ภาคใต้ฟ้ากว้างใหญ่ บทที่ 66.4 ตอนอวสาน (4)

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

สือจิ้งรับคำสั่ง “ขอรับ” สิ้นเสียง คนชุดขาวกลุ่มหนึ่งก็พลันวิ่งกรูลงมาจากเนินเขา สังหารคนชุดดำทีละคนๆ เสียงกรีดร้องดังระงมไปทั่วหุบเขา

จั้นอู๋จี๋จับตัวซูหลีไว้แน่น แล้วตะโกนอย่างบ้าคลั่ง “พวกเจ้าผู้ใดกล้าขยับ?! ข้าจะสังหารนางเดี๋ยวนี้! ฉินเหิง! คุ้มกันพวกข้าหนีเดี๋ยวนี้!”

ฉินเหิงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะพุ่งตัวเข้ามายืนคุ้มกันตรงหน้าเขา หวั่นซินตะโกนเสียงร้อนรน “ฉินเหิง เจ้าคุ้มกันฝ่าบาท แล้วพวกเราจะไม่ถือโทษเจ้าเรื่องในอดีต!”

ยามนี้ซูหลีรู้สึกเพียงมีบางอย่างกำลังจะออกมาจากท้องนาง นางหลุดร้องอย่างทนไม่ไหว ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเห็นเช่นนั้นก็ไม่สนใจอะไรอีก รีบเข้าไปประคองนาง แล้วตะโกนด้วยความร้อนใจ “ปล่อยนางเดี๋ยวนี้ นาง นางจะคลอดแล้ว”

ทุกคนตกตะลึง จั้นอู๋จี๋ตะโกนเสียงดัง “เด็กคลอดออกไปนานแล้ว เจ้าคิดจะหลอกข้าหรือ?”

ตงฟางเจ๋อกับหยางเซียวตะโกนขึ้นพร้อมกัน “รีบปล่อยนางเดี๋ยวนี้!”

จั้นอู๋จี๋กล่าว “ฝันไปเถิด หากไม่อยากให้นางตาย ก็ไสหัวไป!”

ซูหลีพยายามสูดหายใจอย่างสุดชีวิต นางไม่มีเรี่ยวแรงพูดอะไรทั้งนั้น ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยร้อนใจจนร้องไห้ออกมา นางประคองซูหลี “หยุดทะเลาะกันได้แล้ว! ยังมีอีกคน ยังมีเด็กอีกคน!”

เพิ่งจะสิ้นเสียงพูด เสียงร้องไห้ของทารกอีกคนก็ดังขึ้นดังคาด ทำเอาตกตะลึงกันทั่วทั้งหุบเขา ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยดึงเด็กทารกตัวเหนียวเหนอะหนะออกมา แล้วตะโกนด้วยความดีใจ “เป็นองค์ชาย! เป็นองค์ชายฝาแฝด!”

ยามนี้เหล่าขุนนางของทั้งสองแคว้นต่างหนีออกไปจนหมดแล้ว กองทัพใหญ่ดาหน้าเข้ามา หยวนเซี่ยง เสิ่นเจี้ยนอัน เซิ่งจิน เซิ่งเซียว และฮูเอ่อร์ตูกระโดดขึ้นหลังม้าอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็มุ่งหน้ามายังปากหุบเขาทันที

จั้นอู๋จี๋เห็นกองทัพของสามแคว้นใหญ่ดาหน้ากันเข้ามา แววสิ้นหวังพาดผ่านดวงตา เขาหันไปมองเด็กทารกในมือซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ย เอื้อมมือออกไปหมายจะคว้าตัวเด็ก หารู้ไม่ว่าฉินเหิงที่ยืนขวางอยู่เบื้องหน้าเร็วกว่า พริบตาเดียวก็ชิงอุ้มเด็กไปก่อนแล้ว

ใบหน้าจั้นอู๋จี๋แปรเปลี่ยนเป็นตึงเครียด เขาเริ่มรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ส่งเด็กมาให้ข้า”

