ตอนที่ 360 แดนทมิฬกลืนกิน

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

“วิชามนตราแห่งความมืด — แดนทมิฬกลืนกิน!”

ประโยคหนึ่งดังมาจากจูตี๋ จากนั้นฉินอวี้โม่ก็มองเห็นกลุ่มมวลอากาศสีดำทะมึนก่อตัวขึ้นตรงหน้าจูตี๋ซึ่งดูประหลาดผิดธรรมดาอย่างยิ่ง

“อวี้โม่ ระวังตัวด้วย มันคือวิชามนตรา!”

ฉีอวิ๋นเหล่ยสังเกตเห็นสถานการณ์นี้และได้ยินคำพูดของจูตี๋เมื่อครู่อย่างชัดเจน

เมื่อได้ยินว่ามันคือวิชามนตรา สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

‘วิชามนตรา’ คือทักษะอันทรงพลังที่สามารถทำความเข้าใจได้โดยจอมยุทธ์ขอบเขตจ้าวสุริยะเท่านั้น ทว่าจูตี๋ผู้นี้สามารถเรียนรู้ทักษะนี้ได้ด้วยพลังในขอบเขตจ้าวพิภพ หากไม่ใช่เพราะความบังเอิญบางอย่างหรือวิธีการที่พิเศษ มันก็คงจะเป็นไปไม่ได้

และพลังโจมตีของวิชามนตราก็ถือว่าแกร่งกล้าอย่างมาก เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีนัก พลังของฉีอวิ๋นเหล่ยก็เพิ่มขึ้นมาอย่างกะทันหันและการเคลื่อนไหวของเขาก็รวดเร็วขึ้นโดยกระหน่ำโจมตีออกไปรอบๆอย่างบ้าคลั่ง

ฉินอวี้โม่ก็รู้ดีว่าสิ่งที่จูตี๋กล่าวหมายถึงอะไร เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังประหลาดท่ามกลางกลุ่มอากาศสีดำทะมึน นางก็อดขมวดคิ้วเบาๆไม่ได้

ไม่น่าเชื่อเลยว่าจูตี๋จะเรียนรู้วิชาแห่งมนตราได้ภายในเวลาเพียงหนึ่งเดือนและยังเรียนรู้ได้ในระดับที่ดีพอสมควร ไม่แปลกใจเลยที่ครานี้เขามั่นอกมั่นใจยิ่งนัก

ฉินอวี้โม่ไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อยและเกราะเพลิงปรากฏรอบตัวของนางเพื่อปกป้องนางไว้อย่างสมบูรณ์

แม้ว่าจูตี๋มีวิชาแดนทมิฬกลืนกิน ฉินอวี้โม่ก็ไม่มีความกลัวเกรงใดๆ นับตั้งแต่มาถึงดินแดนที่อ้างว้างแห่งนี้ นางก็เคยได้เห็นวิชามนตรามามากพอสมควรแล้ว

ต้องยอมรับเลยว่ามันเป็นสิ่งที่ทรงพลังอย่างแท้จริง ทว่าถึงอย่างไรมันก็มิได้ไร้เทียมทาน

“ฉินอวี้โม่ ตายซะเถอะ!”

จูตี๋แค่นเสียงในลำคอและกลุ่มหมอกสีดำก็ปกคลุมทั่วร่างฉินอวี้โม่ในทันที

จากนั้นฉินอวี้โม่ก็สัมผัสได้ว่าห้วงอากาศรอบตัวถูกปกคลุมด้วยหมอกมืดหนาแน่น และทัศนวิสัยของนางเริ่มพร่ามัวขึ้นเล็กน้อย

ยิ่งไปกว่านั้น ภายในหมอกมืดนี้ ฉินอวี้โม่สัมผัสได้ว่าสภาวะพลังในร่างกายของนางถูกระงับไว้และสภาวะพลังในอากาศรอบตัวก็ถูกยับยั้งไว้เช่นกันจนทำให้นางรู้สึกอึดอัดและหายใจอย่างยากลำบาก

