ตอนที่ 159 อุปสรรค

ออกแบบรักโปรเจกต์หัวใจ

ถังโจวโจวยอมสบตาเขาในที่สุด แต่เพียงพริบตาเดียวเธอก็หลุบตาลง ลั่วเซ่าเชินไม่ย่อท้อ แค่เธอรับฟังก็ถือว่าเป็นเรื่องดีแล้ว 

 

 

“คุณอยากจะคุยอะไรกับฉันล่ะคะ” ถังโจวโจวมองชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า เขาทั้งรูปหล่อและสง่างาม แต่เพราะเหตุนี้ก็ทำให้เขาถูกห้อมล้อมไปด้วยฝูงผีเสื้อแสนสวย ซึ่งนั่นทำให้ถังโจวโจวเป็นทุกข์มาก 

 

 

เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าเธอโต้ตอบกับสิ่งที่เขาพยายามพูดอยู่ก่อนหน้านี้ เขาก็พูดอย่างดีอกดีใจว่า “โจวโจว ในที่สุดคุณก็สนใจผมแล้ว” 

 

 

ถังโจวโจวถามซ้ำอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าเขามัวแต่ตื่นเต้นจนลืมใส่ใจคำถามของเธอ “คุณจะคุยอะไรกับฉันคะ” 

 

 

ถังโจวโจวไม่คิดว่าระหว่างเธอกับเขาจะยังมีอะไรให้คุยกันอีก ถ้าให้พูดถึงเรื่องของอนาคต ระหว่างลั่วเซ่าเชินกับเธอก็เป็นเรื่องไม่แน่นอน จนอาจกล่าวได้ว่าอนาคตของพวกเขาทั้งสองคนช่างเลือนรางเหลือเกิน 

 

 

นี่เป็นครั้งแรกที่ถังโจวโจวรู้สึกว่าการมีตัวตนในครอบครัวของสามีเป็นอะไรที่หนักหนาเสียเหลือเกิน ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะตัวตนของเธอเองเช่นนั้นหรือ ไม่ว่าเธอจะพยายามมากขนาดไหน แต่ในสายตาของคุณแม่ลั่วก็สนใจแค่เพียงเมิ่งชิงซี และไม่มีเธออยู่ในสายตาเลยสักนิด 

 

 

“โจวโจว คุณลงมาก่อนเถอะ เดี๋ยวเราค่อยไปคุยกันต่อข้างใน” ลั่วเซ่าเชินเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เขายื่นแขนออกไปตรงหน้าถังโจวโจว จากนั้นก็ขอแค่เพียงถังโจวโจววางมือลงบนท่อนแขนของเขา เขาก็จะสามารถพาถังโจวโจวเข้าไปในบ้านได้ 

 

 

แต่น่าเสียดายที่ถังโจวโจวไม่สนใจเลย เธอจัดเสื้อผ้าของตัวเองเล็กน้อย สายตาเมินเฉยต่อมือที่ยื่นออกมาของลั่วเซ่าเชิน เธอหยัดตัวขึ้นแล้วลงจากรถไปเอง 

 

 

มือของลั่วเซ่าเชินลอยค้างอยู่อย่างนั้น สีหน้าของเขาดูเจื่อนลง แต่เพียงไม่นานก็กลับมาเป็นปกติ “โจวโจว ไปกันเถอะ เข้าไปข้างในกัน” 

 

 

           ตอนนี้เลยเวลาอาหารกลางวันมาแล้ว ลั่วเซ่าเชินรู้สึกได้ว่ากระเพาะอาหารของเขาเริ่มส่งสัญญาณเตือน ขณะที่เขาเดินตามถังโจวโจวเข้าไปในบ้าน จู่ๆ ตัวเขาก็เซไปชนถังโจวโจว ซึ่งนั่นทำให้เธอสะดุ้งตกใจ 

 

 

ลั่วเซ่าเชินรีบทรงตัวและกล่าวขอโทษ “โจวโจว ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจ” ลั่วเซ่าเชินพยายามหยัดตัวให้ยืนอยู่ได้ ใบหน้าของเขาดูซีดเผือด แล้วเธอก็สังเกตเห็นว่ามือของเขากุมหน้าท้องอยู่ ซึ่งดูเหมือนว่าตรงนั้นมันจะเป็นกระเพาะอาหาร 

 

 

“คุณเป็นอะไรคะ ปวดท้องเหรอ” ถังโจวโจวไม่เคยรู้มาก่อนว่าลั่วเซ่าเชินเป็นโรคกระเพาะ แต่ว่าท่าทางของเขาก็ไม่เหมือนว่าแสร้งทำเลย เธอจึงลังเลใจอยู่ชั่วขณะว่าควรจะยื่นมือออกไปช่วยเขาไหม 