สายตาของฉินเหิงขรึมลง เขาลอยตัวถอยหลัง ชายชุดดำสี่ถึงห้าคนพุ่งตัวเข้าไปล้อมเขาไว้ หวั่นซิน เซี่ยงหลี และเจียงหยวนพุ่งตัวเข้าไปสังหารชายชุดดำพวกนั้นจนสิ้นซาก ทั้งสามหันมาคุ้มกันอยู่เบื้องหน้าฉินเหิง

จั้นอู๋จี๋คำรามด้วยความเดือดดาล “ฉินเหิง เจ้าไม่อยากช่วยชีวิตพี่ชายเจ้าแล้วหรือ?”

ฉินเหิงทำเป็นไม่ได้ยิน เพียงจ้องหน้าเขาด้วยสายตาเย็นชา หวั่นซินหยิบหยกห้อยเอวชิ้นหนึ่งออกมาจากในเสื้อแล้วยื่นให้ฉินเหิง ดวงตาเขาแดงก่ำ รับไปแล้วก้มหน้ายิ้ม จั้นอู๋จี๋เห็นหยกห้อยเอว ก็พลันเข้าใจ “ดีเหลือเกิน ที่แท้พวกเจ้าสี่คนก็ไม่เคยเกลียดชังกัน! พวกเจ้าตามหาหานอี้พบแล้ว?!”

เซี่ยงหลียิ้มพลางกล่าวว่า “วังใต้ดินของแคว้นหวั่นลึกลับมากจริงๆ แต่เจ้าไม่น่าขุดทางออกให้เชื่อมต่อกับจวนของหยางจิ้นในเมืองเหลียวเฉิงเลย”

จั้นอู๋จี๋แค่นเสียงเฮอะ แล้วบอกว่า “หยางจิ้นไม่รู้ว่ามีเส้นทางลับสายนั้นอยู่เสียหน่อย เขายิ่งไม่รู้ว่าหานอี้เป็นผู้ใด”

หยางเซียวยิ้ม “เขาไม่รู้จริงๆ แต่น่าเสียดายที่ข้าเจอมันเข้า! นึกไม่ถึงละสิ เจ้าตามหาข้าไปทั่วทั้งแผ่นดิน ปรากฏว่าข้ากลับไปนอนอยู่ในบ้านหยางจิ้น! แต่ว่านะ วังใต้ดินแคว้นหวั่นของพวกเจ้าทั้งเล็กและแคบ เทียบกับกลไกเส้นทางลับที่เชื่อมต่อกันทุกทิศของลัทธิธิดาเทพของเราแล้ว แทบจะเทียบไม่ติดกันเลยทีเดียว ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ข้าก็เดินเที่ยวในนั้นทั่วแล้ว น่าเบื่อเสียไม่มี”

เขาทำหน้าดูแคลน เหมือนการทำอย่างนี้จะทำให้จั้นอู๋จี๋รู้สึกอัปยศได้จริงๆ

สือจิ้งกับสือไคว่กระโดดเข้ามา แล้วรายงานหยางเซียวว่า “นายท่าน พวกผู้ร้ายที่อยู่ข้างล่างภูเขาถูกจับหมดแล้วขอรับ”

หยางเซียวหัวเราะอย่างสะใจ “ดีมาก!”

เซิ่งฉินกับหลินเทียนเจิ้งนำกลุ่มคนเดินมาหยุดเบื้องหลังตงฟางเจ๋อ สี่ทูตแห่งเฉินเหมินยืนอยู่ด้านหนึ่ง จ้องหน้าจั้นอู๋จี๋เขม็ง ราวกับพร้อมจะขย้ำร่างเขาให้กลายเป็นชิ้นๆ ได้ทุกเมื่อ

