ตอนที่ 158 คุยกันให้รู้เรื่อง

ออกแบบรักโปรเจกต์หัวใจ

เมิ่งชิงซีแอบเห็นว่าคุณแม่ลอบถอนหายใจออกมาเมื่อเมิ่งไหวเซินข้ามเรื่องของฉินอวิ๋นไป ส่วนคุณพ่อก็หันมาบ่นเธอแทน แม้ว่าตอนนี้เมิ่งชิงซีจะไม่พอใจ แต่เธอก็ไม่อาจโต้เถียงเมิ่งไหวเซินได้ 

 

 

“พ่อขา ทำไมถึงวนมาพูดเรื่องหนูอีกแล้วล่ะ เรื่องของหนูพ่อไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะคะ” เมิ่งชิงซีพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน 

 

 

แต่เมิ่งไหวเซินไม่หลงกลเธอ “ลูกบอกว่าพ่อไม่ต้องเป็นห่วง แต่ดูสิ่งที่ลูกทำสิ ลูกทำแต่ละอย่าง ตามตื๊อเขามาตั้งนาน แล้วเซ่าเชินเคยหันกลับมามองลูกบ้างไหม” 

 

 

“พ่ออย่าซ้ำเติมหนูแบบนี้ได้ไหมคะ” เมิ่งชิงซีไม่สนว่าใครจะพูดว่าเธอกับลั่วเซ่าเชินจะไม่ได้ลงเอยกัน เธอเชื่อมั่นว่าท้ายที่สุดแล้วเธอจะคว้าลั่วเซ่าเชินมาได้ทั้งตัวและหัวใจ 

 

 

ฉินอวิ๋นตักซุปมาวางไว้ตรงหน้าเมิ่งไหวเซิน “ไหวเซินคะ ชิงซีไม่ยอมก็ปล่อยเธอไปเถอะค่ะ เราเองก็พูดกันมาตั้งหลายครั้งแล้ว แต่ในเมื่อเธอไม่ฟัง ก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติดีกว่าค่ะ เดี๋ยววันข้างหน้าเธอก็คงจะคิดได้เองว่าเราหวังดีกับเธอ” 

 

 

เมิ่งชิงซีวางชามและตะเกียบลง “หนูอิ่มแล้วค่ะ” จากนั้นเธอก็วิ่งขึ้นชั้นบนไปทันที มือของฉินอวิ๋นที่ตักซุปอยู่อีกชามพลันชะงักลง เดิมทีเธอจะตักซุปให้เมิ่งชิงซี แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่อยู่แล้ว ฉินอวิ๋นจึงวางมันลงตรงหน้าตัวเอง 

 

 

เมิ่งชิงซีหนีไปก่อนที่เมิ่งไหวเซินจะพูดจบ ซึ่งนั่นทำให้เขาไม่สบายใจเป็นอย่างมาก “อวิ๋นเอ๋อร์ เรื่องแต่งงานของชิงซี เราควรจะรีบคิดกันได้แล้วนะ ลูกไม่ใช่เด็กๆ แล้ว” 

 

 

ฉินอวิ๋นพยักหน้า “ค่ะ ไหวเซิน ฉันเองก็คอยดูอยู่ ควรให้ชิงซีตัดใจจากเซ่าเชินซะ ก็คงจะดีที่สุดค่ะ” 

 

 

เดิมทีฉินอวิ๋นก็ยังคงยืนอยู่ข้างเดียวกันกับเมิ่งชิงซี สนับสนุนให้เธอได้ครอบครองลั่วเซ่าเชิน แต่วันนี้เมิ่งชิงซีกลับหันหอกมาทำร้ายฉินอวิ๋น นี่ไม่เท่ากับว่าเธอที่เป็นแม่ของเมิ่งชิงซีกลับไม่ได้สำคัญมากไปกว่าลั่วเซ่าเชินเลยอย่างนั้นหรือ? 