 

 

ลั่วเซ่าเชินเห็นถังโจวโจวยืนนิ่ง แววตาดูลังเล แทนที่เธอจะรีบเข้ามาถามอาการของเขาอย่างเป็นห่วงเป็นใย แต่พอเห็นเธอนิ่งงันแบบนี้เขาก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นหมาป่าที่แสนน่ากลัวในความคิดของเธอไปแล้ว 

 

 

“โจวโจว ผมไม่ได้เป็นอะไร แค่ไม่ได้กินข้าวกลางวันน่ะ ตอนนี้ท้องมันก็เลยเริ่มประท้วง พักสักหน่อยเดี๋ยวก็หาย” ลั่วเซ่าเชินพูดในขณะที่มือข้างหนึ่งกุมหน้าท้องอยู่ 

 

 

แม้จะบอกว่าไม่เป็นไร แต่ลั่วเซ่าเชินก็ยังอยากจะรู้ว่าถังโจวโจวจะทำเพื่อเขาได้ไหม เธอจะไม่สนใจเขาแล้วจริงๆ หรือ 

 

 

เม็ดเหงื่อของลั่วเซ่าเชินค่อยๆ ผุดออกมา และในที่สุดถังโจวโจวก็ยอมเชื่อว่าเขาไม่ได้หลอกเธอ เธอตรงเข้าไปประคองลั่วเซ่าเชิน แล้วพาไปนั่งที่โซฟา 

 

 

“แล้วทำไมคุณถึงไม่กินข้าวคะ นี่คุณล้อเล่นกับร่างกายของคุณได้ยังไง” ถังโจวโจวต่อว่า 

 

 

เมื่อก่อนลั่วเซ่าเชินเคยรู้สึกว่าคำพูดเหล่านี้ช่างน่ารำคาญ นอกเสียจากให้อีกฝ่ายได้บ่นเสียหน่อยแล้วมันยังมีประโยชน์อะไรอีก 

 

 

มาวันนี้เขาถึงได้รู้ซึ้งแล้วว่าน้ำเสียงพร่ำบ่นของถังโจวโจวนั้นไพเราะเสนาะหูมากเพียงใด แม้ว่าถังโจวโจวจะเอื้อนเอ่ยคำที่เขาไม่อยากได้ยินก็ตาม แต่ลั่วเซ่าเชินก็ยังรู้สึกว่ามันเป็นเสียงที่น่าฟัง 

 

 

หลังจากถังโจวโจวประคองลั่วเซ่าเชินไปนั่งแล้ว บ้านทั้งหลังก็ตกอยู่ในความเงียบ ป้าหลิวพาลั่วอิงออกไปข้างนอก ถังโจวโจวจึงต้องลงครัวทำอาหารให้ลั่วเซ่าเชินด้วยตัวเอง เพื่อปลอบประโลมกระเพาะอาหารของเขา 

 

 

ลั่วเซ่าเชินอดทนอยู่เฉยๆ ไม่ได้ ถังโจวโจวบอกให้เขานั่ง แต่เขากลับเดินตามเธอเข้าไปในครัว ถังโจวโจวผลักเขาเบาๆ หมายจะไล่เขาออกไป แต่ลั่วเซ่าเชินก็ไม่สนใจ “โจวโจว ผมชอบมองเวลาคุณทำอาหารให้ผมกิน” 

 

 

คำพูดของเขาทำให้ใบหน้าของถังโจวโจวเกือบจะเคลือบไปด้วยสีแดง แต่ถังโจวโจวรู้สึกว่าถ้าหากเธอหน้าแดงขึ้นมาในตอนนี้ มันจะแสดงให้เขาเห็นว่าเธอใจอ่อนเกินไป ดังนั้นเธอจึงตีหน้าขรึม แต่น่าเสียดายที่แววตาอ่อนโยนของเธอนั้นไม่ทรงพลังพอ “เงียบเลยค่ะ อีกเดี๋ยวคุณก็ได้กินแล้ว ต่อไปคุณก็ช่วยกินข้าวให้ตรงเวลาด้วยนะคะ” 

 

 

“ครับผม โจวโจวว่ายังไง ผมก็ว่าตามนั้น” ลั่วเซ่าเชินทำตัวว่านอนสอนง่าย ไม่หลงเหลือท่าทางเย่อหยิ่งและแข็งกร้าวอย่างที่เคยเป็นมาก่อน 