‘แดนทมิฬกลืนกิน’ เป็นวิชาลึกลับที่ทรงพลังอย่างยิ่งในหมู่จอมยุทธ์ที่ฝึกพลังมายาด้านมืด การทำงานของมันคือการดูดกลืนสภาวะพลังรอบๆและในขณะเดียวกันก็แทรกซึมพลังมืดเข้าสู่ร่างกายของเป้าหมายที่ต้องการโจมตีเพื่อดูดกลืนสภาวะพลังในร่างกายของคนผู้นั้น ท้ายที่สุด เหยื่อที่ถูกโจมตีจะสูญเสียสภาวะพลังทั้งหมดจนต่อสู้ไม่ได้อีกต่อไป

“เหอะ รอดูเถอะว่าข้าจะฝ่าผ่านพลังแห่งความมืดของเจ้าได้อย่างไร!”

เมื่อสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ ฉินอวี้โม่ก็แค่นเสียงในลำคอและเพลิงจากปลายนิ้วมือของนางก็เป็นประกายโชติช่วงขึ้นมา

ยิ่งใช้เวลาอยู่ภายใต้หมอกมืดนี้นานเพียงใด มันก็จะส่งผลกระทบต่อนางมากเพียงนั้น หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป เมื่อสภาวะพลังของนางถูกดูดกลืนไปจนหมด นางก็จะเหลือเพียงร่างที่ไร้ซึ่งพลัง เพราะเหตุนั้นนางจึงต้องหาทางกำจัดหมอกมืดเหล่านี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด

อย่างไรก็ตาม เป็นเพราะความวิตกกังวลกับสถานการณ์ตรงหน้า ฉินอวี้โม่จึงลืมบางสิ่งบางอย่างไป นั่นก็คือนางมีกายเทพมายาและพลังมืดนี้จะส่งผลกระทบต่อนางได้เพียงน้อยนิดเท่านั้น ต่อให้มันกัดกร่อนแทรกซึมเข้าไปในร่างกายของนางและทำให้นางรู้สึกอึดอัดในตอนแรก ทว่าเมื่อกายเทพมายาสัมผัสถึงมัน กลุ่มอากาศมืดรอบตัวจะถูกดูดซับเข้าไปจนหมดอย่างแน่นอน

“ซิว.. ตอนนี้มีเพียงเพลิงของเจ้าที่ข้าพึ่งพาได้ ไม่มีสิ่งใดที่เพลิงจักรพรรดิแผดเผาไม่ได้ อยากรู้นักว่าระหว่างหมอกมืดนี้และเพลิงจักรพรรดิ สิ่งใดจะทรงพลังกว่ากัน!”

ฉินอวี้โม่กล่าวกับตัวเองด้วยน้ำเสียงหนักแน่นพร้อมขยับโบกมืออย่างรวดเร็วและเพลิงกลายเป็นรอยประทับเล็กๆปรากฏรอบตัวนาง

“พันอัคคีร่วงหล่น!”

พร้อมกับเสียงตะโกนอย่างดุดัน รอยประทับเพลิงจำนวนมากพุ่งตรงไปยังหมอกมืดในทันที

ฉ่า! ฉ่า! ฉ่า! ฉ่า!

ราวกับบางสิ่งบางอย่างถูกแผดเผาจนเกิดกลิ่นที่ไม่น่าอภิรมย์คลุ้งไปทั่วอากาศ

จากนั้นฉินอวี้โม่ก็มองเห็นว่าในทุกจุดที่เพลิงวูบผ่านไป หมอกมืดในบริเวณนั้นสลายหายไปอย่างรวดเร็วราวกับเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ

ภายในชั่วพริบตา หมอกมืดรอบตัวฉินอวี้โม่ก็ถูกกำจัดไปทั้งหมดและบรรยากาศกระจ่างชัดอย่างสมบูรณ์ ไม่มีหมอกมืดอยู่รอบตัวนางอีกต่อไป

“เป็นไปได้อย่างไรกัน?!”

จูตี๋ผู้ซึ่งเดิมทีมีรอยยิ้มอิ่มเอมใจขณะเฝ้ารอจุดจบของฉินอวี้โม่มองเห็นความผิดปกตินี้ได้ในทันทีและอดอุทานออกไปไม่ได้

“อวี้โม่!”

