ตอนที่ 911 เข้าครัวเตรียมทําอาหาร

เนตรเซียนทะลุสมบัติ

ตอนที่ 911 เข้าครัวเตรียมทําอาหาร

 

ภัณฑารักษ์ฉางพยักหน้า “ ใช่ ไม่สามารถเปิดเผยเนื้อหาของสัญญาได้ ดังนั้นพวกคุณก็สบายใจได้ ทางผมไม่มีทางเปิดเผยความลับออกไปแน่นอน ! ”

 

หยางโปยิ้มและกล่าวว่า “ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องขอบคุณมาก ภัณฑารักษ์ฉาง !”

 

ภัณฑารักษ์ฉางยิ้มและพูดว่า “ พูดแบบนี้กลับกันนะ ผมควรจะเป็นฝ่ายที่ขอบคุณคุณมากกว่า ! ”

 

หยางโปรับสัญญามาจากมือภัณฑารักษ์ฉาง เขาตรวจสอบอย่างละเอียด และเงยหน้าขึ้นมองไปที่ภัณฑารักษ์ฉาง “ ภัณฑารักษ์ฉาง คุณอย่าทิ้งกับดักอะไรไว้ให้ผมนะ ตอนนี้ผมจะเซ็นชื่อแล้วนะ ! ”

 

ภัณฑารักษ์ฉางยิ้มและพูดว่า “ คุณวางใจได้ ไม่มีทางแน่นอน !”

 

หยางโปเซ็นชื่อด้วยปากกา และนี่ถือว่าเป็นการให้ยืมหัวงูทองสัมฤทธิ์

 

ภัณฑารักษ์ฉางรับมาตรวจสอบดูและเซ็นชื่อลงด้านข้างเช่นกัน และประทับตราที่ถืออยู่ลงไปด้านบน และพูดด้วยรอยยิ้มว่า ” นี่ถือว่ามีผลบังคับใช้แล้ว ! ”

 

พูดจบ ภัณฑารักษ์ฉางก็เข้าไปจับมือกับหยางโปอย่างกระตือรือร้น “ ในเมื่อคุณจะเปิดพิพิธภัณฑ์ คงมีของดีๆอยู่ในมืออีกมากใช่ไหม ? รอจนสร้างพิพิธภัณฑ์แล้วเสร็จ คงต้องใช้เวลาอีกนานพอสมควรแน่นอน สู้คุณเอาของดีๆพวกนี้มาให้ผมยืมทั้งหมดก่อนสักระยะดีไหม ? ”

 

หยางโปมองภัณฑารักษ์ฉางและหัวเราะ “ ภัณฑารักษ์ฉาง มีวัตถุโบราณมากมายอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ต่อให้คุณจะต้องการวัตถุโบราณไปมากกว่านี้ มันก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี !

 

เฉาหยวนเต๋อพูดเตือนสติ “ เหล่าฉาง ผมมักจะเห็นคุณสนใจของสะสมในพิพิธภัณฑ์ที่มีอยู่อย่างมากมายและหลากหลายเป็นพิเศษ ผมยังรู้สึกเลยว่าทําแบบนี้มันไม่ดี มีสิ่งของมากมายอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เมื่อไหร่กันที่พวกคุณจะสามารถดูแลรักษาพวกมันได้หมด ไปยืมของดีๆมาอีกสักหน่อย แบบนี้ถึงจะดี ”

 

ภัณฑารักษ์ฉางส่ายหน้า “ สาเหตุหลักคือในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติมีโบราณวัตถุล้ำค่ามากมาย แต่ชื่อเสียงไม่โด่งดังพอ เลยไม่เป็นที่รู้จักของผู้คน เหมือนหัวงูทองสัมฤทธิ์ชิ้นนี้ หากจําแนกตามวัตถุโบราณทางวัฒนธรรมที่แท้จริงและเรียงลําดับออกมา อย่างมากที่สุดก็เป็นเพียงโบราณวัตถุระดับหนึ่งเท่านั้น แต่มันมีชื่อเสียงโด่งดังมาก ผู้คนจํานวนมากต่างก็ชอบสิ่งนี้น่ะสิ !

