บทที่ 390 สัญญาปีศาจ
นักบวชศักดิ์สิทธิ์คำรามลั่นด้วยความเกรี้ยวกราดพลางชี้ไม้คฑาทองคำไปทาง ‘ประตูวิสุทธิชน’ เส้นแสงมากมายพลันส่องสว่างขึ้นบนประตูหินสีเทา แผ่ออกเป็นเค้าโครงรูปร่างแปลกประหลาดของตัวด้วง

ทันใดนั้น ‘ประตูวิสุทธิชน’ ก็ระเบิดแสงสว่างเจิดจ้าออกมาราวกับตะวันดวงเล็ก แสงนั้นเจิดจ้าเสียจนนักบวชชั้นสูงน้ำตาคลอหน่วย มันมิอาจมองเห็นสิ่งใดไปวูบหนึ่ง

ภายในแสงสว่างเจิดจ้านั้น ประตูค่อยๆ เปิดออกช้าๆ ควันดำที่เดือดพล่านก็ถูกกดข่มลงไป

ลูเซียนพลันตื่นตัวเมื่อได้ยินเสียงประตูเปิดออก เขาไม่รู้เลยว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น แต่เขามั่นใจว่าเหล่าสฟิงซ์คงจะรู้ตัวแล้วว่ามีใครบางคนอยู่ในนี้

เขาควรจะใช้ม้วนคาถาระดับเก้าหรือไม่ ลูเซียนยังคงถือ ‘ดาบยุติธรรมจืดจาง’ ไว้ในมือขวา และอีกมือหนึ่งก็คือม้วนคาถาที่ได้รับจากเฟอร์นันโด ในตอนที่สมองของเขากำลังทำงานอย่างรวดเร็วเพื่อหาทางออกที่เป็นไปได้ ลูเซียนก็กวาดตามองไปรอบๆ ปราสาท เมื่อเขาเห็นโลงศพทองคำที่ตั้งอยู่ตรงกลาง ความคิดดีๆ ก็พลันผุดขึ้น

ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ เขาก็ยังไม่จำเป็นต้องใช้ม้วนคาถาอันล้ำค่าให้สิ้นเปลืองโดยสูญเปล่า

ประตูแง้มออกช้าๆ และแสงสว่างก็สาดส่องเข้ามา

ลูเซียนใช้มือซ้าย ข้างที่ถือม้วนคาถาอยู่เมื่อครู่ ล้วงเข้าไปในกระเป๋ามิติเพื่อหยิบของอีกอย่างออกมา ตรงกลางนั้นคือไม้กางเขนที่ล้อมรอบด้วยลำแสงอาทิตย์ มันก็คือ ‘เครื่องรางมงกุฎสุริยัน’ ของมัสเคลินย์!

ในเมื่อฟิงส์กลับไปหลับใหลตามเดิมแล้ว ตอนนี้การเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในช่องว่างของ ‘โลกแห่งวิญญาณ’ ย่อมเสี่ยงอันตรายน้อยกว่า!

ความรู้สึกอบอุ่นนุ่มนวลที่แผ่ออกมาจากพลังศักดิ์สิทธิ์ช่วยปลอบประโลมลูเซียน แม้ว่าจะมีช่องว่างที่เชื่อมต่อกับ ‘โลกแห่งวิญญาณ’ อยู่เหนือโลงศพทองคำอยู่ก็ตาม

ช่องว่างสีดำที่ม้วนขดตัวอยู่เหนือโลงศพนั้นดูราวกับมีดาบอันคมมกริบห้อยแขวนอยู่เหนือฟิงส์

ขณะถือดาบยุติธรรมจืดจาง เครื่องรางมงกุฎสุริยัน และม้วนคาถา ลูเซียนก็ลากร่างหนักๆ ของตนกระโจนเข้าไปในช่องว่างนั้น

เมื่อนักบวชศักดิ์สิทธิ์เดินเข้ามาและตรวจตราดูทั้งปราสาทด้วยพลังจิตของตน มันกลับไม่พบอะไรเลย!

