ตอนที่ 912 บริษัทสื่อบันเทิง

เนตรเซียนทะลุสมบัติ

ตอนที่ 912 บริษัทสื่อบันเทิง

 

ชุยอี้ผิงลังเล “ งั้นเราผลัดกันทําสิ ! ”

 

หงซิ่วซิ่วยิ้มอย่างมีชัยเหมือนกับได้รับชัยชนะครั้งใหญ่

 

ทั้งสี่คนกินข้าวด้วยกัน แต่ละคนพูดพลัดกันคนละคํา ดูเหมือนว่าเวลาจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

ชุยอี้ผิงกินอย่างมูมมาม แต่จริงๆแล้วกินได้ไม่มาก ไม่นานก็วางจานและตะเกียบลง

 

หลังอาหารเย็น หลินหลินก็ลุกขึ้นเก็บของ ชุยอี้ผิงจึงหันไปขยิบตาให้หงซิ่วซิ่ว หงซิ่วซิ่วจึงยืนขึ้นอย่างไม่เต็มใจนัก

 

หลินหลินยิ้มและพูดว่า ” ไม่ต้อง เดี๋ยวป้าเก็บเอง !”

 

” คุณป้า ไม่เป็นไร เดี๋ยวหนูทําเอง ! “ หงซิ่วซิ่วกล่าว

 

ในขณะที่ทั้งสองกําลังเก็บกวาดห้อง แม่บ้านก็วิ่งเข้ามารับช่วงต่อ

 

หยางโปชงชาให้ทั้งสี่คนคนละถ้วย เขาชายตามองไปที่ชุยอี้ผิง” ที่มาหาวันนี้ต้องมีเรื่องแน่ใช่ไหม ? “

 

ชุยอี้ผิงพยักหน้า ” แผนของบริษัทสื่อบันเทิงในปีนี้เริ่มขึ้นแล้ว ตอนนี้ภาพยนตร์เรื่องใหม่กําลังจะเริ่มถ่ายทํา ฉันนําบทสคริปต์มาด้วย นายลองดูเนื้อหาของบทสคริปต์ก่อน”

 

หยางโปส่ายหน้า “ ฉันจะไม่อ่านบทสคริปต์แล้วล่ะ ในเมื่อวางแผนที่จะเริ่มถ่ายทํากันแล้ว

 

นั่นก็หมายความว่าเตรียมพร้อมกันจนพอประมาณแล้ว นายก็ลงมือทําด้วยความมั่นใจเถอะ !

 

ชุยอี้ผิงส่ายหน้า ” ฉันไม่รู้ว่าต้องทํายังไง ยังไงซะก่อนหน้านี้ฉันก็เป็นนักวาดภาพ จู่ๆตอนนี้ให้ฉันมาเป็นโปรดิวเซอร์ ฉันไม่เคยทํามาก่อน ถ้าเกิดล้มเหลวขึ้นมาล่ะ ? “

 

“ ถ้าล้มเหลวก็ถือซะว่าเป็นการซื้อบทเรียน “ หยางโปดูไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย

 

ชุยอี้ผิงจ้องมองหยางโปตาเขม็ง เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของเขาดูเหมือนไม่แยแสเลยแม้แต่น้อย

 

ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างเศร้าใจ “ ตอนนี้นายรวยมากแล้วสินะ งบภาพยนตร์เรื่องหนึ่งเกือบ 20 ล้าน นายยังไม่สนใจ ช่วงนี้หาเงินได้เยอะเลยใช่ไหม ? ”

 

หยางโปพยักหน้า “ ใช่ นายเพิ่งจะรู้เหรอ ? ”

 

ชุยอี้ผิงสําลักออกมาทันที ถึงกับพูดอะไรไม่ออก

 

หลินหลินที่นั่งอยู่ข้างๆหัวเราะเยาะและดุด่าให้ “ พูดให้มันดีๆหน่อย !”

 

หยางโปหัวเราะดังขึ้น และอธิบายว่า “ หลายวันก่อนฉันไปประเทศญี่ปุ่นมา พวกเขามอบตึกชั้นหนึ่งที่อยู่ในย่านการค้าให้ฉันมาตึกหนึ่ง ถือว่าเป็นโชคลาภที่ได้มาโดยคาดไม่ถึง ! ”

 

ตึกชั้นหนึ่งในย่านการค้า ? ย่านการค้าอะไร ? คงไม่ใช่ย่านศูนย์กลางธุรกิจหรอกใช่ไหม ? ”

 

ชุยอี้ผิงถามด้วยความสงสัย

 

หลินหลินและหงซิ่วซิ่วต่างก็มองมาด้วยความสงสัย

 

หยางโปยิ้ม “ ตึกชั้นหนึ่งในย่านกินซ่าโตเกียว”

 