ในตอนแรก ฉีอวิ๋นเหล่ยกังวลว่าจะเกิดเรื่องร้ายกับฉินอวี้โม่โดยที่เขาไม่สามารถเข้าไปช่วยได้ทัน ทว่าเมื่อเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ เขาก็อดถอนหายใจด้วยความโล่งอกไม่ได้

“ฉีอวิ๋นเหล่ย ห่วงตัวเองก่อนเถอะ!”

ใครคนหนึ่งเห็นว่าฉีอวิ๋นเหล่ยกำลังเสียสมาธิอยู่จึงได้ยกฝ่ามือฟาดเข้าใส่เขาอย่างจัง

ฉีอวิ๋นเหล่ยไม่ทันสังเกตเห็นการโจมตีนั้นและกระเด็นออกไปเพราะแรงฟาดของคนผู้นั้น เขากระอักเลือดออกมาและเดินเซออกไปเล็กน้อย

“เหอะ ข้ายอมรับเลยว่าพวกเจ้าก็มีพลังพอสมควร ทว่าพวกเจ้าก็ไม่มีความสามารถพอที่จะจัดการกับข้าได้!”

ฉีอวิ๋ยเหล่ยเช็ดเลือดออกจากมุมปากก่อนหยิบขวดโอสถออกมา

โอสถในขวดนี้คือโอสถระเบิดพลังซึ่งเป็นโอสถที่สามารถเพิ่มพลังของจอมยุทธ์ได้ชั่วคราว อย่างไรก็ตาม แน่นอนว่าโอสถประเภทนี้ย่อมมีผลข้างเคียง มันจะมีผลคงอยู่เพียงแค่สองชั่วโมง และหลังจากที่ครบสองชั่วโมง โอสถจะสูญเสียประสิทธิภาพทั้งหมดไปและร่างกายของจอมยุทธ์ผู้นั้นจะอ่อนแอกว่าก่อนมาก

แรกเริ่มเดิมที ฉีอวิ๋นเหล่ยไม่ต้องการใช้โอสถนี้และคิดว่าตนเองยังรับมือกับสถานการณ์นี้ได้

อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ในขณะนี้ เขาไม่มีทางเลือกอื่นและจำต้องตัดสินใจใช้มัน

ทันทีที่โอสถเริ่มออกฤทธิ์แผ่ไปทั่วร่างกาย ฉีอวิ๋นเหล่ยก็สัมผัสได้ว่าพลังของตนเองพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

ในฉับพลันทันที พลังของเขาก็เพิ่มขึ้นถึงระดับของขอบเขตจ้าวพิภพขั้นสูงสุด

“ตายไปซะ!”

ฉีอวิ๋นเหล่ยแค่นเสียงในลำคอและกล่าวด้วยน้ำเสียงอาฆาตมาดร้ายอย่างชัดเจน

จากนั้นฝ่ายตรงข้ามที่อยู่ตรงหน้าฉีอวิ๋นเหล่ยก็สัมผัสได้ว่ากระบวนท่าการเคลื่อนไหวของฉีอวิ๋นเหล่ยดุดันมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะเดียวกันนั้น ความเร็วและพลังของฉีอวิ๋นเหล่ยก็พัฒนาขึ้นมากจนพวกเขาเริ่มจะรับมือไม่ได้

“จูตี๋ มันก็แค่วิชามนตรา เจ้าคิดว่าตัวเจ้าไร้เทียมทานงั้นรึ?!”

ฉินอวี้โม่ยิ้มเยาะอย่างเย็นชาและกล่าวด้วยน้ำเสียงมุ่งร้าย

ครานี้จูตี๋ก้าวร้าวเกินไปและดูเหมือนว่าความแค้นจะมีอิทธิพลเหนือความคิดอื่นๆของเขาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น พลังของเขาก็เพิ่มขึ้นจนน่าประหลาด หากไม่ฆ่าเขาเสียตั้งแต่วันนี้ เกรงว่าในอนาคตจะเกิดปัญหากับนางอย่างไม่รู้จบ

ฉินอวี้โม่พุ่งตรงไปปรากฏตัวถัดจากจูตี๋พร้อมกับกระบี่สั้นที่ก่อตัวจากเปลวเพลิงปรากฏขึ้นในมือของนางและแทงตรงไปที่จูตี๋

นางเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนจูตี๋ตอบโต้ไม่ทัน เมื่อเขาตอบสนองได้นั้น กระบี่ก็พุ่งมาอยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว

“บัดซบ!”

