บทที่ 664 : บอกลา!

 

“พี่มู่หลง..”

 

หลิงหยุนร้องทักมู่หลงเฟยจื่อระหว่างที่ผลักประตูเข้าไปในห้องทํางานของเธอ ภาพที่มู่หลงรีบเร่งเติมเครื่องสําอางค์นั้น หลิงหยุนได้ใช้จิตหยั่งรู้สํารวจเห็นตั้งแต่อยู่ด้านนอกแล้ว เขาอดที่จะรู้สึกผิดไม่ได้ที่เคยคิดว่ามู่หลงเฟยจื่อเป็นผู้หญิงเย็นชา

 

“นี่เธอยังจําฉันได้ด้วยเหรอ? แล้วมาทําอะไรที่นี่? สอบเอนทรานซ์เป็นยังไงบ้าง?”

 

มู่หลงเฟยจื่อยืนหันข้างพูดกับหลิงหยุน เธอเลี้ยงที่หันมาจะเผชิญหน้ากับเขาโดยตรง เพราะไม่อยากให้เขาเห็นว่าเธอเพิ่งจะผ่านการร้องไห้มา และแสร้งทําเป็นถามอย่างไม่สนใจใยดีนัก

 

หลิงหยุนยิ้มและพูดขึ้นว่า “พี่มู่หลง ความจริงผมเองก็คิดถึงคุณอยู่เหมือนกัน แต่ไม่มีเวลามาเยี่ยมเยียน เพราะต้องเตรียมตัวสอบเอนทรานซ์ ผมเดิมพันกับคนอื่นไว้ถึงหนึ่งร้อยล้าน ถ้าผมสอบไม่ผ่านคงต้องสูญเงินฟรีๆอย่างแน่นอน ดูสิ.. พอสอบเสร็จ วันนี้ผมก็รีบมาหาคุณเลย!”

 

เมื่อใดก็ตามที่หลิงหยุนต้องการงอนง้อ ปากของเขาก็จะหวานจนใครก็คาดไม่ถึง และคําพูดของเขาล้วนเต็มไปด้วยเหตุผลที่แม้แต่มู่หลงเฟยจ๋อก็ยังยากที่จะโต้แย้งได้

 

มู่หลงเฟยจื่อรีบสวนขึ้นทันที “ฉันถามเรื่องการสอบเอนทรานซ์ของเธอ นี่เธอพูดเรื่องอะไรไร้สาระ?”

 

หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่งมู่หลงเฟยจื่อจึงถามขึ้นว่า “แล้วทําไมไม่มาตั้งแต่เมื่อวาน?”

 

มู่หลงเฟยจื่อรู้ว่าหลิงหยุนกําลังพูดโกหก เพราะเธอเห็นว่าเมื่อวานตอนบ่ายหลิงหยุนก็มาที่ตลาดค้าของเก่า และอยู่กับซ่งเจิ้งหยานเป็นนานสองนาน อีกทั้งยังมีเสี่ยวเม่ยหนิงตามมาด้วย หลิงหยุนเดินผ่านศาลาเทียนสี่แต่กลับไม่ยอมแวะเข้ามา ทําให้เธอรู้สึกเสียใจมาก!

 

เมื่อวานที่มู่หลงเป็นนั่งรับประทานอาหารเย็นพร้อมกับหลานสาวสุดที่รัก เขาก็สังเกตุเห็นดวงตาที่บวมช้ําของเธอ แทบไม่ต้องพูดถึงว่าเขาทุกข์อกทุกข์ใจมากเพียงใด มู่หลงเวิ่นฉีคำนวณว่าหลิงหยุนน่าจะสอบเอนทรานซ์เสร็จแล้ว จึงได้ไปหาซึ่งเจิ้งหยางที่หอไข่มุก และได้ขอให้ช่งเจิ้งหยางไปบอกหลิงหยุนให้มารับมรดกของตระกูลหลงไปได้แล้ว!

 

“เอ่อ.. เมื่อวานนี้?!”

 

หลิงหยุนได้แต่คิดในใจว่า “เมื่อวานข้าพาเด็กสาวตัวแสบมาด้วย ขืนข้าแวะมาหาเจ้าเจ้าคงจับข้าโยนออกจากร้านแน่!”