“จอมหลบหลู่โสโครก!” โรโทสคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว และสฟิงซ์ทั้งหมดด้านนอกก็ต้องกลับไปหมอบกราบแนบพื้นอีกครา

แม้ว่านักบวชศักดิ์สิทธิ์จะไม่พบอะไรในที่แห่งนั้น แต่มันก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นของคนแปลกหน้า โรโทสคิดว่าผู้บุกรุกคงจะหลบหนีไปแล้วเป็นแน่

โรโทสยกไม้คฑาทองคำขึ้น พร้อมกับปลดปล่อยเสียงคำรามชวนขนลุกออกมา ดวงตาข้างหนึ่งของมันเปล่งประกายราวกับดวงอาทิตย์ ส่วนอีกข้างก็เจิดจ้าราวกับดวงจันทร์สีเงิน

ในดวงตาแปลกประหลาดนั้น ภาพสิ่งที่เกิดขึ้นย้อนกลับมาฉายอีกครั้ง นักบวชศักดิ์สิทธิ์มองเห็นชายที่สวมหมวกคลุมสีดำลอบเข้ามาในปราสาท แทงดาบใส่โลงศพทองคำ และเมื่อเขากระโดดไปข้างหน้า พื้นที่ตรงนั้นก็บิดเบี้ยว

เวทมนตร์ระดับเก้า ‘ย้อนคืนสภาพ’

แม้ว่าโรโทสจะมองไม่เห็นถึงรายละเอียดปลีกย่อย แต่ก็พอจะบอกได้ว่าชายผู้นั้นทำสิ่งใดลงไป

ผู้บุกรุกได้ขัดขวางฟิงส์ ราชาผู้ยิ่งใหญ่ของพวกเราจากการฟื้นคืนชีพ!

“ท่านผู้ทรงศีลโรโทสขอรับ ขณะนี้ผู้บุกรุกอยู่ที่ใดหรือ” นักบวชชั้นสูงถามหลังจากรวบรวมความกล้า

“เขาหลบหนีไปแล้ว” นักบวชศักดิ์สิทธิ์กล่าวเสียงเย็น ฟังดูเหมือนเสียงที่ดังมาจากขุมนรก “เขาพยายามจะทำลายร่างขององค์ราชา เพื่อขัดขวางไม่ให้พระองค์ฟื้นคืนชีพกลับมา”

“เช่นนั้น…” นักบวชชั้นสูงเอ่ยด้วยความแตกตื่น

“พลังขององค์ราชาผู้ยิ่งใหญ่ย่อมเหนือความคาดการณ์ของแมลงตัวจ้อย” โรโทสกล่าว ขณะจดจ้องไปที่โลงศพทองคำ “ข้ายังสัมผัสได้ว่าองค์ราชากำลังเฝ้ามองเราอยู่ ข้าสัมผัสได้ถึงพลังอันล้นเหลือของพระองค์”

จากนั้นโรโทสก็ยกไม้คฑาขึ้นและพยายามมองหาเบาะแสเพิ่มเติม

แสงอาทิตย์สาดส่องขึ้นมา แต่จู่ๆ มันก็ดับวูบไป โรโทสตกตะลึง “เขาหาได้อยู่บนโลกนี้เช่นนั้นรึ!”

‘ไม่… นั่นมันไม่ถูกต้องแม่นยำ’ โรโทสสามารถสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของชายผู้นั้น แต่กลับตามหาตัวเขาไม่พบ!

