บทที่ 79 เสี่ยวเสวี่ย เจอกันอีกแล้วนะ

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 79
เสี่ยวเสวี่ย เจอกันอีกแล้วนะ

มู่หรงเสวี่ยพยักหน้า “งั้นฉันจะเข้าไปตรวจวันนี้เลย อีกอย่างพี่กู่ ช่วยเช่าโกดังให้ฉันอีกทีนะคะ เอาที่ไม่ห่างจากบริษัทมากนัก ฉันจะใช้เก็บสมุนไพร ในอนาคตแผนกเภสัชกรรมจะไปที่นั่นเพื่อเก็บสมุนไพรที่ต้องใช้ในวันต่อไป ฉันจะส่งข้อความบอกอีกทีเมื่อฉันพร้อม”

กู่หมิงถาม “เสี่ยวเสวี่ย คุณหมายความว่าเราไม่จำเป็นต้องซื้อสมุนไพรแล้วเหรอ? อันที่จริงปล่อยให้แผนกเภสัชกรรมเป็นคนจัดการเถอะ ทำไมคุณต้องเข้ามาจัดการเองด้วยล่ะ?”
แต่ที่มิติลับของเธอมีสมุนไพรมากมาย มันจะได้ไม่เป็นการเสียเปล่า โอเคไหม?! โถ่ น่าเสียดายที่เธอพูดแบบนั้นไม่ได้ “ฉันมีแผนของตัวเองค่ะ ฉันมีคนรู้จักที่ขายสมุนไพร จึงไม่ต้องไปซื้อจากคนอื่น”
กู่หมิงรู้ดีว่าการตัดสินใจของมู่หรงเสวี่ยมีเหตุผลของตัวเอง “โอเคครับ ผมจะจัดการให้วันนี้เลย”

“งั้นก็เท่านี้แหละค่ะ พี่จื่อเหวินฉันจะกลับบ้าน พี่จะไปด้วยไหม? จะได้แวะไปหาเสี่ยวหลินด้วย” มู่หรงเสวี่ยหันมาถามโม่จื่อเหวิน

โม่จื่อเหวินพยักหน้า “โอเค ไปกันเถอะ”
ทั้งสองกลับมาที่บ้านมู่หรงด้วยกัน แม่ของมู่หรงเสวี่ย จางเข่อเหรินบ่นเรื่องลูกสาวที่โตเร็วเกินไป เธอออกไปทั้งวันและไม่กลับมาบ้านเป็นเดือน เธอไม่มีความลับกับโม่จื่อเหวินจึงพูดได้ต่อหน้า

หลังจากที่ฟังแม่บ่นเรียบร้อย มู่หรงเสวี่ยก็ถึงกับกลอกตา ไม่สำคัญว่าแม่จะบ่นอะไรเธอก็จะทนไว้ เธอเดินไปที่ห้องโม่จื่อหลิน
“เสี่ยวหลิน คิดถึงพี่ไหม?” มู่หรงเสวี่ยพูดอย่างมีความสุข
โม่จื่อหลินที่กำลังยุ่งอยู่ที่โต๊ะคอมพิวเตอร์ หันหัวกลับมาและร้องด้วยความตกใจ “พี่มู่หรงเสวี่ย กลับมาแล้วเหรอครับ?!” เขารีบเข้ามากอดพี่สาวคนสวยของเขาที่เขาคิดถึงมานาน
“ฮ่าฮ่าฮ่า เสี่ยวหลิน ขอพี่ดูหน่อยสิ” มู่หรงเสวี่ยช่วยพยุงเสี่ยวหลินที่รีบเข้ามา หลังจากที่มองอย่างละเอียด ตอนนี้หน้าของโม่จื่อหลินแดงระเรื่อแล้วและร่างกายของเขาก็แข็งแรงกว่าแต่ก่อนมาก เธอจับที่ข้อมือเขาเพื่อตรวจชีพจรอย่างระวัง ชีพจรคงที่และแข็งแรงมากซึ่งแสดงให้เห็นว่าเสี่ยวหลินมีสุขภาพที่ดี มู่หรงเสวี่ยถอนหายใจด้วยความโล่งอก