 

 

           เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าเขาหยุดกวนเธอแล้ว เธอก็เริ่มลงมือทำอาหารให้ลั่วเซ่าเชินทันที เธอเห็นว่าในตู้เย็นมีเกี๊ยวที่ป้าหลิวห่อไว้ซึ่งมันแช่แข็งอยู่ในช่องแข็ง ถังโจวโจวคิดอย่างรวดเร็วและนำเกี๊ยวออกมาจาก เธอถามลั่วเซ่าเชินว่าเขาอยากกินกี่ชิ้น จากนั้นเธอก็ต้มน้ำ รอให้เดือดแล้วค่อยนำเกี๊ยวลงไปต้ม 

 

 

           เธอเห็นลั่วเซ่าเชินยืนพิงอยู่ที่ขอบประตูห้องครัว ถังโจวโจวบอกให้เขากลับไปนั่งพักที่โซฟา แต่เขาก็ปฏิเสธ เธอไม่รู้ว่าเขาจะฝืนยืนอยู่ทำไม ในเมื่อเธอพูดโน้มน้าวเขาไม่ได้ ถังโจวโจวก็ทำได้แค่เพียงสนใจน้ำในหม้อที่กำลังเดือดปุดๆ 

 

 

           หลังจากน้ำเดือดได้ที่แล้ว ถังโจวโจวก็เทเกี๊ยวสามสิบชิ้นลงไปในหม้อ เกี๊ยวที่ป้าหลิวห่อไว้คือไส้เห็ดหอมหมู ถังโจวโจวเองก็ชอบกินมาก ไหนๆ เธอก็ต้องต้มให้ลั่วเซ่าเชินแล้ว ก็ขอต้มเผื่อตัวเองไปด้วยเลยแล้วกัน 

 

 

           ผ่านไปประมาณสิบกว่านาที ในที่สุดเกี๊ยวก็พร้อมเสิร์ฟ ถังโจวโจวแบ่งมันออกเป็นสองชาม ชามของเธอมีอยู่ห้าชิ้น ส่วนชามของลั่วเซ่าเชินนั้นมีอยู่ยี่สิบห้าชิ้น ถังโจวโจวหยิบถ้วยเล็กๆ ออกมาอีกหนึ่งใบเพื่อใส่น้ำมันพริก หากได้กินคู่กับเกี๊ยวแล้วจะอร่อยมาก 

 

 

           เมื่อลั่วเซ่าเชินมานั่งที่โต๊ะอาหาร ถังโจวโจวก็เสิร์ฟชามเกี๊ยวให้ลั่วเซ่าเชิน ส่วนเธอใช้แค่ชามใบเล็กๆ เท่านั้น ลั่วเซ่าเชินเห็นว่าขนาดของชามแตกต่างกันมาก เขาก็ตั้งท่าจะแบ่งเกี๊ยวที่อยู่ในชามของเขาให้ถังโจวโจว 

 

 

แต่ถังโจวโจวปฏิเสธ “ฉันกินแค่นี้ก็พอค่ะ คุณรีบกินเถอะ แต่ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว ฉันไม่รู้ว่าคุณยังอยากกินอยู่ไหม” 

 

 

ถังโจวโจวเคยเป็นมาก่อนแล้ว เธอกินข้าวช้าไปแค่ไม่กี่ชั่วโมง ผลปรากฏคือความอยากอาหารของเธอลดลงเป็นอย่างมาก เธอไม่อยากกินอะไรไปพักใหญ่เลย ถังโจวโจวจึงกลัวว่าลั่วเซ่าเชินจะมีอาการเช่นเดียวกันกับเธอ ดังนั้นเกี๊ยวที่เธอตักมาจนพูน ก็ไม่รู้ว่าลั่วเซ่าเชินยังจะกินอยู่ไหม 

 

 

อันที่จริงตอนนี้ลั่วเซ่าเชินก็ไม่ได้รู้สึกปวดท้องมากเท่าไรแล้ว เขาอยากเห็นถังโจวโจวให้ความสำคัญกับเขามากกว่า ดังนั้นเขาจึงยังคงทำทีว่าปวดท้องอยู่ 

 

 

หลังจากที่ถังโจวโจวจัดการกับเกี๊ยวที่อยู่ในชามหมดแล้ว เธอก็ไม่มีอะไรทำ จึงนั่งมองดูลั่วเซ่าเชินกินอย่างเอร็ดอร่อย ถังโจวโจวมองไปมองมาก็เหม่อลอย ในขณะนั้นเองลั่วเซ่าเชินก็รู้สึกได้ว่าถังโจวโจวกำลังมองมา และเพื่อไม่ให้เธอละสายตาไป เขาจึงแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น 