อย่างน้อย ชายปริศนาผู้นี้ก็คงจะไม่ได้อยู่ในมิติที่โรโทสรู้จักเป็นแน่

หลังจากกระโจนผ่านม่านหนาหนักตรงปากทางทางเข้า ‘โลกแห่งวิญญาณ’ ลูเซียนก็สัมผัสได้ถึงความนิ่งงันแสนอันตรายที่คุ้นเคย โลกใบนี้มีเพียงสีเทา ขาว และดำเท่านั้น

ทว่า เขายังอยู่ในปราสาทแห่งเดิม และความแตกต่างเดียวก็คือสีสันทั้งหมดที่หายไป

ไม่สิ ไม่ใช่สีสันทั้งหมด ลูเซียนถึงกับนิ่งอึ้งเมื่อเห็นเส้นสายสีแดงสลัวรางที่ปกคลุมอยู่บนโลงศพทองคำสีเทา เส้นสายเหล่านั้นแผ่ขยายออกไปถึงวงแหวนเวทภายในปราสาท

แม้ว่าสีแดงอมน้ำตาลนี้จะค่อนข้างซีดจาง แต่มันก็ยังโดดเด่นขึ้นมาท่ามกลางโลกขาวดำแห่งนี้ และไม่มีทางที่ลูเซียนจะไม่สังเกตเห็นมัน เหนือโลงศพสีเทานั้น มีบอลแสงสีแดงเข้มคล้ายโลหิตอยู่ก้อนหนึ่ง มันเต้นตุบเหมือนหัวใจอยู่ท่ามกลางโลกที่น่าขนหัวลุกแห่งนี้

ลูเซียนหลับตาลง และสังเกตได้ว่าเขาไม่อาจใช้พลังจิตสัมผัสถึงบอลแสงได้เลยสักนิด แต่เมื่อเขาลืมตาขึ้น บอลแสงกลับอยู่ตรงนั้น!

และมีหลายสิ่งหลายอย่างกำลังแปรเปลี่ยนอยู่ภายในบอลแสงนั้น

ลูเซียนนึกสงสัยว่าบอลแสงนั้นคืออะไร และในสายตาเขา เส้นสายเหล่านั้นก็กำลังดูดซับพลังของฟิงส์อยู่ เขาพยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ใช้เวลาอยู่ที่นั่นเพื่อตรวจสอบ รวมถึงเก็บเส้นสายนั้นมาสักหนึ่งเส้น หรือเข้าไปดูบอลแสงใกล้ๆ อย่างไรเสีย ปีศาจระดับสูงอาจมายังจุดนี้ได้ทุกเมื่อ!

ลูเซียนเก็บดาบกลับไป แล้วยกเลิกการใช้เวทเสริมพลังและร่ายเวทป้องกันใส่ตัวเองชุดใหญ่ จากนั้นเขาก็ดัน ‘ประตูวิสุทธิชน’ เปิดออกจากข้างใน

ที่นี่หาได้มีผีดิบระดับแปดหรือเก้าอยู่เพราะนักบวชศักดิ์สิทธิ์ และนักบวชชั้นสูงทั้งหมดสามารถสร้างสุสานของตนเองได้

ข้างประตูมีสฟิงซ์ยืนอยู่สองตัวเช่นกัน พวกมันคือยามในโลกหลังความตายที่ทั่วตัวห่อหุ้มด้วยผ้าพันแผล

ยามทั้งสองเปล่งเสียงกรีดร้องอย่างเงียบงันแล้วเข้าโจมตีลูเซียนอย่างอืดอาด ราวกับรูปปั้นเย็นเยียบสองรูป

ลูเซียนแตะเครื่องรางที่ห้อยอยู่ตรงอก แล้วรัศมีแสงอันศักดิ์สิทธิ์ก็แผ่พุ่งออกมาเป็นระลอก

เมื่อโดนแสงอบอุ่นนั้น ยามทั้งสองก็พลันแข็งทื่อและหยุดนิ่งอยู่กับที่ จากนั้นพวกมันก็กลายเป็นเพียงกองเถ้าถ่าน ราวกับถูกตากแดดตากลมไว้มานับพันๆ ปี

เวทศักดิ์สิทธิ์ระดับหก ‘รัศมีขับไล่วิญญาณ!’