“ ย่านกินซ่า ! ” ซูยอี้ผิงอ้าปากค้างสีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ แม้แต่คนที่ไม่เคยไปที่โตเกียวประเทศญี่ปุ่นมาก่อน ต่างก็รู้ว่าย่านกินซ่าเป็นย่านการค้าของโตเกียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังเป็นย่านการค้าที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดของประเทศญี่ปุ่นอีก ตึกรางบ้านช่องของที่นั่นมีมูลค่าสูงมากจริงๆ

 

“ เสี่ยวโปลูก…ลูกทําอะไรอยู่กันแน่ ? ทําไมเขาถึงได้มอบของล้ำค่าแบบนี้กับลูกได้ ?” หลินหลินที่เดิมที่มีสีหน้าท่าทางเต็มไปด้วยแปลกใจอยู่แล้ว ทันใดนั้นหน้าถึงกับถอดสีไปเลยที่เดียว

 

ดูเหมือนว่ากําลังคิดอะไรอยู่

 

หยางโปรีบส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว “ แม่ไม่ต้องห่วง ผมแค่ช่วยรักษาโรคให้เขาเท่านั้น

 

เขารู้สึกขอบคุณผมเลยมอบของให้ผมมาเล็กน้อย ”

 

“ นั้นเป็นของเล็กน้อยๆหรือไง ? ตึกชั้นแรกในย่านกินซ่า มันราคาแพงมากเลยนะ ทําไมไม่มีใครให้ฉันบ้างเลย ? ถ้ามอบตึกให้ฉันชั้นเดียว ตลอดชีวิตนี้ฉันคงไม่ต้องทํางานแล้ว ” ชุยอี้ผิงพูดอย่างเจ็บปวด

 

หงซิ่วซิ่วตบไหล่เขา “ คุณโง่หรือเปล่า ? คุณช่วยเขารักษาอาการป่วยได้ไหม ? ”

 

ชุยอี้ผิงส่ายหัว ” ผมไม่สามารถช่วยเขารักษาอาการป่วยได้”

 

“ แล้วทําไมคุณถึงคิดว่าคุณจะได้อะไรมาเปล่าๆโดยที่ไม่ลงแรงทําอะไรเลยล่ะ ? ” หงซิ่วซิ่วถาม

 

ชุยอี้ผิงส่ายหน้า “ ผมก็ไม่ได้พูดสักหน่อยว่าจะได้อะไรมาเปล่าๆโดยที่ไม่ลงแรงทําอะไรเลย

 

ต่อให้เสี่ยวโปจะเอาตึกนั่นให้ผม ผมก็ไม่มีทางเอาหรอก ! ”

 

หยางโปที่นั่งข้างๆ ยิ้มและพูดว่า ” อ้อ จริงเหรอ ? งั้นฉันยกให้นายเลยก็แล้วกัน”

 

ชุยอี้ผิงตกตะลึงอยู่พักหนึ่ง เขาจ้องเขม็งมองหยางโปตาไม่กระพริบ “ จริงเหรอ ? ”

 

หยางโปหัวเราะและพูดว่า “ แน่นอนสิ ถ้านายอยากได้ก็เอาไปเลย ! ”

 

ชุยอี้ผิงกัดฟัน “ ไม่เอา ! ”

 

ทุกคนหัวเราะกันอย่างมีความสุข

 

หลินหลินที่นั่งอยู่ด้านข้างพูดด้วยรอยยิ้ม “ ภาพวาดของอี้ผิงได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ในตลาดราคาก็เพิ่มขึ้นมาก เมื่อเร็วๆนี้ขายภาพวาดได้อีกสามภาพ แม่คิดที่จะขายแต่ก็เสียดาย

 

ต่อไปราคาจะต้องเพิ่มขึ้นเป็นสี่หมื่นหยวนต่อภาพแน่ๆ ”

 

ชุยอี้ผิงประหลาดใจมาก เขามองไปที่หลินหลิน

 

” ขายไปสามภาพแล้ว ? ขายไปเท่าไหร่เหรอครับ ? ”

 

“ ภาพวาดสามภาพขายไปห้าหมื่น” หลินหลินตอบ

 

ใบหน้าของชุยอี้ผิงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ ห้าหมื่นหยวน ก็ไม่เลวนะ”

 

ในความเป็นจริง ด้วยอายุของ ชุยอี้ผิงราคานี้ถือว่าดี แต่ไม่นับว่าประสบความสําเร็จ

 

นี่คือเหตุผลทั้งหมดที่ชายชราต้องการเกลี้ยกล่อมเขาไม่ให้เลือกเดินทางศิลปะ

 

หลังจากพูดเล่นกันอยู่สักพัก ชุยอี้ผิงก็รายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ล่าสุดของบริษัทสื่อบันเทิงให้ฟัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานการณ์ของอู๋เฉียงและกงเสี่ยวเจิ้ง

 

“ หลังจากอู๋เฉียงกลับมาจากเรียนรู้ที่ฮ่องกง ก็พัฒนาขึ้นมาไม่น้อยเลยจริงๆ ทักษะการแสดงของเขาก็เปลี่ยนไปมากเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการออกแบบทางการเคลื่อนไหวด้านศิลปะการต่อสู้ พรสวรรค์ของเขาเหนือกว่าคนทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด และมักจะออกแบบทักษะการเคลื่อนไหวในศิลปะการต่อสู้ออกมาได้อย่างงดงาม ในขณะที่คนอื่นๆทําไม่สําเร็จ มีแต่เขาเท่านั้นที่ทํามันได้”

