ซูหลีที่อยู่ด้านหลังก้อนหินขนาดใหญ่ได้ยินอย่างชัดเจน นางร้อนรนจนหัวใจแทบหยุดเต้น นางออกแรงเฮือกสุดท้าย ในที่สุดทารกก็หลุดออกจากร่างกายมารดา ได้ยินเพียงเสียงร้องไห้ของทารกดังก้องไปทั่วทั้งยอดเขา
“คลอดแล้ว!”
ผู้คนนอกหุบเขาต่างโห่ร้องด้วยความยินดี หลีเฟิ่งเซียนชะงักไปเล็กน้อย น้ำตาพลันไหลอาบใบหน้าชรา
เจียงหยวนประคองเขา ก่อนจะแอบยัดยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งใส่ปากเขา แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “เซ่อเจิ้งอ๋องอย่าเพิ่งใจร้อน ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสพลิกสถานการณ์อีกแล้ว”
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยอุ้มทารกเดินออกมาจากด้านหลังหินก้อนใหญ่ แล้วตะโกนด้วยความตื้นตันใจ “แม่ลูกปลอดภัย! ฝ่าบาทให้กำเนิดองค์ชาย!”
“เป็นองค์ชาย?!” เหล่าขุนนางตรงปากหุบเขาต่างโห่ร้องด้วยความยินดี “ดีเหลือเกิน ในที่สุดแคว้นเฉิงเราก็มีทายาทสืบทอดบัลลังก์แล้ว…”
แต่ทว่า ยังไม่ทันสิ้นเสียงพูด ทายาทสืบทอดบัลลังก์ผู้นั้นก็ถูกจั้นอู๋จี๋คว้าตัวไป ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยหมายจะเข้าไปยื้อแย่ง แต่นางใช่คู่ต่อสู้ของเขาเสียที่ไหน เพียงสะบัดเบาๆ นางก็เกือบจะตกสระน้ำแข็งแล้ว
ซูฉุนตะโกนอย่างร้อนใจ “จั้นอู๋จี๋ อย่าทำร้ายพวกเขา!”
จั้นอู๋จี๋อุ้มเด็กเดินมาที่ริมสระน้ำ ทารกน้อยคล้ายรับรู้ได้ถึงอันตราย หวีดร้องไห้ดังกว่าเดิม ทุกคนต่างตกตะลึง พากันหันไปมองสระน้ำแข็งอันหนาวเหน็บอย่างพร้อมเพรียง อดร้องตะโกนไม่ได้ “อย่าทำอะไรเด็กนะ!”
จั้นอู๋จี๋ไม่แยแส เพียงจ้องมองเด็กทารกในอ้อมแขนที่กำลังร้องไห้เสียงดัง แล้วกล่าวว่า “ข้าอุตส่าห์อยากให้ลูกไปอยู่เป็นเพื่อนพ่อ พวกเจ้ากลับไม่เห็นดีเห็นงาม”
เขาปล่อยมือ เด็กทารกร่วงตกลงไปในสระน้ำแข็งทันที หวั่นซิน เซี่ยงหลี และหยางเซียวที่ยืนอยู่ข้างสระน้ำแข็งเห็นเช่นนั้นก็รีบพุ่งตัวเข้าไป หมายจะคว้าตัวเด็กทารกไว้ ครั้นเห็นเงาร่างของสามคนนั้นพุ่งตัวเข้ามา จั้นอู๋จี๋กลับไม่สะทกสะท้าน เพียงโบกมือเบาๆ ห่าธนูพลันซัดสาดลงมาจากยอดเขา บีบคั้นให้ทั้งสามคนถอยกลับไป
เด็กทารกใกล้จะตกลงไปในสระน้ำแข็งแล้ว ซูหลีรู้สึกเจ็บท้องเจียนตาย ความเจ็บปวดอันคุ้นเคยกลับจู่โจมเข้ามาอีกครั้ง นางกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ล้มลงกับพื้นอีกครั้ง ในดวงตาเต็มไปด้วยแววหวาดกลัวและสิ้นหวัง “ลูกของข้า…”
ขณะที่เด็กทารกใกล้จะตกถึงผิวน้ำ ทันใดนั้น เงาร่างสายหนึ่งโผล่พ้นผิวน้ำ พุ่งตัวขึ้นมารับเด็กทารกไว้ด้วยความเร็วดุจสายฟ้า หยดน้ำที่สาดกระเซ็นเป็นวงกว้างกลายเป็นน้ำแข็ง คนผู้นั้นดีดนิ้วมือ เม็ดน้ำแข็งพลันพุ่งตรงไปยังจั้นอู๋จี๋ราวกับห่าธนู จั้นอู๋จี๋ตกตะลึง ถอยกรูดทันที ชายชุดดำที่ยืนอยู่ข้างเขารีบตวัดกระบี่ป้องกัน ได้ยินเพียงเสียงอาวุธกระทบกับเม็ดน้ำแข็งดังเกรียวกราว จั้นอู๋จี๋กับลูกน้องถอยห่างออกไปสิบก้าว
คนผู้นั้นอุ้มทารกไว้ในอ้อมแขน ค่อยๆ ทิ้งตัวลงพื้น กลับเป็นตงฟางเจ๋อ! ทุกคนร้องด้วยความตกตะลึง
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยร้องด้วยความดีใจ “เป็นฮ่องเต้แคว้นเฉิง! เขายังไม่ตาย!”
