ตอนที่ 669 ให้เขาพูดต่อไป / ตอนที่ 670 ใจโหดมือเหี้ยม

เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ

ตอนที่ 669 ให้เขาพูดต่อไป

 

 

เฉิงเค่อเป็นบุตรคนเดียวของเฉิงเหว่ย หรือเขาจะต้องมองเฉิงเค่อตายไปต่อหน้าต่อตาเช่นนี้

 

 

เฉิงเหว่ยทำไม่ได้

 

 

ทว่าท่ามกลางสายตาผู้คนมากมาย แม้เขาต้องการจะทำอะไรก็ไม่สามารถทำได้

 

 

เขาได้แต่นำความหวังทั้งหมดไว้ที่หมอหลวง หวังว่าหมอหลวงจะได้ผลวินิจฉัยที่แตกต่างออกไป ถึงเวลานั้นเขาก็จะแว้งกัดซูหลี ดูกันว่าซูหลีจะยังอวดดีเช่นตอนนี้หรือไม่!

 

 

“กระหม่อมและคนอื่นๆ ถวายบังคับพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!” หมอหลวงมาถึงอย่างรวดเร็ว

 

 

จางย่วนพั่นผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าของหมอหลวง หลังจากที่ได้รับข่าวก็รีบมาที่นี่อย่างรวดเร็ว ขันทีที่ไปเรียกเขามานั้นได้นำเรื่องมาเล่าให้พวกเขาฟังตั้งแต่ต้นจนจบ หมอหลวงทั้งสามท่านที่มาในวันนี้ ล้วนเป็นหมอหลวงที่มีคุณธรรมและบารมีสูงส่งในสำนักหมอหลวง อีกทั้งอายุอานามไม่น้อยแล้ว

 

 

โดยปกติพวกเขานั้นทราบดีว่า ผงฝิ่นนี้สามารถก่อให้เกิดอันตรายอะไรได้บ้าง

 

 

สีหน้าของจางย่วนพั่น ดูย่ำแย่เป็นอย่างมาก เขาคิดไม่ถึงว่าเฉิงเค่อผู้นี้จะมีจิตใจชั่วร้าย ในเวลานี้ยังกล้าพัวพันกับของต้องห้ามเช่นนี้ สกุลเฉิง…นี่เป็นการรนหาที่ตาย!

 

 

“จางย่วนพั่น รบกวนท่านตรวจอาการบุตรของข้าอย่างละเอียดด้วย!” ในที่สุดเฉิงเหว่ยก็ทนต่อไปไม่ไหว เมื่อเห็นจางย่วนพั่นจึงเอ่ยคำพูดประโยคนี้ออกมา

 

 

จางย่วนพั่นมองเขาปราดหนึ่งแต่กลับไม่พูดอะไรออกมาทั้งสิ้น เพียงขมวดคิ้วจากนั้นยื่นมือไปจับชีพจรของเฉิงเค่อ

 

 

ในเวลานี้ทั้งตำหนักอวิ๋นเซียวตกอยู่ในความเงียบงัน ความเงียบงันเช่นนี้ช่างประหลาดนัก ให้ความรู้สึกไม่สงบสุขปกคลุมอยู่ในใจของทุกคน

 

 

“ทูลฝ่าบาท” หลังจากผ่านไปนาน จางย่วนพั่นก็ดึงมือของตนเองกลับมา มองไปทางฉินเย่หานด้วยสีหน้าเคร่งเครียดและเอ่ยว่า “คุณชายเฉิงได้เสพผงฝิ่นเข้าไปจริง อีกทั้ง…ยังเสพเป็นเวลาระยะหนึ่งแล้ว!”

 

 

ตุบ!

 

 

ทันทีที่คำพูดนี้พูดออกมา เฉิงเหว่ยก็ถอยไปด้านหลังหลายก้าวอย่างห้ามเอาไว้ไม่อยู่ สีหน้านั้นซีดเผือดไปหมด และในเวลานั้นเองก็ทรุดตัวล้มลงนั่งลงในตำหนัก ไม่รักษามารยาทอะไรแม้แต่นิดเดียว!