 

 

เมิ่งชิงซีล็อกประตูห้อง เธอรู้สึกว่าเธอใกล้จะหมดสิทธิ์พูดเต็มทีแล้ว เธอเคยบอกมาตั้งนานแล้วว่าถ้าไม่ใช่ลั่วเซ่าเชิน เธอก็จะไม่แต่งงานด้วย แล้วทำไมตอนนี้คุณพ่อคุณแม่ถึงต้องมาบังคับให้เธอเปลี่ยนใจด้วย 

 

 

ทำไมเธอถึงต้องยอมรับผู้ชายคนอื่น พวกเขาดีพอที่จะเทียบกับลั่วเซ่าเชินเหรอ เมิ่งชิงซีนึกถึงพวกผู้ชายที่เธอเคยพบมาก่อนหน้านี้ ถ้าไม่ใช่พวกผู้ชายเจ้าชู้ ก็เป็นพวกคุณชายที่เลื่อนลอยไปวันๆ ซึ่งผู้ชายพวกนั้นไม่ใช่คนในอุดมคติที่เธอต้องการเลย 

 

 

และเมื่อนึกถึงการกระทำของฉินอวิ๋นเมื่อครู่นี้ เมิ่งชิงซีก็ทึ้งผ้าห่มด้วยความโมโห ตอนนี้เมิ่งชิงซีลืมไปแล้วว่าเธอกับฉินอวิ๋นเป็นแม่ลูกกัน 

 

 

 

 

 

ลั่วเซ่าเชินเป็นห่วงว่าถังโจวโจวจะควบคุมสติไม่ได้ ดังนั้นเมื่อเขาเห็นว่าคุณแม่ลั่วฟื้นแล้ว เขาอยู่ไปก็ไม่มีอะไรทำ เขาจึงขับรถไปที่บ้านของตระกูลถัง และในขณะที่เขากำลังจะกดกริ่งอยู่นั้น ใจก็คิดไปว่าถังโจวโจวกำลังทำอะไรอยู่ 

 

 

เมื่อคุณแม่ถังได้ยินเสียงคนกดกริ่ง เธอก็คิดว่าน่าจะเป็นลั่วเซ่าเชิน และเมื่อเธอเปิดประตูออกไปดู เธอก็พบว่าเป็นลั่วเซ่าเชินจริงๆ เขาสวมเสื้อโค้ทสีดำตัวใหญ่ ยืนเด่นตระหง่านราวกับต้นสนอยู่หน้าประตู 

 

 

“มาแล้วเหรอเซ่าเชิน มาหาโจวโจวใช่ไหม เธอนั่งอยู่ข้างในโน่นแน่ะ” คุณแม่ถังหลีกทางให้ลั่วเซ่าเชินเดินเข้ามา แล้วเขาก็พบว่าถังโจวโจวกำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่ในห้องนั่งเล่น เธอเหยียดยิ้มออกจนเต็มแก้ม ดูเหมือนว่าเรื่องที่เธอไม่ใช่ลูกของตระกูลถังจะไม่ได้ส่งผลต่ออารมณ์ของเธอ 

 

 

“แม่ครับ โจวโจวเป็นยังไงบ้าง” ลั่วเซ่าเชินกระซิบถามคุณแม่ถัง เขากลัวว่าสิ่งที่เขาเห็นอยู่นี้มันอาจจะเป็นแค่เพียงภาพลักษณ์ภายนอกของถังโจวโจว แต่ในใจของเธอกลับเจ็บปวดรวดร้าวไปหมดแล้ว 

 

 

เมื่อคุณแม่ถังเห็นรอยย่นเล็กน้อยที่หน้าผากของลั่วเซ่าเชิน เธอก็รู้ว่าเขากำลังกังวลเรื่องอะไรอยู่ เธอตบหลังเขาเบาๆ “วางใจได้จ้ะ โจวโจวไม่เป็นอะไร เมื่อครู่นี้แม่คุยกับเธออยู่นาน คุณไม่ต้องเป็นห่วงนะ” 

 

 

คุณแม่ถังพูดปลอบใจลั่วเซ่าเชินและตัวเธอเอง เธอหวังว่าถังโจวโจวจะไม่ได้รับผลกระทบ หรือเกลียดพ่อแม่แท้ๆ ของเธอเพราะเรื่องนี้ 

 

 

ลั่วเซ่าเชินเห็นว่าคุณแม่ถังเดินเข้าไปในห้อง หลังจากเอ่ยทักทายเขาเสร็จ เธอทิ้งพื้นที่ไว้ให้พวกเขา เขานั่งลงข้างถังโจวโจว และเห็นว่าเธอกำลังดูสารคดีสัตว์โลกอยู่ “โจวโจว คุณโอเคดีใช่ไหม” 

 

 

ที่จริงแล้ว ถังโจวโจวรู้ตั้งนานแล้วว่าลั่วเซ่าเชินมา เมื่อตอนที่คุณแม่ถังออกไปเปิดประตู ถังโจวโจวก็รู้เลยว่าคนที่มาในเวลานี้คือใคร เพียงแต่เธอไม่อยากขยับตัว และก็ไม่อยากจะคุยอะไรกับลั่วเซ่าเชินในตอนนี้ 

