช้ดาบยันกายช่วยค้ำน้ำหนัก เพียงดาบเดียวกลับดูดพลังงานของเขาไปทั้งหมด โชคดีที่เขาหยุดฟิงส์จากการฟื้นคืนกลับมายังโลกนี้ได้

ลูเซียนไม่เคยวางแผนว่าจะดาหน้าเข้าต่อสู่กับฟิงส์ สิ่งมีชีวิตระดับตำนาน เหตุผลที่ลูเซียนทำให้มันบาดเจ็บได้ก็คือ ฟิงส์ยังถูกจองจำอยู่ภายในโลงศพทองคำ

ด้วยเหตุนี้ เมื่อเห็นว่าฝาโลงเคลื่อนมาปิดตามเดิม ลูเซียนจึงถอยหลังออกมาสองสามก้าว

ในใจเขาเกิดคำถามขึ้นมากมาย ‘ใครกันที่จองจำฟิงส์เอาไว้ ทำไมกันล่ะ ทำไมมันถึงฟื้นคืนชีพกลับมาได้’

มันหาใช่เวลาเหมาะที่จะหาคำตอบให้กับคำถามทั้งหมด ลูเซียนต้องออกไปมาที่แห่งนี้โดยเร็วที่สุด

ในตอนที่เขากำลังจะจากไปนั้นเอง เขาก็นึกถึงสิ่งที่ฟิงส์เพิ่งเอ่ยออกมา เขาพลันรู้สึกอยากจะเล่นมุกตลก เขาจึงค้อมตัวลงเล็กน้อยที่หน้าโลงศพ

“โปรดกลับไปนอนเถิดขอรับ”

นักบวชทุกคนก้มลงหมอบกราบแทบพื้นด้วยตัวสั่นเทาภายใต้แรงกดดันรุนแรงจากสายตาจดจ้องของเจ้าชายแดรกคูลา แม้ว่าเจ้าชายแวมไพร์จะสงบลงแล้วก็ตาม

เมื่อนักบวชชั้นสูงรู้สึกโล่งจากแรงกดดันแล้วเล็กน้อย มันก็สัมผัสได้ว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นที่หลังประตู ควันดำกำลังปั่นป่วน ราวกับกำลังโอบกอดอะไรบางอย่างเอาไว้ หรือเฉลิมฉลองอยู่

นักบวชชั้นสูงรู้ได้ทันทีว่าเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นที่เบื้องหลังประตูนั้น เมื่อเขามองไปทางโถงทางเดิน เขาก็เห็นสฟิงซ์ตัวผอมเกร็นที่สวมมงกุฎทองคำประดับด้วยขนนกสีดำมากมายกำลังเดินตรงมาหาเขาอย่างเร่งร้อน

“ท่านผู้ทรงศีลโรโทส” นักบวชชั้นสูงรีบก้มศีรษะลงต่ำ

สฟิงซ์ร่างผอมเกร็นคือนักบวชศักดิ์สิทธิ์ระดับเก้า ผู้มีนามว่าโรโทส

โรโทสมีสีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง “ผู้นำระดับตำนานผู้มีพลังน่าหวั่นเกรงเพิ่งจะมาเยือนที่แห่งนี้ ข้าเป็นกังวลว่านิทราอันยาวนานขององค์ราชาของเราอาจได้รับผลกระทบก็เป็นได้”

ฉับพลันนั้น ดวงตาของโรโทสก็เบิกโพลงเมื่อเห็นผู้เฝ้าประตูแอสกาที่ยืนแน่วนิ่งอยู่หน้าประตู ในขณะที่อิงเคนั่งอยู่บนพื้นด้วยความหวาดกลัว

“มันคือรูปจำลอง! ใครบางคนลักลอบเข้าไปในประตูแล้ว!” ในฐานะนักบวชศักดิ์สิทธิ์ระดับเก้า โรโทสจึงมองออกได้อย่างง่ายดาย

นักบวชชั้นสูงตกตะลึง หลังจากร่ายมนตราเพื่อตรวจดูแอสกา ในที่สุดเขาก็ตระหนักว่าเกิดอะไรขึ้น

“มีใครบางคนอยู่ในประตู!” นักบวชชั้นสูงอุทานออกมา