โม่จื่อหลินแสดงให้มู่หรงเสวี่ยเห็นว่าเขารู้สึกขอบคุณเธอมากแค่ไหน ตอนนี้เขาทั้งกระโดดและหัวเราะได้เหมือนคนปกติแล้ว เขาเทิดทูนคนที่อยู่เบื้องหน้ามากและจะจดจำคนที่มอบชีวิตใหม่ให้เขาไปตลอด

โรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง จางหลินหลี่ส่งใบลาเป็นเวลาหนึ่งเดือนให้กับพ่อตัวเอง

จางเหวินหมิงมองตรงไปที่ลูกชาย สายตาแห่งความสงสัยของเขาเลื่อนขึ้นและลง
“ลูกอยากจะทำอะไร?”
เขารู้จักลูกชายดี เขาไม่ค่อยเต็มใจที่จะปล่อยให้ลูกไปจากโรงพยาบาล ตอนนี้เขากลับมาขอลาพักตั้งเดือน เขารู้สึกงงและสับสนไปหมด ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

จางหลินหลี่มองอย่างขนลุก เขาไม่ได้จะไปทำอะไรแปลกๆซะหน่อย “ผมจะไปหาอาจารย์ที่สอนการฝังเข็มและการรมยาให้ผม”

เพื่อเรียนด้านการแพทย์นั่นคือสิ่งที่เขาจะทำแต่… “ลูกมีอาจารย์ที่เคารพตั้งแต่เมื่อไรกัน? ทำไมพ่อไม่รู้เรื่องเลยแล้วใครกันที่เก่งถึงขนาดที่ลูกยอมรับให้เป็นอาจารย์เนี่ย?”

จางหลินหลี่ยิ้มอย่างมีความหมาย “พ่อเคยเจอแล้วนะรู้ไหม”
จางเหวินหมิงมองอย่างสงสัย “ฮ่ะ? พ่อรู้จักด้วยเหรอ? ศาสตราจารย์ฮ่าวหรือเปล่า?! ไม่ ไม่ใช่แน่ เขาเคยมาขอคำแนะนำจากลูก ใช่ศาสตราจารย์หลิวไหม?! ไม่ใช่สิ…ศาสตราจารย์คนไหนกัน?”

เขายิ้มออกมาราวกับกำลังแกล้งเล่น “ก็มู่หรงเสวี่ยไงครับ ฮ่าฮ่า!”
ปากที่เต็มไปด้วยน้ำชาถึงกับพรั่งพรูออกมาและจางเหวินหมิงชี้ไปที่ลูกชายที่ถูกน้ำชากระเด็นโดนทั่วหน้า “ลูกกำลังพูดถึงใครกัน?!!”

บ้าเอ๊ย หลบไม่ทันเลย โดนเองซะได้! จางหลินหลี่หยิบกระดาษทิชชูที่วางอยู่ที่โต๊ะขึ้นมาเช็ดน้ำชาออกจากหน้า แล้วเขาก็กลอกตาพูดออกมาว่า “คุณพ่อที่รัก ได้ยินไม่ผิดหรอกฮ่ะ คนที่ผมพูดถึงก็คือมู่หรงเสวี่ยที่พ่อได้เจอวันก่อนนั่นแหละครับ”

จางเหวินหมิงที่อยากจะถาม ดูเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่และก็เผยอรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา

“โอ้! พ่อรู้แล้ว เข้าใจแล้ว ไปเลยแล้วเดี๋ยวพ่อจะเพิ่มวันให้อีกนะ ไม่ต้องห่วง…ฮ่าฮ่า พ่อจะได้อุ้มหลานแล้ว…”

อะไรนะ?! อะไรเนี่ย?! นี่มันเรื่องการเรียนด้านการแพทย์ไม่ใช่เหรอ?! แล้วพูดบ้าเรื่องหลานอะไรกันเนี่ย!?? จางหลินหลี่เริ่มจะคิดว่าพ่อของเขาเริ่มที่จะคิดอะไรไม่ดีอีกแล้ว…ยังไงซะตราบใดที่พ่ออนุญาตให้เขาลาได้ก็ไม่มีปัญหา