จั้นอู๋จี๋กวาดมองรอบตัว เขากัดฟันแล้วกระชากซูหลีเข้าไปในอ้อมแขนอีกครั้ง จากนั้นก็บีบคอนาง ยิ้มอย่างชั่วร้ายแล้วกล่าวว่า “ต่อให้พวกเจ้าจะร้ายกาจอีกเพียงใด แต่ขอเพียงผู้หญิงคนนี้อยู่ในมือข้า ก็อย่าคิดว่าจะหนีรอดออกไปจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัยเลย”

ตงฟางเจ๋อเอ่ยเสียงขรึม “จั้นอู๋จี๋ ยอมจำนนเสียเถิด แล้วข้าจะให้เจ้าตายศพสวย”

จั้นอู๋จี๋ตะโกนลั่น “ดี พวกเจ้าแต่ละคนล้วนวางแผนกันมาอย่างดี แล้วยังร่วมมือกันได้อย่างไร้ที่ติ สระน้ำแข็งทำให้เจ้าหนาวตายไม่ได้ แม้แต่ระเบิดที่ข้าฝังไว้ก็ยังถูกกำจัดจนหมด ตงฟางเจ๋อ เจ้า!”

ตงฟางเจ๋อกล่าวว่า “ปีนั้นตอนที่ข้าดำลงไปหาหญ้าหานซิน ข้าเคยเห็นแสงส่องเข้าไปในถ้ำน้ำแข็ง ต่อมาจึงได้รู้ว่าตำแหน่งนั้นเชื่อมต่อกับภูเขาที่อยู่ตรงข้าม”

หลินเทียนเจิ้งแค่นยิ้มเย็นชา แล้วกล่าวว่า “เจ้าคิดว่าล่อฝ่าบาทมาที่นี่ แล้วเขาจะต้องตายอย่างแน่นอนงั้นหรือ? แท้จริงแล้วสระน้ำแข็งคือหนทางแห่งชัยชนะเดียวที่พวกเรามีอยู่! เจ้าคิดว่าฝังระเบิดไว้ในภูเขาลูกนี้แล้วพวกข้าจะหมดหนทางงั้นหรือ? หากฆ่าคนของพวกเจ้าจนหมด ระเบิดก็เป็นแค่ของไร้ประโยชน์เท่านั้น!”

จั้นอู๋จี๋แหงนหน้าหัวเราะเสียงดัง “ดี ดีมาก ในเมื่อข้าต้องตายวันนี้ เช่นนั้นข้าก็จะเอาภรรยาเจ้าไปพบอาเสวียนด้วย!”

เอ่ยจบ จั้นอู๋จี๋ก็เงื้อฝ่ามือขึ้นหมายจะสับลงกลางหัวซูหลี ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยตกใจหน้าถอดสี นางพุ่งตัวไปข้างหน้าโดยสัญชาตญาณ คิดจะกระแทกจั้นอู๋จี๋ออกไป จั้นอู๋จี๋นึกไม่ถึงว่าสตรีอ่อนแอที่ไม่มีวรยุทธ์เช่นนาง จะกระทำเรื่องที่น่าตกใจเช่นนี้ เขาไม่ทันตั้งตัว กลับถูกนางพุ่งชนจนล้มลงไปทางสระน้ำแข็ง

ทั้งสามกลิ้งตกเนินหินไปพร้อมกันเหมือนถังไม้ ทุกคนต่างตกตะลึงกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้น ซูฉุนที่ย้อนกลับมาที่ทางเข้าหุบเขาพร้อมกับกองทัพเห็นอย่างชัดเจน เขาเฆี่ยนแส้ม้าพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว พลางตะโกนเสียงดัง “อวิ๋นฮุ่ย! ซูซู!”