ยามนี้ซูหลีนอนขดตัวอยู่บนพื้น ถึงแม้จะเจ็บท้องเจียนตาย แต่กลับเห็นทุกอย่างอย่างชัดเจน นางกุมมือซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ย เอ่ยพลางหอบหายใจ “เร็วเข้า บอกให้เขาพาเด็กหนีไป!”
จั้นอู๋จี๋จ้องหน้าตงฟางเจ๋อเขม็ง “เจ้ากลับยังไม่ตาย?!”
ตงฟางเจ๋อมองเด็กในอ้อมแขน เด็กทารกคล้ายสัมผัสได้ว่าตนเองปลอดภัยแล้ว กลับไม่ร้องไห้อีก เด็กน้อยลืมตา แล้วจ้องมองด้วยดวงตากลมโต ตงฟางเจ๋อลูบแก้มเด็กน้อย ก่อนจะหันไปมองหาซูหลี ในที่สุดก็เห็นซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยกำลังประคองนาง พากันล้มอยู่ข้างหินก้อนใหญ่ ใบหน้านางซีดขาวเหมือนกระดาษ สายตากลับร้อนรุ่มสุดแสน
จั้นอู๋จี๋มองหน้าตงฟางเจ๋อด้วยสีหน้ามืดครึ้ม “ปีนั้น เจ้าดำลงไปหาหญ้าหานซินใต้สระน้ำแข็งแห่งนี้ แม้มียาวิเศษ แต่ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ยามขึ้นมาเจ้าก็ยังกระอักเลือดเพราะพิษเย็นกำเริบ จนเกือบเอาชีวิตไม่รอด วันนี้เจ้าลงไปอย่างน้อยก็หนึ่งชั่วยามแล้ว เหตุใดจึงไม่เป็นไร?”
สายตาตงฟางเจ๋อเปล่งประกายเย็นยะเยือกดุจกระบี่ “เรื่องนั้นต้องขอบคุณเจ้า ที่วางแผนกระตุ้นพิษเย็นในตัวข้า จึงทำให้ข้ามีโอกาสกำจัดพิษเย็นในร่างกายออกไปจนสิ้นซาก” เขาหันไปมองซูหลี สายตาพลันแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน “หากไม่ได้สูญเสียวรยุทธ์เพื่อช่วยข้าขับพิษเย็นออกจากร่าง เจ้าคิดว่าอาศัยแค่เจ้ากับฉินเหิงก็จะจับตัวนางได้งั้นหรือ?”
ตงฟางเจ๋ออุ้มเด็กเดินตรงไปหานาง จั้นอู๋จี๋พลันลนลานหวาดกลัวขึ้นมา เขาโบกมือออกคำสั่ง “ทหาร ฆ่าคนพวกนี้ให้หมด อย่าให้เหลือ”
เหล่าชายชุดดำพุ่งตัวเข้ามา แต่ในขณะนั้นเอง ได้ยินเพียงเสียงซู่ซ่าดังสนั่น ท่ามกลางสระน้ำแข็ง เงาร่างนับไม่ถ้วนโผล่พ้นเหนือผิวน้ำ หนึ่งในนั้นบั่นคอชายชุดดำจนล้มลงไป แล้วตะโกนเสียงดังว่า “คุ้มกันฝ่าบาท! เซิ่งจิน เซิ่งเซียว พวกเจ้ากับแม่ทัพหยวนจงคุ้มกันเหล่าใต้เท้าให้หนีออกไปจากที่นี่เสีย!”