 

หยางโปยิ้มและกล่าวว่า “ ผมคิดว่าสาเหตุหลักเพราะว่าพวกคุณทําการประชาสัมพันธ์พิพิธภัณฑ์ได้ไม่เต็มที่ ปัจจุบันนี้มีโซเชียลมีเดียมากมาย ถึงแม้พิพิธภัณฑ์จะเป็นหน่วยงานราชการ

 

ไม่ว่าหน่วยงานจะเกิดอะไรขึ้นก็จะได้รับการดูแล แต่ด้านการประชาสัมพันธ์ส่งเสริม เผยแพร่และองค์ความรู้ของวัตถุโบราณทางวัฒนธรรม ยังทําได้ไม่ค่อยดีพอ !”

 

ภัณฑารักษ์ฉางอึ้งไปครู่หนึ่ง “ นี่มันเป็นปัญหาจริงๆ ยังมีความรู้พื้นฐานด้านวัตถุโบราณทางวัฒนธรรมยังไม่มากพอ และยังมีประชาชนอีกจํานวนมากที่ไม่เข้าใจ ”

 

พอพูดจบ ภัณฑารักษ์ฉางก็ได้ชายตามองไปที่เฉาหยวนเต๋อ “ เหล่าเฉา เขากําลังเสนอคําแนะนําให้คุณอยู่ ทุกปีแผนกของคุณมีกองทุนโครงการอยู่มากมาย ควรจะจัดสรรและแบ่งปันให้พิพิธภัณฑ์แห่งชาติเยอะหน่อย ไม่อย่างนั้นจะมีเงินมาทําการประชาสัมพันธ์ได้ยังไง ! ”

 

เฉาหยวนเต๋อส่ายหน้า “ อาศัยช่วงที่มีสิทธิมเสียหาผลประโยชน์ ถ้าจะเอาเงินล่ะก็ไม่มี มีแต่ชีวิตนี่ล่ะ !”

 

ภัณฑารักษ์ฉางและเฉาหยวนเต๋ออายุเท่ากัน ทั้งสองดูแล้วจริงจังกันมาก แต่ระหว่างกันแล้วยังพูดคุยหยอกล้อเล่นกันได้อยู่

 

พูดคุยหัวเราะติดต่อกันนานกว่าสองชั่วโมง จากนั้นภัณฑารักษ์ฉางถึงได้ขอตัวกลับ

 

ทางด้านเฉาหยวนเตือได้ดึงหยางโปมาสั่งกําชับอีกสองสามคํา ถึงได้ขอตัวกลับ

 

หลินหลินออกจากบ้านตอนเช้า ตอนที่กลับมา ได้นําตะกร้าผักกลับมาด้วยตะกร้าหนึ่ง 

 

หยางโปจึงรีบกุลีกุจอเข้าไปหา และจะตามเธอเข้าไปในครัวเพื่อเรียนรู้วิธีการทําอาหาร

 

หลินหลินจึงโบกมือให้ ” ลูกไปทําธุระของลูกเถอะ ผู้ชายอกสามศอกมีใครเข้าครัวกันบ้าง ?

 

หยางโปยิ้มและพูดว่า “ วางใจได้ ผมทําอาหารเป็น แถมฝีมือยังดีอีกด้วยนะ”

 

หลินหลินมองไปที่หยางโปด้วยสีหน้าตกตะลึง “ ลูกเรียนทําอาหารตั้งแต่อายุเท่าไหร่ ? “

 

หยางโปที่กําลังทําความสะอาดเครื่องครัว จึงไม่ได้ทันสังเกตเห็นสีหน้าท่าทางของหลินหลิน

 

เขายังคงยิ้มและพูดว่า “ ผมเหรอ ? ผมเรียนรู้การทําอาหารมาตั้งนานแล้ว คงเป็น ตอนประถมมั้งตอนประถมศึกษาปีที่สี่ ”