 

 

เมื่อเห็นว่าลั่วเซ่าเชินโพล่งถามเธอออกมา ถังโจวโจวก็อยากจะเคาะกะโหลกเขาเสียจริง ถ้าตอนนี้เธอเห็นว่าเธอกำลังเสียใจอยู่ เขาจะกล้าถามแบบนี้ออกมาไหม 

 

 

“ถ้าฉันโอเค มันจะเป็นยังไงคะ? แล้วถ้าฉันไม่โอเคล่ะ มันจะเป็นยังไงต่อ” 

 

 

ถังโจวโจวหันหน้าไปมองเขา ลั่วเซ่าเชินนิ่งงันไป เขาไม่คิดว่าถังโจวโจวจะถามเขาออกมาแบบนี้ หลังจากคิดอยู่สักพัก ลั่วเซ่าเชินก็ตอบเธอว่า “ถ้าคุณเสียใจ ผมก็จะปลอบคุณ แต่ถ้าคุณไม่ได้เสียใจ ผมก็จะชดเชยให้คุณ” 

 

 

ถังโจวโจวจ้องเขาอยู่นานก่อนจะพูดสั้นๆ ว่า “ค่ะ ฉันรู้แล้ว” 

 

 

ท่าทางและน้ำเสียงที่เรียบเฉยแบบนี้ ทำให้หัวใจของลั่วเซ่าเชินเต้นถี่ นี่เธอหมายความว่าอย่างไร? 

 

 

บรรยากาศเย็นยะเยือกลงไปครู่หนึ่ง ถังโจวโจวยังคงดูสารคดีสัตว์โลกของเธอต่อไป แต่สิ่งที่ทำให้ต้องอับอายขึ้นมากะทันหันก็คือ ภายในโทรทัศน์กำลังฉายกระบวนการการผสมพันธุ์ของสัตว์อยู่ในขณะนี้ ซึ่งนั่นทำให้ถังโจวโจวตกอยู่ในที่นั่งลำบาก ส่วนลั่วเซ่าเชินก็แค่อมยิ้มพลางมองดูใบหูของถังโจวโจวที่แดงก่ำ 

 

 

ถังโจวโจวจำเป็นต้องกดเปลี่ยนช่องไปโดยปริยาย แต่ดูเหมือนว่าวันนี้โทรทัศน์จะไม่เข้าข้างเธอ รายการวาไรตี้ที่กำลังฉายอยู่ก็มีคู่ชายหญิงที่กำลังจีบกัน ซึ่งนั่นทำให้ถังโจวโจวยิ่งไม่เป็นตัวของตัวเอง 

 

 

เมื่อถังโจวโจวกดปุ่มอีกครั้ง หน้าจอโทรทัศน์ก็ดับลง ลั่วเซ่าเชินพูดหยอกล้อเธออยู่ข้างๆ ว่า “โจวโจว ไม่ดูแล้วเหรอ รายการมันเพิ่งจะเริ่มเองนะ” 

 

 

“ฉันไม่อยากดูแล้วค่ะ แล้วคุณมาที่นี่ทำไมคะ” คราวนี้ถังโจวโจวเงยหน้าขึ้นมาสบตาลั่วเซ่าเชิน ลั่วเซ่าเชินก็ไม่ได้ล้อเธอเล่นอีกต่อไป “ก็ผมบอกว่าผมจะมารับคุณกลับ นี่ผมก็มาทำตามสัญญาไง” 

 

 

“แต่ตอนนี้ฉันยังไม่อยากกลับ” ถังโจวโจวไม่อยากกลับไปอยู่กับลั่วเซ่าเชิน เธอยังคงไม่ลืมว่าคุณแม่ลั่วไม่ยอมรับเธออย่างไร ถังโจวโจวคิดว่าที่ตอนนี้เธอไม่ได้โมโหใส่ลั่วเซ่าเชิน ก็นับว่าเป็นบุญของเขาแล้ว 

 

 

“คุณยังไม่อยากกลับ ผมก็จะไม่บังคับคุณ แต่ถ้าคุณอยากไปไหน คุณต้องบอกผมนะ ผมจะพาคุณไปเอง” 

 

 

ลั่วเซ่าเชินรู้แก่ใจดี เรื่องของถังโจวโจวในวันนี้ เขาเองก็มีส่วนที่ต้องรับผิดชอบด้วยเหมือนกัน เพราะท้ายที่สุดแล้ว ต้นเหตุก็คือเขา เมิ่งชิงซีถึงได้กล้าเปิดเผยความจริงอันโหดร้ายนี้ออกมาต่อหน้าทุกคน 