จางหลินหลี่รับตั๋วที่เขาสั่งไปมาไว้ในมือและยิ้มอย่างมีความสุข รอยยิ้มที่ทำให้คนที่เดินเข้าออกในสนามบินต้องหันมามอง
เสี่ยวเสวี่ย เรากำลังจะได้เจอกันแล้วนะ
มู่หรงเสวี่ยมองไปที่จางหลินหลี่ที่มาปรากฏตัวตรงหน้าเธอ เธออ้าปากค้างอย่างประหลาดใจ เธอคิดว่าตัวเองตาฝาดและมองผิดไป เธอถึงกับต้องขยี้ตาอีกรอบแต่ก็ยังเห็นเขาอยู่

เธอขยี้ตาและคิดว่าตัวเองเพี้ยนไปแล้ว เพื่อที่จะให้ได้เรียนทักษะการแพทย์ เขาถึงกับตามเธอมาถึงที่นี่ เธอทำให้เขาสนใจได้จริงๆด้วย “พี่จาง…คุณ…คุณ…”

จางหลินหลี่อ้าแขนและกอดเธอไว้แน่น รอยยิ้มของเขาช่างสดใสและมีเสน่ห์จริงๆ ฮ่าฮ่าฮ่า เสี่ยวเสวี่ย ดีใจที่ได้เจอผมจนพูดไม่ออกเลยเหรอ?!!”

ดวงตาเขามองเธออย่างมีความสุข “คุณมาอยู่ที่เมือง A ได้ยังไง?”
เขาปล่อยเธอและตอบอย่างจริงจัง “ผมบอกแล้วไม่ใช่เหรอ? ว่าอย่าคิดที่จะหนีผมกลับมาที่เมือง…”

มู่หรงเสวี่ยกลอกตา “ใช่ ใช่ ฉันรู้ว่าคุณทุ่มเทในเรื่องทักษะการแพทย์มาก แล้วคุณจะมาอยู่ที่เมือง A กี่วันล่ะคะ?”

เขายิ้มกว้างและชูนิ้วขึ้นมา “เดือนหนึ่ง คุณต้องดูแลผมอย่างดีเลยนะ”

มู่หรงเสวี่ยมองไปที่กระเป๋าเดินทางที่เขาถืออยู่ด้านหลังและต้องถึงกับกลอกตาอีกครั้ง “ไปหาที่พักกันก่อนเถอะ”

จางหลินหลี่ยักไหล่ พร้อมลากกระเป๋าแล้วเดินตาม มู่หรงเสวี่ยไป “มู่หรงเสวี่ย คุณอยู่ที่ไหนเหรอ?” เขามองเด็กสาวที่อยู่ข้างๆ เขาไม่เจอเธอมาหลายวัน แต่ก็ยังทำใจให้กลับมาเป็นปกติไม่ได้เลย เขาไม่คิดว่าตัวเองมองเธอพอแล้ว
มู่หรงเสวี่ยหันมามองดวงตาสดใสของเขาและพูดว่า “แน่นอนฉันต้องอยู่ที่อะพาร์ตเมนต์ตัวเองสิ แล้วคุณล่ะคะ?! จองโรงแรมไว้แล้วหรือยัง?”

ผมที่ปลิวปรกหน้าเธอสวยขนาดนี้จนเขาละสายตาไม่ได้ เขายื่นมือออกไปเพื่อปัดผมนุ่มของเธอออกเพื่อให้ไม่บังหน้า แต่มือเล็กเร็วกว่าและรีบดึงผมไปทัดหูไว้ มือที่ยื่นออกไปกลางอากาศดูแปลกและน่าอึดอัดเล็กน้อย เขานิ่งอยู่สักพักแล้วก็แกล้งทำเป็นปัดแมลงที่มองไม่เห็นอยู่ในอากาศออกไป

“ผมต้องพักอยู่ใกล้ๆคุณสิ ไม่งั้นผมจะเรียนเรื่องการแพทย์กับคุณยังไงล่ะ?” เขาไม่มีวันยอมรับแน่ๆว่านี่เป็นเจตนาที่เห็นแก่ตัวของเขาเอง เขามาที่นี่เพื่อทักษะการแพทย์เท่านั้น ใช่ ทักษะการแพทย์เท่านั้น