 

มู่หลงเฟยจื่อขมวดคิ้วเล็กน้อย และเม้มริมฝีปากแน่น เธอมองหลิงหยุนนิ่งเงียบระหว่างที่รอคอยคําตอบจากหลิงหยุน

 

หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยและตอบไปว่า “เมื่อวานนี้ผมก็มาที่ตลาดค้าของเก่าตอนบ่ายเพื่อหาซื้อหิน แต่เพราะเมื่อวานตอนเย็นผมมีธุระด่วน จึงไม่มีเวลาแวะเข้ามาหาคุณที่ศาลาเทียนสี่”

 

มู่หลงเฟยจื่อเห็นว่าหลิงหยุนไม่ได้พูดโกหกเธอ เธอจึงรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง หลังจากยิ้มเล็กน้อยแล้วจึงตอบไปว่า

 

“นี่ แล้วจะมัวยืนทําอะไร? มีเก้าอี้ทําไมไม่นั่งล่ะ?”

 

ทั้งคู่นั่งคุยกันอยู่ในห้องผ่านไปครู่หนึ่ง และไม่รู้ว่าจะคุยกันเรื่องอะไรต่ออีก ต่างฝ่ายต่างก็เงียบไป สถานการณ์ภายในห้องจึงเริ่มกระอักกระอ่วน แต่มู่หลงเฟยจื่อเป็นฝ่ายทนไม่ได้ จึงได้แต่อ้าปากพูดขึ้นว่า

 

“เมื่อครู่ฉันถามเรื่องการสอบเอนทรานซ์ เธอยังไม่ตอบฉันเลย?”

 

หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า “ก็ไม่เห็นมีอะไรยากนี้ ยังไงก็สอบเข้าได้อยู่แล้ว”

 

“ห้ะ! โดดเรียนทุกวันนี้นะจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้? เพ้อฝันเกินไปหรือเปล่า?” มู่หลงเฟยจื่อร้องถามพร้อมกับยิ้มให้หลิงหยุน

 

หลิงหยุนหัวเราะเสียงดังพร้อมกับตอบไปว่า “เดี๋ยวผลสอบออกก็รู้เอง”

 

แต่จู่ๆ หลิงหยุนก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ และเดินตรงเข้าไปหามู่หลงเฟยจื่อ มู่หลงเฟยจอได้แต่จ้องมองร่างสูงใหญ่ของหลิงหยุนที่มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า หัวใจของเธอถึงกับเต้นแรงขณะที่ร้องถามออกมา

 

“เธอ.. นี่เธอจทําอะไร?”

 

หลิงหยุนหัวเราะพร้อมกับตอบไปด้วยน้ําเสียงอย่างอ่อนโยน “วันนี้ดวงตาของคุณบวมช้ํา ผมจะช่วยรักษารอยบวมช้ํารอบดวงตาให้คุณไงล่ะ!”

 

หลังจากนั้น หลิงหยุนก็ยกมือขึ้นเรียกยันต์บําบัดระดับสี่ออกมา แล้วจัดการวางลงบนใบหน้าของมู่หลงเฟยจื่อ และหลังจากร้องสั่งยันต์ให้ทํางาน ใบหน้าและดวงตาของมู่หลงเฟยจ๋อก็กลับมาสวยงามสดใสเหมือนเดิม

 

หลิงหยุนตกตะลึงจนถึงกับร้องอุทานออกมา “โอ้โห.. คุณนี่สวยมากเลย!”

 

ทั้งคู่อยู่ใกล้ชิดกันจนมู่หลงเฟยจอสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมจากร่างกายของหลิงหยุน และได้แต่แอบคิดว่ากลิ่นตัวผู้ชายเหตุใดจึงได้หอมเช่นนี้?

 

จิตใจของเธอสั่นรัว. ใบหน้าแดงก่ํา และรีบร้องสวนออกมา “สวยอะไรกัน?! ถ้าสวยจริง เธอก็คงไม่ลืมฉันหรอก?”

 

หลิงหยุนตอบกลับไปยิ้มๆ “สวยจริง! แล้วก็สวยมากด้วย แต่วันนี้คุณดูผอมลงมากเลย!”

 

มู่หลงเฟยจื่อซูบผอมลงมากจริงๆ ตอนนี้เอวของเธอบางลงมาก แต่ไม่ถึงกับดูทรุดโทรม โดยเฉพาะหน้าอกก็ยังคงใหญ่โตเหมือนเดิม

 

“เอ่อ.. ฉัน ฉันลดน้ําหนักน่ะ” มู่หลงเฟยจื่อรีบตอบทันที

 

เมื่อเห็นว่าหลิงหยุนยังคงยืนตรงหน้าเธอนิ่ง เธอจึงเลี่ยงลุกขึ้นเดินไปที่โซฟา และพูดกับหลิงหยุนว่า

 

“มานั่งที่โซฟาสิ! วันนี้อากาศร้อนมาก ฉันจะไปชงน้ําชามาให้เธอดื่ม!”