ลูเซียนรีบวิ่งลงไปตามโถงทางเดิน และรัศมีทรงกลดนั้นก็ยังคงล้อมรอบตัวเขาเอาไว้

สุสานเบื้องหลังประตูสัมผัสได้ถึงแสงสว่างซึ่งเป็นศัตรูตัวฉกาจ จึงบังเกิดความปั่นป่วนขึ้นในฉับพลันนั้น ภายในโลกขาวดำ ยามโลกหลังความตายที่ถือหอกเอาไว้ต่างฟื้นคืนชีพขึ้นมา และไล่ตามลูเซียนพร้อมกับแมลงตัวเล็กจิ๋วสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนที่ดูราวกับคลื่นน้ำที่หลั่งไหลถาโถม

ทั้งสุสานสั่นสะเทือนเล็กน้อยเมื่อรัศมีทรงกลดสัมผัสโดนขอบคลื่นฝูงแมลงแล้วลุกลามไปทั่ว แมลงสีดำถูกเผาจนเหลือเพียงควัน และเหล่ายามตัวขาวเทาก็ถูกทำลายจนเหลือเพียงเถ้าถ่านในทันที

โถงทางเดินปลอดโปล่งแล้ว ลูเซียนวิ่งไปอย่างรวดเร็วและใกล้จะไปถึงปากทางเข้าออกของสุสานแล้ว

แต่ทันใดนั้น ยามร่างสูงใหญ่ที่มีดวงตาทอประกายแสงสีขาวก็กระโจนออกมา มันมีรัศมีแห่งความตายล้อมรอบกายและถือดาบยักษ์อยู่ในมือ มันตรงเข้าหาลูเซียนจากมุมอับสายตา

ลูเซียนไม่แม้แต่จะพยายามหลบเลี้ยงการโจมตี กลับกระตุ้นพลังไปที่เครื่องรางมงกุฎสุริยันก่อนที่การป้องกันหลายชั้นของเขาจะถูกทำลายลง

เสาแห่งแสงลำหนาพุ่งลงมาจากเพดานและแทงทะลุยามโลกหลังความตายอย่างจัง ยามตนนั้นแหลกสลายกลายเป็นจุดแสงสีดำในทันใด และระเหยหายไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อเสาแห่งแสงหายลับไป ก็เหลือเพียงหลุมลึกที่ถูกทิ้งไว้บนพื้น เศษสีดำมากมายนั้นคือส่วนที่เหลืออยู่ของยามตนนั้น

เวทศักดิ์สิทธิ์ระดับแปด ‘ลำแสงอาทิตย์!’

ลูเซียนฉวยโอกาสนั้นวิ่งออกจากสุสาน และก็ได้เห็นท้องฟ้าสีเทาของโลกแห่งวิญญาณกับทะเลทรายอันเลือนลาง

ทว่า สิ่งที่ลูเซียนเพิ่งเห็นในปราสาท ทั้งเส้นสายสีแดงเข้ม วงแหวนเวทลับ และบอลแสงสลัวรางนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในสมองของเขา ดูเหมือนว่าทั้งหมดนั้นกำลังดูดซับพลังของฟิงส์ และไรน์ก็คงจะขโมยพลังไปเช่นกัน

ลูเซียนนึกสงสัยว่าผู้ใดกันที่จัดทำทั้งหมดนี้ขึ้นตั้งแต่แรก เขาพอจะเดาออกแต่บอลแสงสีคล้ายสนิมก็ยังคงเป็นปริศนาข้อใหญ่สำหรับเขา

แต่ว่าเขาไม่กล้าเสียเวลาในที่แห่งนั้นมากไปกว่านี้แล้ว ลูเซียนเรียกใช้งานหน้ากากแปลงกายและเปลี่ยนตัวเองเป็นผีดิบที่หาได้ทั่วไปภายในโลกแห่งวิญญาณเพื่อหาทางออกที่แห่งหนึ่ง