ใกล้งั้นเหรอ แต่ไม่มีโรงแรมใกล้ๆอะพาร์ตเมนต์เธอเลยนี่ มู่หรงเสวี่ยขมวดคิ้ว มู่หรงเสวี่ยคิดอยู่นาน เขานี่มันคลั่งเรื่องการแพทย์จริงๆ “ไม่มีโรงแรมใหญ่ๆใกล้ฉันเลย…”
“งั้นผมจะซื้ออะพาร์ตเมนต์ถัดจากคุณแล้วกัน” เขาพูดราวกับว่าการซื้ออะพาร์ตเมนต์เป็นเรื่องง่ายๆเหมือนการดื่มน้ำจากแก้ว

มู่หรงเสวี่ยพูดไม่ออก เป็นคนที่ฟุ่มเฟือยอะไรขนาดนี้เนี่ย? เขาถึงกับต้องซื้ออะพาร์ตเมนต์ที่นี่เพียงเพราะมาอยู่แค่เดือนเดียวเนี่ยนะ “แล้วแต่คุณเลยค่ะ งั้นก็ขึ้นรถแล้วไปดูกันว่ายังมีห้องเหลืออยู่ไหม น่าจะขายไปหมดแล้ว”

จางหลินหลี่เก็บกระเป๋าเข้าไปในรถ แล้วดึงกุญแจรถมาจากมือเธอแล้วเดินไปที่ฝั่งคนขับ “ผมจะให้ผู้หญิงขับรถได้ยังไง? ผมเป็นสุภาพบุรุษนะครับ”

ในเมื่อเขาอยากที่จะขับ และเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะได้ไปแถวบ้านของมู่หรงเสวี่ย โชคไม่ดีที่หลังจากได้เจอพนักงานขาย พวกเขาก็ได้รู้ว่าห้องทั้งหมดถูกขายไปหมดแล้ว มู่หรงเสวี่ยไม่ได้พูดอะไรกับจางหลินหลี่เรื่องอะพาร์ตเมนต์ของเธอ ห้องสวีทของเธอมีห้าห้องนอนซึ่งค่อนข้างใหญ่มาก ช่างมันเถอะ ยังไงซะเขาก็ไม่ได้อยู่นาน เดือนเดียวผ่านไปเร็วจะตาย
“พี่จาง นอกจากห้องนอนใหญ่ก็ยังมีอีกสี่ห้องนอน คุณเลือกเอาสักห้องแล้วกัน แต่บอกไว้ก่อนนะคะ ห้องนอนใหญ่ฝั่งนี้เป็นอาณาเขตของฉัน คุณไม่ได้รับอนุญาตให้ข้ามมาฝั่งนี้”

นี่คือห้องของเธอ ทั้งบ้านเต็มไปด้วยกลิ่นของเธอ จะทำยังไงดี?! เขามีความสุขอย่างมาก ช่างใกล้ชิดเหลือเกินจนทำให้หัวใจเขาเต้นรัวมาก “โอเค ผมเข้าใจแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมจะไม่สร้างปัญหาอะไรให้คุณแน่” จางหลินหลี่รับปาก

ท่าทางของเขานะแหละที่เป็นปัญหา มู่หรงเสวี่ยคิดอยู่ในใจ “คุณเดินทางมาทั้งวัน พักก่อนแล้วกัน”

หลังจากนั้นเขาก็พยักหน้ารับเพราะรู้สึกเพลีย อันที่จริงเขาไม่ได้อยากที่จะพักเลย แต่มู่หรงเสวี่ยเหนื่อยมาก ที่บริษัทมีเรื่องมากมายที่ต้องจัดการในช่วงนี้ เมื่อวานก็ต้องรักษาพวกทหารผ่านศึก โชคดีที่พวกเขามีเพียงแค่รอยแผลเก่าจากการโดนยิง หลังจากการฝังเข็มและการรมยาพวกเขาก็กลับไปพัก พวกเขาเยียวยาได้อย่างสมบูรณ์ ไม่มีปัญหาใหญ่อะไร