 

หลิงหยุนตอบกลับไปยิ้มๆ “ไม่ต้องก็ได้…. ความจริงที่ผมมาวันนี้ก็เพื่อนําชุดเครื่องประดับมา มอบให้กับคุณเท่านั้นเอง แต่คุณน่าจะเคยเห็นแล้ว!”

 

ระหว่างที่พูดนั้น หลิงหยุนก็เรียกชุดเครื่องประดับที่ทําจากหยกจักรพรรดิออกมา แล้ววางลงที่โต๊ะด้านหน้ามู่หลงเฟยจื่อ

 

ถึงแม้ว่ามู่หลงเฟยจื่อจะได้เคยเห็นชุดเครื่องประดับสี่ชิ้นนี้มาก่อนแล้ว เพราะเธอเป็นผู้ที่ออกแบบด้วยตัวเอง แต่เธอก็ยังรู้สึกตื่นเต้นอย่างมากเมื่อได้เห็นมันอีกครั้ง

 

“นี่หยกจักรพรรดิของเธอ เธออยากจะให้ฉันช่วยออกแบบอะไรอีกเหรอ?” มู่หลงเฟยจื่อถามเสียงเบา

 

หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า “ไม่ใช่.. นี่เป็นของขวัญที่ผมตั้งใจนํามามอบให้กับคุณ! ไม่รู้ว่าจะเทียบได้กับเครื่องประดับในร้านของคุณได้หรือเปล่า?”

 

หลิงหยุนรีบพูดต่อว่า “แต่ถ้าคุณไม่ชอบ.. ผมจะมอบเป็นหยกจักรพรรดิให้ แล้วคุณก็ไปออกแบบไว้สําหรับใส่เองจะดีกว่ามั้ยครับ?”

 

มู่หลงเฟยจื่อตอบกลับอย่างดีใจและมีความสุข “ชุดนี้ก็ดีมากแล้ว!”

 

มู่หลงเฟยจื่อรู้ว่าหลิงหยุนสั่งทําชุดเครื่องประดับจากหยกจักรพรรดิมากกว่าสิบชุด และเมื่อคิดได้ว่าไม่รู้หลิงหยุนนําไปให้หญิงสาวคนอื่นๆที่ขุดต่อกี่ชุดแล้ว ในใจก็รู้สึกเศร้า!

 

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ มู่หลงเฟยจือจึงได้แต่จ้องมองหลิงหยุน และเริ่มเข้าใจว่าตนเองนั้นคงจะตกหลงรักหลิงหยุนเข้าแล้ว

 

“เอ้า.. ดื่มชาก่อน!” มู่หลงเฟยจื่อร้องบอกพร้อมกับยื่นแก้วน้ําให้หลิงหยุนด้วยกิริยาท่าทางอ่อนโยน

 

หลิงหยุนจิบชาในถ้วยแล้วจึงเงยหน้าขึ้นพูดกับมู่หลงเฟยจื่อว่า “ความจริงแล้วที่ผมมาวันนี้ก็เพื่อมาลาคุณ”

 

“ลาฉันงั้นเหรอ?!”

 

ทันทีที่ได้ยิน มู่หลงเฟยจื่อถึงกับตกใจจนสั่น ในใจรู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกเข็มหลายร้อยเล่มกําลังที่มแทง

 

“เธอ… เธอจะมาลาฉันไปใหน?” มู่หลงเฟยจื่อหันไปมองหน้าหลิงหยุนพร้อมกับร้องถามออกมาอย่างตกใจ

 

หลิงหยุนเห็นอาการตกอกตกใจของมู่หลงเฟยจื่อ จึงรีบยิ้มให้พร้อมกับปลอบใจว่า “คุณไม่ต้องตกใจไป.. ผมแค่มีธุระต้องออกจากจิงฉระยะหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ว่าไปแล้วจะไม่กลับมาที่นี่อีก!”

 

“หลังจากสอบเอนทรานซ์เสร็จ ผมจะมีเวลาว่างช่วงปิดเทอมตั้งสามเดือน ช่วงเวลาที่ว่างนี้ผมก็เลยอยากออกไปท่องเที่ยวตามที่ต่างๆ อีกประมาณสิบวันผมก็จะเริ่มออกเดินทางไปปักกิ่งก่อน..”