ภายในปราสาทของไวเคานต์นอร์ นครมาริมเบิร์ก อาณาจักรกุสตา

ไวเคานต์ปิดประตูแน่นแล้วเปิดใช้การกับดักเวทมนตร์ทั้งหมด จากนั้นจึงเดินเข้าไปในห้องลับภายในห้องทำงาน ภายในห้องลับนั้น มีหญิงสาวหน้าตางดงามในช่วงอายุต่างๆ นอนเรียงรายเป็นทิวแถว ใบหน้าของพวกนางแดงก่ำเหมือนดอกกุหลาบ ดูเหมือนพวกนางเพียงหลับไหลอยู่เท่านั้น

สายตาที่ไวเคานต์ใช้มองพวกนางดูคลุ้มคลั่งน่าสะอิดสะเอียน ราวกับกำลังชื่นชมสิ่งจำลองแสนประณีต นอร์ยื่นมือขวาออกไปไล้บนใบหน้าของเด็กสาวผู้หนึ่ง ที่ดูจะอายุไม่เกินสิบสามหรือสิบสี่ปี เขาสัมผัสได้ถึงความเย็นจากผิวของนาง

“พวกนั้นมิมีทางเข้าใจ… ศพคือสิ่งที่ดีที่สุดบนโลกใบนี้ ผู้หญิงฉลาดเฉลียวพวกนั้นมักจะหักหลัง โกหก สร้างปัญหา…มีเพียงศพเท่านั้นที่สมบูรณ์แบบ! ความเย็นที่เจ้าสัมผัสได้ยามแตะต้องพวกนาง และกล้ามเนื้อนุ่มหยุ่น… นี่คือศิลปะ!” ไวเคานต์พึมพำด้วยท่าทางบ้าคลั่ง

หลังจากที่ถูกเปลี่ยนให้เป็นแวมไพร์โดยเคาน์ติสผู้หนึ่ง นอร์ก็กลายเป็นกามวิตถารที่ชอบร่วมเพศกับศพ แวมไพร์ตนอื่นรังเกียจเดียดฉันเขาอย่างยิ่ง ดังนั้นเขาจึงจำต้องหลบซ่อนตัวอยู่ในสังคมมนุษย์เพื่อมีความสุขไปกับมัน

ทันใดนั้น เขาก็สัมผัสได้ถึงความปั่นป่วนบางอย่างในอากาศ แล้วก็ต้องตกตะลึงเมื่อนอร์พบว่าเขาไม่อาจเคลื่อนไหวร่างกายส่วนใดได้เลย ภายในกระจกที่อีกฟากหนึ่งของห้อง เขาเห็นชายปริศนาสวมหมวกคลุมสีดำยืนอยู่

“เจ้า… ต้อง… การ… อะไร” แม้แต่ลำคอของเขาก็ยังแข็งทื่อ

นอร์นึกหวาดเกรง เขารู้ว่าชายผู้นี้ย่อมต้องเป็นนักเวทระดับสูงแน่ เพราะเวทจองจำระดับสามของศาสตร์มืดที่ใช้อยู่นี้ทรงพลังอย่างมาก

“ข้ากำลังคิดว่าจะยืมเลือดของเจ้าสักหน่อย และปล่อยให้เจ้าหลับใหลไปสักพัก” ลูเซียนเอ่ยด้วยความรังเกียจ “แต่ตอนนี้… ข้าขอบอกเลยว่าข้าจะกุดหัวเจ้าเสีย”

หลังออกมาจากโลกแห่งวิญญาณผ่านช่องว่างอีกแห่ง ลูเซียนก็พยายามตามหาแวมไพร์ที่ซ่อนตัวอยู่ในสังคมมนุษย์ ในเมื่อเจ้าชายแดรกคูลายังคงไล่ติดตามหาตัวไรน์ การแปลงกายเป็นแวมไพร์ตนอื่นแล้วกลับเข้าไปยัง ‘มิติภูเขารัตติกาล’ จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด