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเพ่งมอง ก็พบว่าเป็นเซิ่งฉิน นางอดตะโกนด้วยความดีใจไม่ได้ “เป็นองครักษ์ของฮ่องเต้แคว้นเฉิง ฝ่าบาท พวกเรารอดแล้วเพคะ!”
หวั่นซิน เซี่ยงหลี และเจียงหยวนไม่รีรอ รีบโฉบกายพุ่งตัวเข้ามาปะทะกับกลุ่มคนชุดดำ สถานการณ์โกลาหลในชั่วพริบตา หยวนเซี่ยงกับเสิ่นเจี้ยนอันพุ่งตัวไปที่ปากหุบเขา แล้วสังหารชายชุดดำจำนวนหนึ่ง เหล่าขุนนางรีบวิ่งหนีออกจากหุบเขาไปดุจคลื่นน้ำที่ทะลักออกจากเขื่อน
เหลียงสือชูมองหน้าตงฟางเจ๋อ แล้วตะโกนเสียงดัง “ฝ่าบาท!”
ตงฟางเจ๋อตะโกนด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเด็ดเดี่ยว “ถอยทัพ!”
เหลียงสือชูกัดฟัน ดึงหลีเฟิ่งเซียนขึ้นมา แล้ววิ่งหนีไปทางปากหุบเขา ซูฉุนประคองเซียงซือหรู เขาหันกลับไปมองซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยด้วยสายตารุ่มร้อน นางเองก็กำลังมองเขา นางพยักหน้าอย่างหนักแน่น ซูฉุนกัดฟัน จากนั้นก็ประคองบิดาให้วิ่งไปทางปากหุบเขา
เซิ่งจิน หยวนเซี่ยง และเสิ่นเจี้ยนอันสังหารคนเปิดทาง คุ้มกันเหล่าขุนนางของแคว้นติ้งและแคว้นเฉิงให้หนีออกไปทีละคน บนพื้นที่ราบที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล พลันมีเสียงโห่ร้องของกองทัพดังก้องฟ้า ณ เส้นขอบฟ้า กองทัพขนาดใหญ่พลันปรากฏตัว ด้านหน้าคือกองทัพแคว้นเฉิง ทิศตะวันตกและทิศตะวันออกเต็มไปด้วยกองทัพของแคว้นติ้งและแคว้นเปี้ยน ธงประจำกองทัพโบกสะบัด เสียงโห่ร้องดังกึกก้อง ราวกับจะบุกภูเขาลูกนี้ให้ราบเป็นหน้ากลอง
จั้นอู๋จี๋ตกตะลึง หันไปกระชากตัวซูหลีเข้ามาข้างกาย แล้วตะคอกอย่างดุดัน “ตงฟางเจ๋อ เจ้าต้องการให้ภรรยาเจ้าตายไปพร้อมกับเจ้าที่นี่หรือ?”
ตงฟางเจ๋อกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าอยากตายข้าก็จะสงเคราะห์เจ้า วันนี้ในปีหน้าคือวันครบรอบการตายของเจ้า!”
จั้นอู๋จี๋ยิ้มบิดเบี้ยว “ภูเขาลูกนี้มีระเบิดฝังไว้ ขอเพียงข้าออกคำสั่ง ที่นี่ก็จะแหลกสลายกลายเป็นผุยผง”
ตงฟางเจ๋อแสยะยิ้มเย็นชา “ก็ดี ในเมื่อเจ้ากับข้าล้วนไม่กลัวตาย เช่นนั้นก็ตายตกไปด้วยกันเลย!”
เขาพูดพลางสาวเท้าเดินตรงมาหาซูหลีไม่หยุด
ซูหลีทั้งตกใจและเจ็บปวด นางอยากจะตะโกนแต่กลับถูกความเจ็บปวดจู่โจมเข้ามาอีกระลอก นางกัดฟันแน่นสูดลมหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนจะหันไปมองซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยด้วยสายตาหวาดกลัว ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยมองหน้านาง ราวกับเข้าใจอะไรบางอย่าง ตกใจจนอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออก
จั้นอู๋จี๋ลากซูหลีถอยหลังตามสัญชาตญาณ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคียดแค้นและความบ้าคลั่ง ยกมือออกคำสั่ง “จุดชนวนระเบิด!”