 

 

แต่ตลอดเวลาที่เขาแสร้งทำ กระทั่งกินเกี๊ยวจนหมดแล้ว เขาก็ยังเห็นว่าสายตาของถังโจวโจวจับจ้องมาที่เขา ลั่วเซ่าเชินจึงตวัดสายตาขึ้นหมายจะแกล้งถังโจวโจว แต่นึกไม่ถึงเลยว่าทั้งหมดนี้คือเขาคิดไปเองคนเดียว ถังโจวโจวไม่ได้มองมาที่เขาเลย 

 

 

ลั่วเซ่าเชินโบกมือไปมาตรงหน้าของถังโจวโจว “โจวโจว คุณมองอะไรอยู่” 

 

 

“คะ เปล่าค่ะเปล่า ฉันไม่ได้มองอะไร คุณกินเสร็จแล้วใช่ไหมคะ เดี๋ยวฉันเอาไปล้างเอง” ถังโจวโจวหยิบชามขึ้นมาและเดินเข้าไปในครัว 

 

 

ลั่วเซ่าเชินรีบแย่งชามกลับมา “โจวโจว คุณไปพักเถอะ เดี๋ยวผมล้างเอง” 

 

 

แต่ถังโจวโจวไม่ยอมปล่อยมือ “ไม่ต้องค่ะ ฉันล้างเอง” 

 

 

เพล้ง! ถังโจวโจวยืนมองชามที่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ แล้วก็อยากจะกุมศีรษะ เธอได้แต่ถอนหายใจ แล้วมองลั่วเซ่าเชินที่ยังยืนปักหลักนิ่ง “ฉันบอกแล้วไงคะว่าฉันจะทำเอง คุณดูสิ ชามแตกหมดแล้ว จริงๆ เลย…” 

 

 

แม้ว่าถังโจวโจวจะไม่ได้พูดชัดเจน แต่ลั่วเซ่าเชินก็รู้ว่าเธอกำลังบ่นเขา เขาจึงทำได้แค่เพียงยืนตัวตรงอยู่กับที่ และเมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าถังโจวโจวย่อตัวลงไปจะเก็บเศษชาม เขาก็รีบคว้ามือของเธอไว้ “คุณจะทำอะไรน่ะ” 

 

 

“ก็เก็บเศษที่มันแตกไงคะ หรือคุณจะทิ้งมันไว้อย่างนี้” ถังโจวโจวสะบัดมือของลั่วเซ่าเชินออก แต่ก็ถูกเขาคว้าไว้อีกครั้ง 

 

 

“นี่คุณบ้าไปแล้วหรือเปล่า ใช้ไม้กวาดไม่เป็นหรือไง ถ้าคุณใช้มือเปล่าจับแบบนี้แล้วเกิดบาดมือขึ้นมาจะทำยังไง” ลั่วเซ่าเชินพร่ำบ่นไม่หยุด ขณะเดียวกันเขาก็ก้มลงไปเก็บเศษชามเสียเอง 

 

 

ถังโจวโจวเห็นลั่วเซ่าเชินย่อตัวลง เขาเพิ่งพูดไม่ใช่หรือว่าไม่ให้เธอใช้มือเปล่าเก็บ แล้วตอนนี้เขากำลังทำอะไรอยู่ 

 

 

ถังโจวโจวเห็นลั่วเซ่าเชินเก็บเศษชามชิ้นใหญ่ไปทิ้งลงในถังขยะ และเธอก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าใกล้บริเวณที่ชามแตก ถังโจวโจวจึงทำได้แค่ยืนมองดูลั่วเซ่าเชินอยู่ห่างๆ ตรงนั้น 

 

 

เมื่อลั่วเซ่าเชินเก็บกวาดจนเสร็จ ถังโจวโจวก็วางใจได้ในที่สุด ถังโจวโจวเข้าใจดีว่าลั่วเซ่าเชินทำเช่นนั้นเพราะเขาหวังดีต่อเธอ และหัวใจของถังโจวโจวก็เริ่มได้รับผลกระทบ ทำไมทุกครั้งที่เธอผิดใจกับลั่วเซ่าเชิน เขามักจะทำอะไรให้เธอหวั่นไหวได้ตลอด 

 

 