“ไม่นะ!” นอร์ตะโกนด้วยความขมขื่น แต่เสียงที่เขาเปล่งออกมานั้นฟังดูช่างน่าขัน

แสงสว่างเจิดจ้าเข้ากลืนกินนอร์ และศพอันงดงามด้านหลังเขา

นครแอนทิฟเฟอร์ จักรวรรดิไฮลซ์ศักดิ์สิทธิ์ เมืองหลวงที่ยิ่งใหญ่อลังการที่สุดในโลก

ขณะยืนอยู่ตรงมุมและจ้องมองกำแพงเมืองอันงดงามที่สร้างขึ้นเพื่อต่อต้านการบุกรุกของเผ่าพันธุ์ยักษ์ โบลัค วอน ออง จู สมาชิกสายตรงของตระดูลกอร์ส ดูท่าทางค่อนข้างเศร้าสร้อย

“คุณชายน้อย เราไปกันเถอะขอรับ” ชายร่างแบบางในเสื้อแจ็คเก็ตสีดำเดินมาหาเขา

โบลัคหันมองไปรอบๆ แล้วพยักหน้าเล็กน้อย “เข้าใจแล้ว กิซ หวังว่าครั้งนี้เราจะได้อะไรติดมือมาบ้างนะ”

“คุณชายโบลัคขอรับ ท่านดยุกยังอยู่อีกนานขอรับ” กิซมองมาทางชายหนุ่มที่ค่อนข้างวิตกกังวลแล้วส่งยิ้มให้

ในฐานะตระกูลมีชื่อเสียงที่สุดและอยู่เคียงคู่จักรวรรดิไฮลซ์ศักดิ์สิทธิ์มานาน ตระกูลกอร์สทุกวันนี้ยังคงมีอัศวินทองคำสองท่านและดูแลกรมกองอัศวินของตนเอง นั่นก็คือ กองอัศวินกอร์ส นับแต่ที่ลูกชายคนโตของดยุกเฒ่าเสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน โบลัคก็กลายเป็นหนึ่งในผู้ท้าชิงตำแหน่งที่มีดูจะมีอนาคตไกลที่สุด เพราะสายเลือดบริสุทธิ์ของเขา ทว่า ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขากลับไม่อาจปลุกพรในกายขึ้นมาได้ ดังนั้น อาร์เธน คู่แข่งของเขาในตอนนี้ ซึ่งเป็นมหาอัศวินขั้นที่สาม จึงเป็นภัยต่อเขาอย่างร้ายแรง

เมื่อคิดถึงท่าทางยโสโอหังของอาร์เธนและบรรดาชนชั้นสูงที่คอยรายล้อมเอาอกเอาใจเขา โบลัคก็รู้สึกอับอายเหลือคณา

เขาได้สาบานกับตัวเองว่าสักวันหนึ่ง เขาจะทำให้ทุกผู้คนที่เคยทอดทิ้งเขารู้สึกเสียใจอย่างที่สุด!

เมื่อตระหนักว่าน้ำยาเวทมนตร์จากตระกูลของเขาคงไม่อาจช่วยอะไรเขาได้ หลังจากต่อสู้กับตนเองมาอย่างหนักหน่วง ในที่สุดโบลัคก็ตัดสินใจเดินทางมาที่ตลาดมืดเพื่อมองหาอุปกรณ์เวทมนตร์อันยอดเยี่ยมที่จะช่วยเขาได้

กิซเดินนำโบลัคเข้ามาในบ้านหน้าตาธรรมดา ภายใต้บ้านหลังนั้น ชั้นใต้ดินนั้นโล่งกว้างเกินกว่าจะคาดคำนึงได้ นี่คือที่ซ่อนตัวของตลาดมืดที่ใหญ่ที่สุดในนครแอนทิฟเฟอร์