 

หลินหลินจ้องมองภาพของหยางโปที่กําลังยุ่งวุ่นวายอยู่ มองดูเขาที่ทําความสะอาดอุปกรณ์ในครัวอย่างคล่องแคล่ว ก็อดตาแดงก่ำขึ้นมาไม่ได้ เธอส่ายหัวเบาๆสลัดอารมณ์และลบภาพตรงหน้าเหล่านี้ออกไป จากนั้นยิ้มและเอ่ยออกมาว่า “ งั้นก็ดีเลย วันนี้พวกเราแม่ลูกมาทําอาหารด้วยกัน ! ”

 

ในเรือนสี่ประสานมีแม่บ้านที่ถูกจ้างมาเป็นการเฉพาะ แต่หลินหลินก็มักจะยืนกรานที่จะทําอาหารด้วยตัวเอง เธอไปอยู่ต่างประเทศมานานหลายปี ถึงแม้ว่าจะหาเงินได้มาก แต่กลับลงมือทําอาหารเองตลอด แต่เมื่ออยู่คนเดียว ก็มักจะกินง่ายอยู่ง่ายหน่อย แต่ตอนนี้อยู่กัน 2 คนแล้ว มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เธอจะต้องเตรียมตัวให้ครบถ้วนมากหน่อย !

 

แม่และลูกชายทั้งสองพูดคุยและหัวเราะกันอย่างมีความสุข และยังช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

 

ดูราบรื่นมาก

 

เมื่อตอนใกล้เที่ยง ชุยอี้ผิงก็รีบเข้ามาหา เขาเดินเข้าไปชะโงกหน้าดูในครัว “ คุณป้า เสี่ยวโปทําอาหารกันอยู่เหรอครับ ?”

 

หลินหลินหันกลับมามอง “ พวกเราทําอาหารไว้หลายอย่าง หลานมาทันเวลาพอดี เดี๋ยวมากินข้าวเที่ยงด้วยกันเลย ! ”

 

ชุยอี้ผิงพูดอย่างไม่เกรงใจ “ คุณป้าทําอาหารได้หลายอย่างเหรอ ถ้ามันมากเกินไป ผมขอโทรตาม ซิ่วซิ่วมาด้วยได้ไหม ? ”

 

“ ดีเลย ให้เธอรีบมาเร็ว ! ” หลินหลินดูกระตือรือร้นมาก

 

ชุยอี้ผิงรีบหยิบโทรศัพท์มือถือกดสายโทรออกหาหงซิ่วซิ่วทันที

 

เขาไม่ได้เข้าไปในครัว แต่พิงอยู่ที่ประตูและชะโงกหน้ามองเข้าไปด้านใน “ คุณป้า ทั้งคู่ดูมีเวลาว่างกันจริงๆ ทําอาหารดีๆตั้งเยอะแบบนี้ !”

 

หยางโปถามว่า “ นายกับพี่สะใภ้ไม่ทําอาหารที่บ้านเหรอ ? ”

 

“ เธอขี้เกียจมาก เข้าครัวทําอาหารได้ที่หนึ่งก็ไม่เลวแล้ว ” ชุยอี้ผิงตอบ

 

หยางโปหลุดขํา “ ฉันคิดว่าพวกนายลองทําดูกันได้นะ ลงมือทําอาหารเองมันมีความภาคภูมิใจมาก แถมรสชาติก็อร่อยด้วย !”

 

“ ฉันคิดว่าไม่จําเป็นหรอก นายเป็นเถ้าแก่ ตอนนี้ฉันทํางานแทนนาย ช่วยนายจัดการบริษัทสื่อบันเทิง ต่อไปในอนาคต ฉันกับซิ่วซิ่วก็ไม่ต้องทําอาหารแล้ว มาหานายที่นี่เลยก็ได้แล้ว !” ชุยอี้ผิง กล่าว

 

พอพูดจบแล้ว ชุยอี้ผิงก็เดินเข้ามา เมื่อเห็นหลินหลินยกอาหารออกมา เขาก็รีบเข้าไปรับทันที

 

” ผมเอง ผมเอง ! ในเมื่อผมมากินฟรี จะไม่ทําอะไรเลยมันก็คงไม่ได้ ขอแอบชิมหน่อย ! “

 

ชุยอี้ผิง ถือจานไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็หยิบเนื้อชิ้นหนึ่งเข้าปาก

 

” อืม อร่อย อร่อยมากจริงๆ !”