ตงฟางเจ๋อกับสี่ทูตวิ่งนำลงเนินเขาไปก่อน สายตาจับจ้องเงาร่างสามสายนั้นไม่ห่าง หยางเซียวคว้าธนูขึ้นมา เล็งไปที่จั้นอู๋จี๋ ลูกธนูพุ่งแหวกอากาศออกไป ตรึงแขนเขาไว้กับพื้นข้างสระน้ำแข็ง

จั้นอู๋จี๋ร้องโหยหวนเสียงดัง ไม่อาจลุกขึ้นยืนได้อีก

ตงฟางเจ๋อวิ่งเข้ามาหาซูหลี นางคลอดลูกติดกันสองคน แล้วยังกลิ้งตกเนินเขาอีก ยามนี้นางหมดสติไปแล้ว ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยไม่มีวรยุทธ์ นางตกจากที่สูง ทั่วร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล ทำได้เพียงนอนตัวสั่นอยู่บนพื้น ซูฉุนวิ่งเข้ามากอดนาง แล้วขานเรียกไม่หยุด “อวิ๋นฮุ่ย อวิ๋นฮุ่ย! เจ้าฟื้นสิ!”

ทุกคนล้อมวงกันเข้ามา ตงฟางเจ๋อส่งเด็กทารกให้หลินเทียนเจิ้ง แล้วเขาก็ประคองซูหลีขึ้นมา ถ่ายเทชี่แท้เข้าไปในร่างกายนาง เจียงหยวนเดินเข้ามาป้อนยาให้ทั้งสองคนคนละเม็ด จากนั้นก็กล่าวว่า “ไม่ต้องเป็นห่วง พวกนางยังมีชีวิตอยู่”

ยามนี้ จั้นอู๋จี๋สูดหายใจลึกๆ เขาจับลูกธนูที่ปักแขนตนเอง แล้วกระชากออกอย่างแรง ทุกคนตกตะลึง หมายจะเข้าไปจับกุมเขา แต่หยางเซียวที่ยืนอยู่เหนือก้อนหินขนาดใหญ่แค่นเสียงเฮอะ แล้วยิงธนูทีเดียวสามดอก ขณะเดียวกัน ลมเย็นก่อตัวที่ปากทางเข้าหุบเขา ธนูสิบดอกพุ่งแหวกอากาศเข้ามา ตรึงร่างจั้นอู๋จี๋ไว้กับสว่านปลายแหลมรูปคนนั้นอย่างแน่นหนา

ยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา เขาทำทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย หลอกใช้ผู้คนมากมาย สุดท้ายกลับต้องมาตายในหลุมฝังศพที่เตรียมไว้ให้ผู้อื่น! น่าเจ็บใจนัก! สายตาของเขาจับจ้องไปที่ชายหญิงคู่หนึ่งที่กอดกันอยู่ริมสระน้ำแข็ง เขากระอักเลือดคำโต เบิกตากว้าง และสิ้นลมไปในที่สุด

เซี่ยอวิ๋นเซวียนยืนอยู่ตรงปากทางเข้า เขาวางพิรุณโปรยปรายในมือลง ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงบนิ่งหลังคลื่นอารมณ์โหมกระหน่ำ

ซูหลีฟื้นขึ้นมาในที่สุด นางลืมตา ภาพแรกที่เห็นคือนัยน์ตาดำขลับของตงฟางเจ๋อที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง นางยิ้มโดยสัญชาตญาณ ยกมือขึ้นลูบหน้าเขา

ตงฟางเจ๋อกุมมือนางแน่น กระชับนางเข้ามาในอ้อมแขน

“ตงฟางเจ๋อ…” นางเงยหน้าขึ้น ในดวงตากระจ่างชัดสะท้อนเค้าโครงใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาอย่างชัดเจน เขาจ้องตรงเข้าไปในดวงตานาง อันเต็มไปด้วยความรู้สึกโชคดี ความรู้สึกรัก แล้วยังมีความรู้สึกผิด

นางเองก็กอดเขาแน่น แล้วกระซิบข้างหูเขาว่า “พวกเราต่างยังมีชีวิตอยู่ ดีเหลือเกิน!”