 

หลิงหยุนไม่รีบร้อนออกจากจิงฉุทันทีที่สอบเสร็จ ก็เพราะเขาต้องการฝึกวิชาหยางพิสุทธิ์ และต้องการให้ตนเองเข้าสู่ขั้นปรับร่างกายให้ได้เสียก่อน เพราะนั่นจะทําให้เขาเข้าใกล้ขั้นพลังชี่มากแล้ว เพราะในการเดินทางไปเมืองหลวงนั้น จําเป็นที่หลิงหยุนจะต้องมีความสามารถในการปกป้องตัวเองได้มากขึ้น

 

“ที่แท้ก็ไปแค่ปักกิ่ง ฉันคิดว่าเธอจะไปต่างประเทศเสียอีก” มู่หลงเฟยจื้อกระโดดลุกขึ้นอย่างโล่งใจ หน้าอกของเธอกระเพื่อมเบาๆ

 

หลิงหยุนเพียงแค่ยิ้มแต่ไม่พูดอะไร เพราะสําหรับเขาแล้ว การเดินทางไปเมืองหลวงนั้นนับว่าเป็นการเดินทางที่เต็มไปด้วยอันตราย แต่เขาไม่สามารถที่จะบอกเรื่องนี้ให้มู่หลงเฟยจื่อได้

 

อย่าว่าแต่มู่หลงเฟยจื่อเลย แม้แต่หนิงหลิงยู่ เสี่ยวเม่ยหนิง หลินเมิ่งหาน หลงหวี่ และคนอื่นๆนั้น หลิงหยุนก็ไม่มีทางที่จะบอกให้พวกเธอรู้อย่างแน่นอน

 

และคนที่จะได้รู้ว่าหลิงหยุนต้องไปเผชิญหน้ากับอันตรายนั้น มีเพียงเหล่ากุยกับฉินตงเฉวี่ยเท่านั้น!

 

“แล้วเธอจะไปนานเท่าไหร่?”

 

มู่หลงเฟยจื่อร้องถามหลิงหยุน เพราะเธอสังเกตุเห็นว่าเขามีสีหน้าที่เปลี่ยนไปและมีแววกังวล

 

“ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ถ้าไม่มีอะไรมากก็คงจะรีบกลับมา! อีกอย่างเดินทางด้วยเครื่องบินก็สะดวกมากด้วย!” หลิงหยุนตอบพร้อมกับยิ้มปลอบโยนมู่หลงเฟยจื่อให้สบายใจ

 

มู่หลงเฟยจื่อก้มหน้าครุ่นคิดอะไรบางอย่าง แล้วจู่ๆเธอก็ลุกขึ้นพูดว่า “หลิงหยุน.. ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้!ฉันจะพาเธอไปเอาของบางอย่าง”

 

หลิงหยุนรู้ได้ทันทีว่ามู่หลงเฟยชื่อกําลังพูดถึงอะไร แต่ก็แสร้งถามไปว่า “พี่มู่หลง.. คุณจะพาผมไปเอาของอะไร?”

 

มู่หลงเฟยจื่อยิ้มเล็กน้อย “เดี๋ยวเธอเห็นก็รู้เองล่ะ! ไปกันเถอะ!”

 

พูดจบ มู่หลงเฟยชื่อก็เก็บชุดเครื่องประดับที่หลิงหยุนให้ จากนั้นจึงรีบปิดประตูห้องทํางานและเดินนําหลิงหยุนออกไปจากศาลาเทียนสีทันที

 

บ้านของมู่หลเวิ่นฉีนั้นอยู่ไม่ไกลจากตลาดค้าของเก่ามากนัก และอยู่ห่างจากหมู่บ้านที่เหยาอู่อยู่ไปเพียงแค่สองกิโลเมตรเท่านั้น

 

“ถึงแล้ว!”

 

ทั้งสองคนลงจากรถ และมู่หลงเฟยจื่อก็เปิดประตูรั้วเข้าไปพร้อมกับร้องบอกหลิงหยุนว่า

 

“คุณปูไปประชุมที่ฮิตงเมื่อเช้านี้ พรุ่งนี้ถึงจะกลับ!”

 

คําพูดประโยคนี้ของมู่หลงเฟยจื่อมีความหมายบางอย่างซ่อนเร้นอยู่ แต่หลิงหยุนไม่มีกะจิตกะใจจะคิดเรื่องอะไร เพราะทันทีที่เขาเดินออกมาจากรถ ก็สัมผัสได้ถึงพลังชีวิตที่รุนแรงมาก แต่เขากลับไม่พบเห็นอะไรเลย!