 

 

ถังโจวโจวนึกว่าลั่วเซ่าเชินจะเข้าใจเธอ เธอพูดอย่างไม่ไยดีว่า “ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันไปเองได้ ฉันไม่รบกวนคุณชายลั่วหรอก” 

 

 

ลั่วเซ่าเชินเห็นว่าเธอไม่รับความหวังดีจากเขา เขาก็นึกว่าเธอยังคงโกรธที่คุณแม่ลั่วพูดอย่างนั้นอยู่ ลั่วเซ่าเชินยอมรับว่าคำพูดเหล่านั้นของคุณแม่ลั่วทำร้ายจิตใจของคนอื่นมากเกินไป 

 

 

แต่เขาจะทำอย่างไรได้ล่ะ นั่นคือแม่ของเขา เขาจึงได้แต่ถอยออกมา แต่ภายในใจของเขา เขาอยู่ข้างเดียวกันกับถังโจวโจวอยู่แล้ว ถังโจวโจวควรจะเข้าใจเขาสิ ถึงจะถูก 

 

 

“โจวโจว เราเป็นสามีภรรยากัน ทำไมคุณต้องพูดแบบนั้น” 

 

 

อยู่ๆ ลั่วเซ่าเชินก็กุมหน้าท้อง จนถึงตอนนี้ข้าวยังไม่ได้ตกถึงท้องเขาเลยสักเม็ด แล้วถังโจวโจวก็ยังจะพยายามทำลายความสัมพันธ์ของเธอกับเขาอีก ท่าทีเหล่านี้ของเธอทำให้ลั่วเซ่าเชินโกรธจนปวดท้อง 

 

 

ถังโจวโจวไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติของลั่วเซ่าเชิน เธอดำดิ่งอยู่ในโลกของตัวเอง “ถ้าคุณอยากทำอย่างนั้นก็โอเค ตอนนี้ฉันอยากออกไปข้างนอก คุณไปส่งฉันหน่อยก็แล้วกันนะคะ” 

 

 

ถังโจวโจวพูดพลางลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปในห้องนอนของคุณแม่ถัง ไม่รู้ว่าเธอเข้าไปคุยอะไรกับคุณแม่ถัง เพียงครู่เดียวเธอก็เดินออกมา เธอหยิบกระเป๋าของเธอและเดินออกไปด้านนอกทันที ส่วนลั่วเซ่าเชินก็ได้แต่รีบตามเธอออกไป 

 

 

ลั่วเซ่าเชินไปส่งถังโจวโจวที่หน้าสำนักพิมพ์ของหลินเหยา และเมื่อเขาเห็นว่าถังโจวโจวตั้งท่าจะลงจากรถโดยที่ไม่ยอมคุยกับเขาสักคำ ลั่วเซ่าเชินก็เอี้ยวตัวมาดึงประตูที่ถังโจวโจวกำลังจะเปิดออก 

 

 

ถังโจวโจวชำเลืองมองเขา “ลั่วเซ่าเชิน นี่คุณจะทำอะไร” 

 

 

ลั่วเซ่าเชินคิดในใจ ดูเหมือนว่าเธอจะโกรธไม่เบา ถึงขึ้นเรียกชื่อเต็มเขาออกมาแล้ว “โจวโจว ถ้าเรายังคุยกันไม่รู้เรื่อง คุณก็ไม่ต้องลงจากรถ” 

 

 

“นี่คุณหมายความว่ายังไง” ถังโจวโจวหรี่ตา เธอไม่เข้าใจความหมายที่ลั่วเซ่าเชินกำลังจะสื่อ 

 

 

เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าเธอแกล้งทำเป็นซื่อ เขาก็จับมือของถังโจวโจวไว้อย่างไร้เหตุผล “โจวโจว คุณก็รู้จักนิสัยของผมดี ในเมื่อมันแก้ไขไม่ได้ เราก็ต้องปล่อยให้มันผ่านไป” หากวันนี้ลั่วเซ่าเชินคุยไม่รู้เรื่อง เขาก็จะไม่ปล่อยถังโจวโจวลงจากรถ 

 

 

ถังโจวโจวย่อมต้องรู้นิสัยใจคอของลั่วเซ่าเชินอยู่แล้ว ดังนั้นเธอจึงปิดปากเงียบและไม่สนใจเขา เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าเธอไม่แม้แต่จะพูดกับเขา เขาจึงดึงมือของถังโจวโจวมาเล่นอยู่เงียบๆ 