นอกจากนี้ ยังต้องดูเรื่องบริษัทผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางแพทย์แผนจีนที่ร่วมกันเปิดระหว่างโม่อ้ายหลี่อีกที่ชื่ออ้ายเสวี่ยอีก เป็นชื่อของเธอและโม่อ้ายหลี่ที่เอามารมกันเพื่อเป็นการให้เกียรติซึ่งเป็นความตั้งใจของพวกเธอทั้งคู่ โม่อ้ายหลี่เองก็เหนื่อยเหมือนกันเพราะต้องวิ่งวุ่นเรื่องบริษัทใหม่ แน่นอน นอกจากนี้เธอยังมีทีมบริหารสินทรัพย์ส่วนบุคคลที่คอยให้คำแนะนำมากมาย ดูเหมือนว่ามู่หรงเสวี่ยได้เห็นการเติบโตของโม่อ้ายหลี่ในเวลาเพียงไม่กี่วัน
มู่หรงเสวี่ยจะช้าไม่ได้ เธอจัดทำแผนการผลิตผลิตภัณฑ์ดูแลผิวอยู่เรื่อยๆ เช่นเดียวกับโรงงานผลิตและสินค้าคงคลังของวัสดุยาด้วย เธอเพิ่งซื้อต้นสมุนไพรมาปลูกมากมาย ตอนนี้ไม่ใช่แค่แผนกเภสัชกรรมที่ต้องใช้สมุนไพร แต่บริษัทใหม่อ้ายเสวี่ยก็เช่นกัน โชคดีที่เธอมีมิติลับที่มีสมุนไพรมากมายเพียงพอให้เอามาใช้ได้ตลอด
ลิซซี่ยังไม่ให้คำตอบเธอแต่เธอก็ไม่กังวล ยังไงซะสำนักงานใหญ่ของลิซซี่ก็ไม่ได้อยู่ในเมือง A ก็เป็นเรื่องปกติที่จะต้องใช้เวลาหน่อย
ที่อีกฝั่ง ในที่สุดชางกวนโม่ก็จัดการปัญหาที่ประเทศ C เสร็จ เขาเตรียมตัวที่จะเดินทางกลับด้วยความดีใจ เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและรีบมองที่กล่องข้อความด้วยความรวดเร็ว เขาหัวเราะออกมาอย่างเหลวไหล

เย่เฟิงแอบมองด้วยหางตาและเห็นว่าคุณชายที่เย็นชาอยู่ดีๆก็หัวเราะออกมาอย่าเหลวไหลโดยไม่มีเหตุผลและหัวใจเขาก็เต็มไปด้วยความไม่พอใจ ตอนแรกเขารู้สึกว่าสองวันที่ผ่านมานี้คุณชายดูจะไม่มีสมาธิเท่าไร เขาเลยอยากที่จะขอกลับก่อนเพื่อไปเดทหรืออะไรบางอย่าง แต่ไม่คิดว่าอยู่ดีๆคุณชายจะกลับมาเคร่งขรึมแล้วก็มัวจมอยู่กับกองเอกสารกองโตที่อยู่บนโต๊ะ เขาพูดออกมาอยากดุดันว่าถ้าอยากที่จะขอลางั้นก็ทำงานให้เสร็จก่อน!

ขอร้องล่ะ ฉันจะทำยังไงกับงานนี้ดีเนี่ย? พอกันที ในชีวิตนี้เขาไม่อยากที่จะแต่งงานแล้ว โลกมันช่างน่าเศร้าจริงๆ ชีวิตน่าเศร้าจริงๆ!

คุณชายที่ไร้หลักการคนนี้อ่านข้อความของคุณมู่หรง หัวเราะกิ๊กกักแล้วก็หันมาด่าพวกเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย เย่เฟิงเลยรู้สึกสับสนในหัวใจอยู่นับครั้งไม่ถ้วนก่อนที่จะหาสมดุลในหัวใจของตัวเองได้
ตอนนี้จางหลินหลี่รู้สึกพอใจอย่างหาที่ใดเปรียบ เมื่อมีคนที่ชอบมาอยู่ใกล้ๆแบบนี้แล้วเขาจะไม่มีความสุขได้ยังไง

เดิมทีเขาเพียงแค่ประหลาดใจไปกับฝีมือการฝังเข็มและการรมยาที่น่าทึ่งของมู่หรงเสวี่ย แต่ตอนนี้เขาต้องยิ่งตกใจมากขึ้นเรื่อยๆไปกับคำอธิบายอีก เขาชื่นชมทักษะทางการแพทย์ที่หลากหลายที่เกี่ยวข้องและความรู้มากมายของเธอด้วย เขาตั้งใจที่จะจดบันทึกแรงบันดาลใจที่ได้จากมู่หรงเสวี่ยด้วย