 

“ สําหรับกงเสี่ยวเจิ้ง ผู้หญิงคนนี้สวยมาก และมีแรงจูงใจในตัวเองมาก เด็กผู้หญิงอ่ะนะ ตอนแรกนิสัยค่อนข้างเย็นชาไปหน่อย ไม่ค่อยชอบเข้าอยู่ร่วมกับส่วนรวม แต่ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว เธอเป็นคนชอบความเป็นธรรม หลังจากเรียนรู้เรื่องทักษะศิลปะการต่อสู้กับอู๋เฉียง ก็ยินดีที่จะออกหน้าเพื่อผู้หญิงคนอื่นๆ ดังนั้นผู้หญิงส่วนใหญ่เลยชอบเธอกันมาก !”

 

หยางโปพยักหน้า ” แล้วนายคิดว่าพวกเขามีแนวโน้มการพัฒนาในอนาคตยังไงบ้าง ?”

 

ชุยอี้ผิงรู้สึกค่อนข้างลังเล “ พูดตามตรงนะ มันง่ายมากที่คิดจะผลักดันใครซักคนให้เป็นจุดสนใจ

 

ก็แคให้เขามีส่วนร่วมในซีรีย์หรือภาพยนตร์ยอดนิยมสักเรื่อง แต่ก็มีบางคนที่ไม่ว่าทํายังไงก็ไม่โด่งดังซะที และมีบางคนที่โด่งดังมีชื่อเสียงขึ้นมาโดยบังเอิญ !”

 

“ ฉันศึกษามาเป็นเวลานาน จนฉันพบว่าสิ่งทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับโชคชะตา ถ้าโชคชะตาดีก็ดังเป็นพลุแตก ถ้าโชคร้าย บางทีมันอาจจะเหมือนเดิมไปตลอดชีวิต”

 

หยางโปพยักหน้า “ มันก็ใช่นะ ในเมื่อพวกเขาเป็นนักแสดงที่เซ็นสัญญากับบริษัทแล้ว นายก็ใส่ใจสักหน่อย ในช่วงเวลาที่สําคัญก็ช่วยผลักดันพวกเขา ! ”

 

ชุยอี้ผิงพยักหน้า “ นายวางใจได้เลย ทําอย่างกับฉันจะไปปิดกั้นอนาคตของพวกเขางั้นแหละ

 

หยางโปเหลือบมองไปที่ชุยอี้ผิง “ งั้นก็ดี ยังไงซะนายก็เป็นผู้จัดการ ฉันก็ไม่มีอะไรจะต้องพูด

 

นายดูเอาเองก็แล้วกันว่าจะต้องทํายังไง !”

 

ชุยอี้ผิงมองหน้าหยางโป “ นายไม่ไปดูหน่อยเหรอ ? ”

 

“ ดูอะไร ? ” หยางโปถาม

 

ชุยอี้ผิงพูดออกมาอย่างจนปัญญา “ ครั้งนี้ฉันคงมาเสียเปล่าแล้วมั้ง ฉันคิดจะเชิญนายไปที่บริษัท เพื่อไปให้กําลังใจทุกคนสักหน่อย ! ”

 

หยางโปหัวเราะออกมา “ ในเมื่อนายเอ่ยปากออกมาแล้ว งั้นพรุ่งนี้ฉันจะไปดูทุกคนหน่อยก็แล้วกัน ! ”

 

“ ช่างเถอะ ช่างเถอะ นายไม่ต้องไปดีกว่า ไม่มีความจริงใจเลยสักนิด ! ” ชุยอี้ผิงโบกมือ

 

หยางโปจ้องไปที่ชุยอี้ผิง “ ไม่มีความจริงใจ ? แล้วต้องทํายังไงถึงจะมีความจริงใจ ? ”

 

ชุยอี้ผิงเงยหน้าขึ้นและคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ ทําอาหาร ใช่ นายสามารถอวดฝีมือทําอาหารอร่อยๆ สักโต๊ะ แบบนี้ถึงจะแสดงความจริงใจออกมาได้ !”

 

” ไม่ใช่มั้ง ตอนนี้บริษัทมีคนอยู่เท่าไร ? คงมีหลายสิบกว่าคนมั่ง ? ฉันต้องทําอาหารให้คนตั้งหลายสิบคนแค่แถมยังทําคนเดียวเนี่ยนะ ? ” หยางโปเอยถาม

 

นายนี่โง่จริงๆ นายก็ทําอาหารจานเดียว แสดงน้ำใจก็ได้แล้วมั้ง ถ้าต้องทําอาหารให้คนตั้งหลายสิบคน นายก็เหนื่อยตายน่ะสิ ? ” ชุยอี้ผิงตอบ