ภายใต้ความเอาใจใส่ในรายละเอียดเล็กๆ เหล่านี้ของลั่วเซ่าเชิน ทำให้ความรู้สึกขุ่นเคืองโกรธแค้นของถังโจวโจวค่อยๆ จางหายไป ถังโจวโจวฉวยมือของลั่วเซ่าเชินขึ้นมาดู แล้วเธอก็พบว่ามีบาดแผลเล็กๆ อยู่บนนิ้วมือของเขา “คุณนั่นแหละเป็นบ้า ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง เจ็บไหมคะ” 

 

 

ถังโจวโจวช่วยเป่ามือให้ลั่วเซ่าเชิน พลางเงยหน้าขึ้นมองสีหน้าของลั่วเซ่าเชินเป็นพักๆ และเมื่อเธอเห็นว่าเขายิ้มและจ้องมองเธออยู่ ถังโจวโจวก็ค่อยๆ ปล่อยมือเขาลง แต่ลั่วเซ่าเชินไม่อนุญาตให้เธอปลีกตัวออกไปง่ายๆ “โจวโจว เราอย่าสนใจคนอื่นเลยได้ไหม เราใช้ชีวิตกันอย่างสงบๆ ดีหรือเปล่า” 

 

 

“เราจะไม่สนใจใครเลยได้ยังไงล่ะคะ” ถังโจวโจวรู้สึกว่าลั่วเซ่าเชินก็พูดไปอย่างนั้นเอง นั่นคือแม่ของเขานะ เขาจะละเลยท่านไปได้อย่างไร แล้วถังโจวโจวก็ยังไม่ได้คิดบัญชีกับลั่วเซ่าเชิน เธอถูกหลอกให้กลับมาที่บ้านจากคำพูดหว่านล้อมของเขาว่าจะพาเธอไปในที่ที่อยากไป 

 

 

“เราก็ใช้ชีวิตของเราไป ไม่ว่าพวกเขาจะพูดอะไร คุณก็แค่ทำเป็นไม่ได้ยินเท่านั้นเอง โจวโจว ถ้าคุณอยากออกตามหาพ่อกับแม่แท้ๆ ของคุณ ผมช่วยคุณได้นะ” ลั่วเซ่าเชินลูบเรือนผมของถังโจวโจว ขณะเดียวกันเขาก็ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของมันด้วย 

 

 

“ฉันไม่อยากออกตามหาพวกท่านค่ะ ในเมื่อพวกท่านไม่ต้องการฉัน แล้วฉันจะออกตามหาพวกท่านทำไม” ถังโจวโจวไม่อยากจะพูดถึงพ่อกับแม่แท้ๆ ของเธออีกต่อไปแล้ว แม้ว่าถังโจวโจวจะไม่ได้พูดอะไรต่อหน้าคุณแม่ถัง แต่เธอก็ยังคงรู้สึกโกรธเคืองพ่อกับแม่แท้ๆ ของเธออยู่ดี 

 

 

ลั่วเซ่าเชินมองเห็นแววตาแข็งกร้าวของถังโจวโจววูบไหวอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงไม่ได้พูดเรื่องนี้ต่อ ถังโจวโจวจับมือเขาและพาเขาไปนั่งที่โซฟา จากนั้นเธอก็หยิบคอตตอนบัดและยาขี้ผึ้งออกมาจากกล่องยา แล้วทามันลงบนมือของลั่วเซ่าเชิน 

 

 

ลั่วเซ่าเชินรู้สึกว่าถังโจวโจวพยายามหลบเลี่ยงเขามาตลอด เขาจึงรวบรวมความกล้าถามเธอออกไป “โจวโจว คุณยังเข้าใจผมผิดอยู่ใช่ไหม” 

 

 

สิ่งที่ลั่วเซ่าเชินนึกขึ้นได้ก็คือเรื่องที่หันฮุ่ยซินก่อไว้เมื่อคราวก่อน ก่อนหน้านั้นถังโจวโจวยังดูมีใจให้เขาอยู่เลย ทุกอย่างกำลังเป็นไปได้สวย แต่หลังจากนั้นเป็นต้นมา ถังโจวโจวก็เพิกเฉยต่อเขาไปโดยปริยาย แม้เธอจะบอกว่าไม่มีอะไร แต่เขาก็สัมผัสได้ว่าเธอต่อต้านเขาอยู่ตลอดเวลา 

 

 

ลั่วเซ่าเชินรู้สึกว่าเขาเจออุปสรรคชิ้นใหญ่เข้าแล้ว เมื่อถังโจวโจวเอาแต่ก้มหน้าก้มตาทายาให้เขา พอเขาถามอะไรไป เธอก็ไม่ยอมปริปากตอบเลย