 

 

“โจวโจว คุณไม่เห็นด้วยก็ไม่เป็นไร ผมไม่ได้บังคับคุณ ถ้าอย่างนั้น…ผมขับรถพาคุณกลับบ้านเลยก็แล้วกันนะ” 

 

 

แม้ว่าถังโจวโจวจะเห็นว่าเขาพูดจาดีน่าฟัง แต่ความจริงแล้วเขากำลังบังคับเธอกลายๆ นั่นแหละ พวกเขานั่งเผาเวลาอยู่อย่างนั้น และเมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าเธอกับเขาต่างไม่มีใครยอมใคร เขาก็เข้าเกียร์และขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว 

 

 

ถังโจวโจวมองเห็นที่ทำงานของหลินเหยาค่อยๆ ห่างออกไป “ลั่วเซ่าเชิน จอดรถเดี๋ยวนี้นะ! คุณบอกเองไม่ใช่เหรอว่าไม่ว่าฉันจะไปที่ไหน คุณก็จะพาฉันไป?” 

 

 

เท้าของลั่วเซ่าเชินแตะอยู่ที่คันเร่ง แต่เขาก็ไม่ปล่อยให้ปากว่าง “โจวโจว ผมเคยพูดแบบนั้นก็จริง แต่คุณไม่รู้หรือไงว่าคนเรามันเปลี่ยนใจกันได้” 

 

 

คำพูดนั้นทำให้ถังโจวโจวกลืนประโยคที่เธอกำลังจะพูดกลับลงไปในคอ ภายในรถเงียบสงบ ถังโจวโจวรู้สึกดีใจที่ไม่ได้บอกหลินเหยาว่าเธอจะมาหา มิฉะนั้นเธอคงโดนหลินเหยาก่นด่าเป็นชุดไปแล้ว 

 

 

เพียงไม่นานลั่วเซ่าเชินก็ขับรถมาถึงบ้าน ทันทีที่เขาเปิดประตูรถ ลั่วเซ่าเชินก็เห็นว่าถังโจวโจวยังไม่ยอมลงจากรถ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร เขาเดินอ้อมไปเปิดประตูรถฝั่งที่นั่งข้างคนขับ ถังโจวโจวนั่งนิ่งไม่ขยับตัว เธออยากจะรู้ว่าวันนี้ลั่วเซ่าเชินจะทำได้ถึงขั้นไหน 

 

 

ลั่วเซ่าเชินนั่งยองๆ ตรงหน้าถังโจวโจว “โจวโจว คุณคิดอะไรอยู่ ถ้าคุณไม่พอใจผม คุณบอกผมได้นะ เราไม่ควรปิดบังกันแบบนี้ ตกลงไหม” 

 

 

เมื่อเห็นว่าลั่วเซ่าเชินพูดดีๆ กับเธอ ถังโจวโจวก็รู้สึกว่าเขาแสร้งทำ ลั่วเซ่าเชินเปลี่ยนบุคลิกเหรอ? ทำไมวันนี้เขาถึงยอมเธอจังเลย? 

 

 

ถังโจวโจวไม่รู้ว่าวันนี้ลั่วเซ่าเชินไข้ขึ้นหรืออย่างไร เธอยังคงนั่งชมนกชมไม้อยู่อย่างนั้น ราวกับไม่รับรู้ว่าลั่วเซ่าเชินกำลังพูดอยู่กับเธอ 

 

 

“โจวโจว เราจะคุยกันดีๆ ได้ไหม” ลั่วเซ่าเชินยังคงถามต่อไป วันนี้เขาจะต้องง้างปากของถังโจวโจวให้ได้ เพื่อให้ได้คำตอบที่เขาต้องการ 

 

 

หลังจากที่ถังโจวโจวหนีออกจากบ้านไปเมื่อครั้งก่อน ถึงแม้จะดูเหมือนว่าพวกเขาคืนดีกันแล้ว แต่ลั่วเซ่าเชินรู้สึกว่าถังโจวโจวแค่ไม่อยากจะสนใจเขาก็เท่านั้นเอง เพราะลึกๆ แล้วเธอยังคงไม่ให้อภัยเขา เพียงแต่แสร้งทำเป็นให้อภัยเขาตามสถานการณ์ในวันนี้ก็เท่านั้น 

 

 

และเรื่องที่ว่าถังโจวโจวคิดอย่างไร ลั่วเซ่าเชินก็ไม่แน่ใจนัก