ตงฟางเจ๋อขอบตาร้อนผ่าว ริมฝีปากอุ่นกดจูบลงที่ขมับอันเย็นชืดของนางแรงๆ สถานการณ์สงบลงแล้ว ความหวาดกลัวที่ต้องสูญเสียคนรักกลับยังคงเดือดพล่านอยู่ในหน้าอก เขากล่าวเสียงเบาว่า “ข้าเคยบอกแล้วอย่างไร ว่าเจ้าจะไม่มีวันเสียข้าไป ข้าพูดได้ย่อมทำได้! เจ้าเองก็ห้ามคืนคำ ต้องอยู่กับข้าไปจนแก่เฒ่าด้วยเล่า!”

ซูหลีพยักหน้าอย่างหนักแน่น มองหน้าเขาด้วยสายตารักใคร่ น้ำตาแห่งความดีใจไหลอาบหน้า “ชีวิตนี้มีท่าน ถือเป็นโชคดีของข้า!”

ตงฟางเจ๋อก้มหน้าประทับจูบบนกลีบปากซีดขาวของนางเบาๆ ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ชีวิตนี้มีเจ้า รักลึกซึ้งตรึงใจไร้ข้อกังขา!”

เขาอุ้มนางขึ้นมา แล้วเดินไปที่ทางเข้าหุบเขาช้าๆ สามกองทัพใหญ่ที่อยู่ทั้งข้างนอกและข้างในต่างคุกเข่าร้องสรรเสริญเสียงดังก้องไปทั่วฟ้า “ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี!”

ครั้นเสียงร้องสรรเสริญดังขึ้น พยับเมฆบนท้องฟ้ามลายหาย สายลมก่อตัว เกล็ดหิมะลอยล่อง พัดเอากลิ่นคาวเลือดจากการเข่นฆ่าสังหารให้จางหายไปอย่างช้าๆ

หลังสายลมสงบลง รอยเท้าที่เป็นระเบียบทอดยาวลงไปตามถนนบนภูเขาหิมะอันเลี้ยวลดคดเคี้ยว เสียงฝีเท้าผู้คนเงียบหายไป ยอดเขาเสวี่ยหลงกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง โลกทั้งใบกลับคืนสู่ความสงบสุข

………………………………………………

บทส่งท้าย

แคว้นเฉิง แคว้นติ้ง และแคว้นเปี้ยนร่วมมือกันกำจัดกากเดนของแคว้นหวั่น ฮ่องเต้หญิงแห่งแคว้นติ้งได้รับการช่วยเหลือ คลอดโอรสฝาแฝด องค์หนึ่งนามว่า ‘อี้’ เป็นองค์รัชทายาทแห่งแคว้นติ้ง อีกองค์นามว่า ‘ฮั่ว’ เป็นองค์รัชทายาทแห่งแคว้นเฉิง

ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนหยางเซียวหายตัวไปอีกครั้ง แม่ทัพฮูเอ่อร์ตูนำตราพระราชลัญจกรมาถวายให้ ‘หลี’ ฮ่องเต้หญิงแห่งแคว้นติ้ง

หลีเสนอให้สามแคว้นรวมเป็นหนึ่ง เปลี่ยนชื่อแคว้นเป็น ‘เฉิง[1]’ เหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งหลายต่างเห็นงาม เจ๋อรวมแผ่นดินเป็นหนึ่ง หลีลดตำแหน่งเป็นฮองเฮา นับจากนั้นสามีภรรยารักใคร่ปรองดอง ใต้หล้าสงบสุข

หลายปีต่อมา มีคนพบเห็นบุรุษรูปงามสวมอาภรณ์สีแดงเพลิงขับขานเสียงเพลง บุคลิกสง่างามเปิดเผย สงสัยว่าจะเป็นหยางเซียว ซูหลีได้ยินข่าวก็ตามไป ทว่ายามไปถึงกลับพบเพียงห้องอันว่างเปล่าไร้เงาคน มีเพียงแก้วเปล่าหนึ่งคู่ และกลอนคู่อวยพรวางไว้บนโต๊ะ

————————————- จบบริบูรณ์ ————————–