 

 

คนในท้องพระโรงได้ยินดังนั้นต่างก็ตกใจเป็นอย่างยิ่ง คิดไม่ถึงว่าเฉิงเค่อผู้นี้จะใจกล้าบ้าบิ่นจนถึงจุดนี้ได้!

 

 

“พูดต่อ!” สีหน้าของฉินเย่หานที่อยู่ด้านบนเย็นยะเยือก จากนั้นเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมาอย่างเย็นชา

 

 

หมอหลวงอีกสองคนได้ยินดังนั้น จึงเดินเข้าไปเตรียมจะตรวจชีพจรของเฉิงเค่อ

 

 

“ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิตกระหม่อมด้วยเถิด ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิตกระหม่อมด้วยเถิด!” คาดไม่ถึงว่าเฉิงเค่อผู้นั้นจะผลักคนที่อยู่ด้านข้างออก จากนั้นคุกเข่าลงด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกตกใจ จากนั้นก็เริ่มโขกศีรษะลงบนพื้นอย่างบ้าคลั่ง

 

 

ปัง! ปัง! ปัง! เสียงนี้ทำให้คนได้ยินแล้วรู้สึกใจหาย

 

 

ท่าทางของเขาดูบ้าคลั่งและโขกหัวลงพื้นอย่างรุนแรง คล้ายกับจะโขกศีรษะของตนจนปริแตกก็มิปาน

 

 

“จับเขาไว้! อาการอยากเสพพิษนี้กำเริบแล้ว!” ซูหลีขมวดคิ้วและมองที่เฉิงเค่ออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อพบสิ่งผิดปกติ นางจึงรีบเอ่ยออกมาเสียงดัง

 

 

โดยรอบตำหนักอวิ๋นเซียวเป็นบริเวณที่ไม่ขาดแคลนทหารมากที่สุด เพียงแต่ซูหลีไม่ใช่ฮ่องเต้ หัวหน้าทหารรักษาพระองค์อย่างโจวเว่ยมองที่ฮ่องเต้ปราดหนึ่ง หลังจากเห็นฮ่องเต้ทรงผงกเศียร เวลานี้เขาถึงได้สั่งให้คนกดร่างของเฉิงเค่อไว้

 

 

“อุก! ฟู่ๆ!” หลังจากเฉิงเค่อถูกคนกดร่างไว้ ทั้งร่างของเขาก็เกิดอาการชัก แม้กระทั่งมุมปากยังมีฟองสีขาวไหลย้อยออกมาเต็มไปหมด ทำให้ในใจของผู้ที่เห็นรู้สึกหนาวสะท้าน

 

 

ผงฝิ่นนี้ สามารถทำให้คนผู้หนึ่งกลายเป็นคนเสียสติไปอย่างสมบูรณ์ นี่ถึงได้ถูกจัดเป็นของต้องห้าม!

 

 

“ทูลฝ่าบาท!” ในเวลานี้ไม่จำเป็นต้องให้ซูหลีพิสูจน์อะไรแล้ว ทุกคนมีดวงตาก็เห็นสภาพของเฉิงเค่อในตอนนี้แล้ว ยังจะมีสิ่งใดที่มองไม่ออกอีกหรือ!?

 

 

ซูหลีเดินเข้าไปด้านหน้าก้าวหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “กระหม่อมอยากจะขอร้องให้ฝ่าบาททรงนำผงฝิ่นที่เหลืออยู่ให้เฉิงเค่อเสพเข้าไปให้หมดพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

ทันทีที่คำพูดนี้พูดจบ ทั่วทุกแห่งในท้องพระโรงก็ตกอยู่ในความเงียบงัน

 

 

นะ นางเอ่ยไรออกมากัน!?