ขณะหยิบจับอุปกรณ์เวทมนตร์ก่อนจะวางลงอยู่นั้น โบลัคดูท่าทางผิดหวังอย่างยิ่ง

ในตอนนั้นเอง ชายชราผมขาวโพลนก็เดินมาหาเขา

“พ่อหนุ่ม ข้ามองเห็นโชคชะตาของเจ้าจากลูกแก้วนี้ เจ้าอยากจะรู้หรือไม่” ชายชราปริศนาส่งยิ้มให้

ดวงตาของโบลัคเบิกกว้าง ก่อนที่เขาจะเหลือบลงมองลูกแก้วในมือของชายชรา นักเวทผู้นี้ช่างอาจหาญปรากฏกายขึ้นกลางตลาดมืดแห่งนี้

“ข้าไม่เชื่อในโชคชะตา ทุกสิ่งทุกอย่างคือพรของพระเจ้า” เห็นได้ชัดว่าโบลัคไม่ยอมเชื่อคนแปลกหน้าง่ายๆ

ชายชราสวมเสื้อคลุมสีดำไม่ถือสา “มิเป็นไรมิได้ โชคชะตาของคนย่อมมีการเปลี่ยนแปลง หากเจ้าไร้ทางออกแล้ว จงมาหาข้าล่ะ”

จากนั้นชายชราก็เดินจากไป

โบลัคส่ายหน้าแล้วมองหาอุปกรณ์เวทมนตร์ที่ตนต้องการต่อไป นี่เป็นครั้งที่เก้าแล้วที่เขามาที่นี่ ด้วยเป็นคนค่อนข้างดื้อรั้น เขาจึงเชื่อในพลังของเลขเก้า โบลัคมั่นใจว่าเป็นไปได้มากที่เขาจะค้นพบสิ่งที่เขาต้องการในคราวนี้ และหากล้มเหลว ความหวังก็คงแทบกลายเป็นศูนย์

ในตอนนี้ เขาเริ่มผิดหวังมากขึ้นเรื่อยๆ

บางที… บางทีเขาอาจไม่มีวันเอาชนะอาร์เธนได้ โบลัคเศร้าซึมเคร่งเครียดเกินจะบรรยาย

“คุณชายน้อย… บางทีเราน่าจะลอง… ข้าหมายถึง การพญากรณ์…” กิซแนะ

หลังจากเงียบไปนาน โบลัคก็พยักหน้า

ทั้งสองตรงไปหาร้านค้าเล็กๆ ของชายชราแล้วนั่งลง “ได้โปรดเถิดขอรับ”

ชายชรายิ้มกริ่มพลางลูบไล้ลูกแก้วแผ่วเบา ภายในนั้นขุ่นมัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

จุดแสงมากมายเปล่งประกายขึ้นภายในลูกแก้วแล้วหายไปโดยพลัน ชายชราเงยหน้าขึ้นพร้อมกับกล่าวว่า “เจ้ากำลังจะเจอกับการเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงในโชคชะตา”

“คืออะไรกันขอรับ!” โบลัคโพล่งถามด้วยความวิตก

ชายชราเอ่ยอย่างเชื่องช้า “สิ่งที่ข้ามองเห็นได้คือมันกำลังจะเกิดขึ้นยังคฤหาสน์ห่างไกลที่บิดาเจ้าทิ้งไว้ให้เมื่อราตรีกาลมาเยือน”

โบลัคตกตะลึงที่ชายชรามองเห็นคฤหาสน์นอกเมืองที่เป็นของบิดาเขา ชู้รักของบิดาเขาเคยอาศัยอยู่ที่นั่น และสมาชิกในครอบครัวส่วนใหญ่จะไม่ทราบถึงการมีอยู่ของมัน

หลังจากจ่ายเงินให้ชายชราไปสองธาเล โบลัคก็ออกจากร้านนั้น แต่เมื่อเขาหันหลังกลับมามอง ทั้งชายชราและร้านของเขาก็ได้หายไปแล้ว!