หยางเซียวพลันร้องโวยวายเสียงดัง “จั้นอู๋จี๋ เจ้าคนเลวทรามต่ำช้า เจ้าอยากตาย แต่ข้าไม่อยากตายไปพร้อมกับเจ้าเสียหน่อย! ปล่อยอาหลีน้อยเดี๋ยวนี้นะ แล้วข้าจะยอมให้เจ้าตายศพสวย! หากไม่เช่นนั้น ข้าจะกลับไปที่เมืองหวั่นแล้วขุดเอาศพโคตรเหง้าของเจ้าออกมา ทุบโครงกระดูกพวกเขาให้แหลกละเอียด ทำให้พวกเขาตายตาไม่หลับ ศพไร้ที่ฝัง! จั้นอู๋จี๋!!! เจ้าได้ยินหรือไม่?!”
หยางเซียวสติขาดผึง ได้แต่รัวคำด่าออกไป มีทั้งคำหยาบคายสารพัด ในเวลาสั้นๆ นั้นเอง คนของตงฟางเจ๋อก็พุ่งตัวเข้าไปถึงตรงหน้าจั้นอู๋จี๋ จั้นอู๋จี๋ตกใจจับกุมซูหลีแน่นขึ้น แล้วตะโกนใส่ตงฟางเจ๋ออย่างบ้าคลั่ง “ตงฟางเจ๋อ หากเจ้ากล้าเข้ามาข้าจะฆ่านางเสีย!”
ตงฟางเจ๋อชะงักเท้า เด็กในอ้อมแขนร้องไห้เสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง
จั้นอู๋จี๋แสยะยิ้ม “ถอยออกไป! ตงฟางเจ๋อ เจ้าตายไปพร้อมกับเหล่าขุนนางจงรักภักดีพวกนั้นของเจ้าเสียเถิด จุดชนวนระเบิด! เร็วเข้า!”
เขาตะโกนออกคำสั่งอีกครั้ง เหล่าขุนนางต่างพุ่งตัวไปที่ทางเข้าเหมือนนกตื่นธนู ชั่วขณะหนึ่ง สถานการณ์โกลาหลวุ่นวาย จั้นอู๋จี๋หัวเราะด้วยความสะใจ สายตาบ้าคลั่ง
เขาหัวเราะเสียงดังลั่น ทว่าจู่ๆ กลับหัวเราะไม่ออกอีก เพราะเขาตะโกนออกคำสั่งไปหลายครั้งแล้ว แต่กลับไม่มีวี่แววว่าระเบิดจะถูกจุดชนวนเลย เขาพลันรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติ เห็นเหล่าขุนนางของทั้งสองแคว้นหนีออกไปได้กว่าครึ่งหนึ่งแล้ว เขาหันกลับไปมองบนยอดเขา ไม่รู้ว่าคนกลุ่มหนึ่งโผล่มาจากที่ใด พวกเขาโยนชายชุดดำลงมาทีละคนๆ
จั้นอู๋จี๋เดือดดาล ลากซูหลีไปข้างหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง พลันนั้นก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้นจากข้างหลัง “นี่ เจ้าสารเลวจั้น พอรู้ว่าระเบิดใช้ไม่ได้ผลแล้ว ก็กลายเป็นใบ้พูดไม่ออกไปเลยหรือ?”
จั้นอู๋จี๋ตกใจจนหน้าถอดสี กลับเห็นหยางเซียวยืนอยู่บนก้อนหินใหญ่ที่อยู่ไม่ไกล และกำลังจ้องเขาลงมาจากที่สูง “รีบปล่อยตัวอาหลีน้อยเร็วเข้า แล้วข้าจะยอมให้เจ้าได้ตายศพสวยๆ!”
หัวหน้าทหารที่อยู่บนยอดเขาหันมาตะโกนบอกหยางเซียว “นายท่าน จัดการระเบิดทั้งหมดเรียบร้อยแล้วขอรับ”
หยางเซียวโบกมือ “สือจิ้งจงฟังคำสั่ง จงสังหารจั้นอู๋จี๋และคนของเขาทั้งหมด อย่าให้เหลือรอดไปได้แม้แต่คนเดียว!”