มู่หรงเสวี่ยยุ่งๆมากๆ เธอไม่เคยหยุดนิ่งเลย นอกจากนี้ยังมีธุรกิจที่บริษัท, แล้วยังมีการเตรียมตัวที่โรงเรียนสำหรับการแข่งขันระดับวิทยาลัยนานาชาติอีก เพราะมันเกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของประเทศ โรงเรียนจึงกำหนดให้นักเรียนที่เข้าร่วมการแข่งขันต้องไปโรงเรียนเพื่อฝึกอบรมทุกวัน แล้วยังต้องกลับมาที่อะพาร์ตเมนต์เพื่อสอนทักษะการแพทย์ให้จางหลินหลี่อีก อย่างไรก็ตามเธอได้แรงบันดาลใจมากมาย เธอชื่นชมในเรื่องความสำเร็จทางการแพทย์ของจางหลินหลี่

ชางกวนโม่กลับมาถึงเมืองหลวงแต่เขาไม่เจอร่างของมู่หรงเสวี่ย
ในคฤหาสน์ของไป๋เสวี่ยหลี่ มู่หรงเสวี่ยออกจากโรงพยาบาลไปนานแล้ว เธอรู้ว่าพี่โม่จะกลับมาวันนี้จึงรีบตื่นมาแต่งหน้าแต่เช้า

วันนี้ เธอตั้งใจแต่งหน้าเป็นพิเศษ พร้อมสวมชุดสีขาวแบรนด์ G ทั้งชุดของเธอเป็นสีขาวหมดเพราะครั้งหนึ่งพี่โม่เคยพูดไว้แต่เขาอาจจะจำไม่ได้ แต่เธอจำได้อย่างแม่นยำ จนถึงขนาดกลายเป็นความชอบในสีขาวไปเอง

เมื่อชางกวนโม่ลงจากเครื่องบิน เขาโทรหามู่หรงเสวี่ยแต่ไม่มีใครรับสายหลังจากที่โทรศัพท์ดังอยู่นาน

เขาขมวดคิ้วและตรงกลับไปที่วิลล่าและได้พบว่ามันทั้งเงียบเหงาและเยือกเย็นอย่างมาก ของๆมู่หรงเสวี่ยหายไปหมดแล้ว เขารีบกดโทรศัพท์ในทันที

“มู่หรงเสวี่ยอยู่ที่ไหน?”
“เธอกลับไปที่เมือง Aแล้ว…” ที่ปลายสายของโทรศัพท์ จางหลินหลี่เองก็อยากที่จะบอกว่าเขาเองก็ตามเธอมาด้วยเหมือนกัน แต่เมื่อคิดว่าพวกเขาเป็นเพื่อนสนิทเขามาตั้งแต่เด็ก และคุณชายอาจจะรู้อยู่แล้ว เขาจึงคิดว่าไม่จำเป็นที่จะต้องพูดซ้ำอีก
หัวใจของชางกวนโม่ว่างเปล่า ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทันทีที่เขากลับมาเขาอยากที่จะเจอหน้าเธอที่สุด อีกตั้งสองวันกว่าที่เขาจะไปที่เมือง Aได้ ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องจัดการในเมืองหลวง เขายังไปไม่ได้และต้องเก็บกดความปรารถนาไว้ เขาเริ่มทำงานต่อ เขาต้องจัดการเรื่องงานให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อที่เขาจะได้รีบไปหาเสี่ยวเสวี่ยให้เร็วที่สุด…เขาคิดถึงเธอ…เขาอยากที่จะเจอเธอ
ไป๋เสวี่ยหลี่รออยู่ที่คฤหาสน์อยู่นาน ทั้งลุก ทั้งนั่งเดินกลับไปมาอยู่หลายครั้ง หันมองเวลาและคิดว่าป่านนี้พี่โม่น่าจะลงจากเครื่องนานแล้ว ทำไมถึงยังไม่มาหาเธออีก