 

 

คนจำนวนไม่น้อยมองยังซูหลีอย่างประหลาดใจ ในดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นตกใจ

 

 

ฉินเย่หานได้ยินเช่นนั้นจึงขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย จากนั้นมองซูหลีด้วยสายตาลึกซึ้ง

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 670 ใจโหดมือเ**้ยม

 

 

“ผงฝิ่นเป็นสิ่งที่สลัดออกมาจากพืชที่เรียกว่าต้นฝิ่น ที่จริงแล้วของสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่เลี้ยงดูได้ง่ายๆ ต้องเสียทั้งเวลาทั้งเสียทั้งกำลัง ทว่าของสิ่งนี้หากคนเสพเข้าไปแล้วครั้งหนึ่งจะทำให้เสพติด” สีหน้าของซูหลีเรียบเฉย คล้ายกับนางไม่เห็นท่าทางตื่นตกใจที่ปรากฏบนสีหน้าของคนเหล่านั้น นางกลับเปิดปากอธิบายขึ้น

 

 

“เฉิงเค่อเป็นบุตรคนโตของผู้บัญชาการศาลต้าหลี่ ในเมื่อของสิ่งนี้สามารถทำให้คนฐานะเช่นเขาเสพติดได้ นี่จึงยืนยันได้ว่าเบื้องหลังของเรื่องนี้จะต้องมีอะไรบางอย่าง อาจจะต้องการใช้ผงฝิ่นแสวงหาประโยชน์ หรืออาจ…”

 

 

ความเป็นไปได้นี้ซูหลีกลับไม่พูดออกมา ทว่าหลังจากนางพูดคำพูดประโยคนี้ออกมา สีหน้าของคนบนท้องพระโรงต่างก็เปลี่ยนไป

 

 

และมีบางคนที่พอจะเข้าใจว่าเพราะเหตุใดซูหลีถึงต้องการให้เฉิงเค่อเสพผงฝิ่นนี้ต่อ

 

 

“ทูลฝ่าบาท ที่ใต้เท้าซูกล่าวมานั้นมิผิดพ่ะย่ะค่ะ หากต้องการจับคนที่สร้างผงฝิ่นขึ้นมา และสืบเบื้องหลังของผู้นำผงฝิ่นเข้ามาในเมืองหลวง อีกทั้งกำจัดผู้เสพให้หมดไป เฉิงเค่อก็จำเป็นต้องมีชีวิตต่อไปพ่ะย่ะค่ะ” คนที่เอ่ยออกมาคนแรกก็คือบัณฑิตเซี่ย

 

 

เรื่องดำเนินจนถึงบัดนี้แล้ว เหล่าขุนนางอาวุโสเหล่านี้ก็รู้สึกถึงสิ่งที่สำคัญของเรื่องนี้แล้วเช่นกัน

 

 

หากปล่อยไปโดยไม่จัดการอะไร ผงฝิ่นนี้มีความเป็นได้สูงที่จะทำลายราชวงศ์ต้าโจวจนสูญสิ้น เช่นนั้นก็สู้ใช้เงื่อนงำที่เผยออกมาในตอนนี้ สืบสวนเรื่องนี้จนถึงที่สุด!

 

 

ในเมื่อจะต้องสืบสวนจนถึงที่สุด เฉิงเค่อก็ถือเป็นเบาะแสสำคัญ

 

 

เช่นนั้นเขาไม่สามารถตายไปเช่นนี้ได้!

 

 

เพียงแต่

 

 

เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว วิธีของซูหลีเป็นวิธีที่ทำให้คนทั้งท้องพระโรงตกใจ

 

 

นางสามารถเอ่ยคำพูดคำรบนี้ได้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ใครๆ ก็ทราบดีว่าคนที่เสพผงฝิ่นเข้าไปจะไม่มีสติสัมปชัญญะอะไรแล้ว นี่ซูหลีต้องการใช้ผงฝิ่นควบคุมเฉิงเค่อผู้นี้ไว้

 

 

เพื่อให้เฉิงเค่อจับคนที่อยู่เบื้องหลังให้กับพวกเขา

 