เมื่อเสาะหาทั้งตลาดมืดดูแล้ว พวกเขากลับไม่พบชายชราในเสื้อคลุมสีดำอีกเลย

“เขาไปที่ใดกัน” โบลัคกับกิซมองสบตากันด้วยความตะลึงงัน

เมื่อยามราตรีมาเยือน ณ คฤหาสน์นอกเมือง โบลัคได้ไล่ข้ารับใช้กลับออกไปทั้งหมด เขาพยายามจะหาสิ่งของที่ดูพิเศษบางอย่างภายในบ้านตามที่ชายชราชี้นำ แต่กลับไม่พบอะไรเลย

โบลัคยิ่งสับสนมึนงงขณะที่เขาพึมพำกับตนเองอยู่ในห้องทำงาน ขณะนี้เกือบจะเป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว และดวงจันทร์สีเงินก็ลอยเด่นอยู่กลางนภา

ในขณะที่เขากำลังสิ้นหวังอยู่นั้น เขาก็มองเห็นลำแสงจากดวงจันทร์ที่ส่องกระทบรูปเหมือนของบิดา ภายใต้แสงจันทรา โบลัคมองเห็นนิ้วชี้บนมือข้างขวาของบิดาบิดเบี้ยวเล็กน้อย ก่อนจะชี้เข้าไปภายใน

‘ภายในงั้นรึ’

‘ด้านใน!’

โบลัคกระโดดลงจากเก้าอี้ยาวแล้วปลดรูปเหมือนลงมาแกะออกจากกรอบ หลังจากตรวจดูรูปเหมือนอย่างถ้วนถี่ เขาก็เจอกับกระดาษหนังด้านหลังนั้น

กระดาษหนังเตือนให้เขานึกถึงคำพูดของบิดาที่เคยบอกเขาไว้เมื่อนานมาแล้ว “เมื่อเจ้ารู้สึกสิ้นหวังเหลือคณา จงมองรูปเหมือนเพื่อมองหาพลังของเจ้า”

ความทรงจำของโบลัคนั้นค่อนข้างเลือนราง แล้วเขาก็รีบแกะกระดาษหนังออกอย่างตื่นเต้น

เศษกระดาษสีขาวร่วงลงมาจากม้วนกระดาษหนัง แล้วเขาก็เห็นลายมือคุ้นตาของพ่อ

‘โบลัค เมื่อเจ้าสูญสิ้นความหวัง เขาอาจอยากยืมพลังจากสัญญานี้ ทว่า เจ้าห้ามขายวิญญาณให้กับปีศาจ และห้ามไว้ใจคิดพึ่งพามัน”’

ลมหายใจของเขาเริ่มหอบหนัก กระดาษหนังนั้นเขียนด้วยภาษาซิลวานาสโบราณว่า

‘กฎของปีศาจคือ เจ้าต้องจ่ายเพื่อแลกกับสิ่งที่เจ้าต้องการ! เจ้ายินดียอมรับกฎข้อนี้หรือไม่’

โบลัคขบริมฝีปากและจับกระดาษหนังในมือแน่น หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็พยักหน้าแรงๆ

ถ้อยคำปรากฏขึ้นบนกระดาษหนังเป็นแถวแนว แม้ว่าโบลัคจะอ่านภาษานั้นไม่ออก แต่เขากลับเข้าใจได้

‘เจ้า ผู้ต้องการลงนามในสัญญา จักต้องทำตามทุกขั้นตอนในการอัญเชิญปีศาจที่แข็งแกร่งที่สุด นั่นคือ เมื่อนาฬิกาตีบอกเวลาสิบสองครั้ง จงจุดเทียนที่หน้ากระจก ผมเผ้าของเจ้าต้องยุ่งเหยิง แล้วปอกเปลือกผลแอปเปิล หากว่าเปลือกไม่ขาดออกจากกันตั้งแต่เริ่มจนจบ และเทียนไม่ดับไปเสียก่อน เจ้าจะอัญเชิญปีศาจมาได้!’