 

หยางโปเหลือบมองไปที่ชุยอี้ผิง “ นายทําเพื่อให้ได้มากินข้าวฟรี พยายามมากเลยนะ !”

 

จากนั้นไม่นาน หงซิ่วซิ่วก็รีบเดินทางมา อาหารก็ปรุงสุกหมดแล้ว

 

ทุกคนนั่งรายล้อมโต๊ะและเริ่มกินข้าวกัน

 

หลินหลินคีบเติมอาหารให้กับหยางโปไม่หยุด แถมยังคอยพูดเตือนชุยอี้ผิงและทั้งสองคนให้กินเยอะๆ

 

ชุยอี้ผิงรีบร้อนกินอย่างตะกรุมตะกราม แต่หงซิ่วซิ่วกลับกันอย่างมีมารยาท ใช้ตะเกียบคีบผักขึ้นมาอย่างคล่องแคล่วและรวดเร็ว

 

เมื่อหยางโปเห็นทั้งสองคน จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า ” ทําไมพวกนายถึงได้หิวกันขนาดนี้ ? 

 

หงซิ่วซิ่วอดไม่ได้ที่จะกล่าวโทษออกมาว่า “ เขาไม่เคยทําอาหาร ทุกครั้งมักจะพาฉันออกไปกินข้าวข้างนอก และมักจะกินแต่ร้านอาหารไม่กี่ร้านพวกนั้นซ้ำๆ กินจนเบื่อแล้ว “

 

ชุยอี้ผิงเงยหน้าขึ้น “ ผมเป็นลูกผู้ชายอกสามศอกคนหนึ่ง คุณจะปล่อยให้ผมอยู่รอบเตาไฟทั้งวันเลยหรือไง ? 

 

“ คุณมันก็มีความคิดแบบนี้ ต่อให้ฉันพูดยังไง คุณก็คงเปลี่ยนแปลงตัวเองไม่ได้เลยใช่ไหม ?

 

ผู้ชายตี้จิง จะต้องมีแต่ลัทธิผู้ชายเป็นใหญ่หรือยังไง ? ” หงซิ่วซิ่วกล่าว

 

ชุยอี้ผิงพยักหน้า “ ผู้ชายที่จึงนี่ไม่ได้เรียกว่าลัทธิผู้ชายเป็นใหญ่ แต่นี่เป็นเอกลักษณ์สุภาพบุรุษของตี้จิง !”

 

หงซิ่วซิ่วเบะปาก และหันไปมองหน้าหลินหลิน ” คุณป้าว่าคนแบบนี้อยากโดนกระทืบไหมคะ

 

หลินหลินหัวเราะ “ พวกเธอนนะ สามีภรรยาอยู่ด้วยกันต่างก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่เหรอ ? อี้ผิงไม่อยากเข้าครัวทําอาหาร ความคิดนี้เดิมมันก็มีปัญหา อนาคตก็ค่อยๆปรับๆกันไป! สมัยนี้มันไม่ใช่สมัยก่อน สมัยก่อนในครอบครัวหนึ่งมีคนที่ทํางานหาเงินเพื่อมาเลี้ยงดูครอบครัวแค่คนเดียว

 

แต่ตอนนี้ซิ่วซิ่วก็มีงานทํา พวกเธอหาเงินเลี้ยงดูครอบครัวด้วยกัน งานบ้านก็ต้องเท่าเทียมกัน!”

 

หงซิ่วซิ่วมองไปทางชุยอี้ผิง “ ได้ยินแล้วใช่ไหม ? ”