ใบหน้าของจูตี๋เปลี่ยนแปลงไปทันทีและพยายามหลบหลีกออกไปอย่างรวดเร็วทว่าราวกับขาทั้งสองหนักอึ้งจนไม่อาจเคลื่อนไหว

“ฮ่าๆๆ ฉินอวี้โม่ช่างสมคำร่ำลือ ทรงพลังจริงๆ!”

ทันใดนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในหูของฉินอวี้โม่ จากนั้นกระบี่เพลิงที่ใกล้ถึงตัวจูตี๋ก็หยุดชะงักและขยับเขยื้อนไม่ได้อีก

ฉินอวี้โม่ขมวดคิ้วมุ่นพร้อมถอนมือกลับก่อนที่ร่างของนางจะกะพริบกลับไปอยู่ในจุดเดิม

นางสัมผัสได้ถึงพลังที่แกร่งกล้ายิ่งกว่าจูอวิ๋นชางที่นางเคยเผชิญก่อนหน้านี้เสียอีก ภายใต้แรงกดดันจากพลังนี้ นางไม่สามารถขยับตัวได้เลย

“ฝีมือเจ้าสินะ!”

ฉินอวี้โม่เอ่ยอย่างเย็นชาพร้อมหันไปมองบุรุษลึกลับที่ยืนอยู่ด้านข้างและไม่เคลื่อนไหวมาตั้งแต่แรก

หากจะกล่าวว่าผู้ใดคือคนที่นางหวั่นกลัวมากที่สุดในตอนนี้ คนผู้นั้นก็คือบุรุษลึกลับคนนี้นี่เอง พลังของเขาแปลกประหลาดอย่างที่สุดและนั่นทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกถึงแรงกดดันที่มหาศาล

“ฮ่าๆๆ เจ้าไม่ทำให้ผิดหวังเลยจริงๆ เจ้ามีพรสวรรค์ที่โดดเด่นอย่างมากและเหนือกว่าความคาดหมายของข้าเช่นกัน”

บุรุษลึกลับยิ้มเล็กน้อยก่อนที่ร่างของเขาจะกะพริบหายไปและปรากฏขึ้นมาตรงหน้าของฉินอวี้โม่อย่างรวดเร็ว

“เมล็ดพันธุ์ที่ดีอย่างเจ้า… ถ้าได้รับการบ่มเพาะจากข้าก็คงเป็นเรื่องดีทีเดียว ยอมจำนนต่อข้าซะและข้าจะช่วยให้เจ้าอยู่รอดปลอดภัย หากเจ้าต้องการสิ่งใด ข้าก็สามารถหามันมาให้เจ้าได้”

บุรุษคนนั้นกล่าวกับฉินอวี้โม่ด้วยวาจาท่าทางผูกมิตรไมตรี

เมื่อได้ยินวาจาของอีกฝ่าย ฉินอวี้โม่ก็ตอบโต้ด้วยเสียงดังและหันกลับไปอย่างรวดเร็วพร้อมคาดเดาตัวตนของบุคคลลึกลับ

“ฮ่าๆๆ ข้ามีเรื่องบาดหมางกับจูตี๋มาโดยตลอด ในเมื่อเจ้าอยู่ฝ่ายเดียวกับเขาก็น่าจะหมายความว่าพวกเจ้ามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน หากข้ายอมจำนนต่อเจ้า แล้วเขาล่ะ จะทำอย่างไร?”