 

นี่เป็นวิธีที่ไม่เลว ทั้งเป็นวิธีที่ประหยัดเวลาและประหยัดกำลังคง

 

 

ทว่า…

 

 

เฉิงเค่อคนนี้ เกรงว่าจะต้องถูกทำลาย

 

 

ยี่สิบกว่าปีก่อน คนที่เสพติดผงฝิ่นและเป็นคนที่สามารถควบคุมสติของตนได้สูง ท้ายที่สุดแล้วจะสามารถหลุดพ้นจากการถูกผงฝิ่นครอบงำได้

 

 

ทว่าคำพูดของซูหลี เป็นการไม่เหลือช่องทางการมีชีวิตอยู่ต่อไปให้แก่เฉิงเค่อทั้งสิ้น เฉิงเค่อชื่นชอบของสิ่งนี้ไม่ใช่หรือ เช่นนั้นก็ให้เขาเสพเสีย!

 

 

วิธีการนี้ช่างทำให้คนรู้สึกหวาดหวั่นอยู่ในใจ

 

 

“แต่กระหม่อมคิดว่า แม้เรื่องผงฝิ่นจะเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องที่เลวร้ายสมควรจะทำลายให้สิ้นซาก ไยถึงจะปล่อยให้ผู้อื่นเสพเข้าไปกัน…”

 

 

“กระหม่อมรู้สึกว่าวิธีของใต้เท้าซูไม่เหมาะสมเท่าไรพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

“กระหม่อมเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

และในเวลานี้เองเหล่าสุภาพบุรุษที่มีคุณธรรมของราชวงศ์ต้าโจวก็ก้าวออกมาแล้ว

 

 

ซูหลีมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาเฉยเมย นางอดที่จะยกมุมปากขึ้นยิ้มมิได้ เพียงแต่รอยยิ้มของนางนี้แฝงไปด้วยความเย้ยหยันอย่างบอกไม่ถูก

 

 

“ใต้เท้าซู เจ้ายิ้มอะไร” มีขุนนางท่านหนึ่งเห็นรอยยิ้มของซูหลีพอดี ขุนนางผู้นั้นขมวดคิ้ว เขารู้สึกขัดหูขัดตากับการกระทำซูหลี เขาจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น

 

 

“ไม่มีอะไร” ซูหลีหุบยิ้มใบหน้าของนางยังคงนิ่งเฉย เพียงเอ่ยว่า “ใต้เท้าทุกท่านล้วนเป็นผู้ที่มีจิตใจเมตตากรุณา เมื่อเปรียบกันแล้วซูหลีกลับกลายเป็นคนที่มีใจโหดมือเ**้ยม ในเมื่อทุกท่านต้องการเช่นนี้ก็ไม่จำเป็นต้องให้เขาเสพผงฝิ่นเข้าไปแล้ว”

 

 

“ทว่า…ซูหลีขอเอ่ยเตือนสติทุกท่านประโยคหนึ่ง กฎหมายของราชวงศ์ต้าโจว ผู้ที่แตะต้องของต้องห้าม โทษคือตัดหัว!”

 

 

สีหน้าของซูหลียังคงเรียบเฉย แต่น้ำหนักในคำพูดที่นางเอ่ยออกมานั้นค่อนข้างจะหนักแน่น

 

 

เหล่าขุนนางที่ลุกขึ้นโต้แย้งนางนั้น ในชั่วขณะนี้สีหน้าต่างเปลี่ยนไปตามๆ กัน มิผิด แม้จะไม่ให้เฉิงเค่อเสพผงฝิ่นเข้าไป ตามกฎหมายของราชวงศ์ต้าโจว เฉิงเค่อจำเป็นต้องตาย

 

 

“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง หากไม่ใช้วิธีนี้ ข้าคิดว่าทุกท่านคงจะมีวิธีจัดการที่ดีกว่านี้ นั่นคือการจับคนหลังจากตายไปแล้วหรือ!?”