ฉินอวี้โม่ยิ้มมุมปากน้อยๆ พลังของบุคคลลึกลับผู้นี้แกร่งกล้ามากเกินไปจนนางเริ่มไตร่ตรองว่าควรหักป้ายเสียตั้งแต่ตอนนี้และยอมสละสิทธิ์การแข่งขันหรือไม่

“ง่ายมาก หากเจ้ายอมจำนนต่อข้า ข้าจะช่วยให้เจ้าได้จัดการกับทั้งเขาและบิดาของเขา”

บุรุษผู้นั้นยิ้มตอบทว่ากล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งและไม่แสดงความรู้สึกใดๆ

“ผู้อาวุโสอวิ๋นขวง ท่าน…”

เมื่อได้ยินคำพูดเชื้อเชิญของบุรุษลึกลับ สีหน้าของจูตี๋ก็บิดเบี้ยวทันที เขาไม่คิดเลยว่าอวิ๋นขวงจะเอ่ยเช่นนั้นออกไป

“ว่าอย่างไร? จะยอมจำนนต่อข้าหรือไม่?”

บุรุษลึกลับที่ชื่อว่าอวิ๋นขวงเพียงชำเลืองมองจูตี๋ซึ่งทำให้เขาหวาดกลัวจนเงียบไปทันทีและไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมาอีก

อย่างไรก็ตาม สีหน้าของจูตี๋บิดเบี้ยวจนแทบดูไม่ได้ เขายืนนิ่งด้วยความรู้สึกอับอายอย่างยิ่ง

“ทำไมเจ้าไม่ฆ่าจูตี๋เพื่อพิสูจน์ความจริงใจก่อนล่ะ?”

ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างยียวนขณะเอื้อมมือไปแตะป้ายหยกพร้อมสื่อสารตรงไปหาฉีอวิ๋นเหล่ยในขณะเดียวกันเพื่อบอกให้เขาเตรียมหักป้ายหยก

อย่างไรก็ตาม เมื่อกำลังเอื้อมมือจะไปแตะมัน ฉินอวี้โม่กลับไม่รู้สึกถึงป้ายหยกที่แขวนอยู่ที่เอวตั้งแต่แรก

“ฮ่าๆๆ หานี่อยู่งั้นรึ?”

จู่ๆบุรุษชุดดำก็หัวเราะออกมาทว่ารอยยิ้มของเขาประหลาดมากขึ้นเรื่อยๆ

“ฉินอวี้โม่ ข้ารู้ว่าเจ้าแค่ถ่วงเวลาและพยายามหาจังหวะหนีไปจากที่นี่ เจ้าคิดจริงรึว่าข้าจะปล่อยให้เจ้ามีโอกาสนั้น?!”

บุคคลลึกลับชูป้ายหยกสองชิ้นในมือซึ่งเป็นของฉินอวี้โม่และฉีอวิ๋นเหล่ย

เมื่อเห็นป้ายหยกในมือของบุรุษตรงหน้า สีหน้าของฉินอวี้โม่ก็ชะงักไปทันที บุคคลลึกลับนามว่า ‘อวิ๋นขวง’ ผู้นี้ยากที่จะรับมือจริงๆ เขาคาดเดาแผนการของนางไว้ก่อนแล้วและขโมยป้ายหยกของนางไปล่วงหน้า

ยิ่งไปกว่านั้น พลังของบุรุษผู้นี้ก็น่าสะพรึงกลัวมากทีเดียว ตอนที่เขาหยิบเอาป้ายหยกไปจากตัว นางไม่รู้สึกถึงอะไรเลยสักนิด หากเขาคิดที่จะสังหารนาง นางก็คงจะไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ

“เจ้าเป็นใครกันแน่?”

เมื่อมองพินิจพิจารณาบุคคลลึกลับตรงหน้า ฉินอวี้โม่ก็พอจะมีข้อสันนิษฐานอยู่ในใจ ด้วยความทรงพลังและวาจาประหลาดเมื่อครู่ เกรงว่าตัวตนของบุรุษผู้นี้คงจะเป็นใครไปไม่ได้อีก

“เจ้าก็พอจะคาดเดาได้แล้วไม่ใช่รึ?”

อวิ๋นขวงยิ้มบางๆและแรงกดดันที่ทรงพลังก็แผ่ออกไปจากร่างของเขาอย่างเปิดเผย

.