ตอนที่ 671 ฮ่องเต้ผู้ปรีชาชาญ! / ตอนที่ 672 ไปห้องทรงอักษรอีกครั้ง

เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ

ตอนที่ 671 ฮ่องเต้ผู้ปรีชาชาญ!

 

 

กริบ…

 

 

ทั้งตำหนักอวิ๋นเซียวตกอยู่ในความเงียบงัน

 

 

เมื่อครู่ยังพูดกันฉอดๆ กล่าวว่าวิธีของซูหลีไม่เหมาะสมอยู่เลย บัดนี้กลับเงียบคล้ายกับเป็นใบ้ก็มิปาน อะไรก็ไม่เอ่ยออกมาทั้งสิ้น

 

 

มิผิด หากไม่ใช่วิธีเช่นนี้ ต้องการตามหาเส้นสนกลในจนหาคนที่มอบผงฝิ่นให้แก่เฉิงเค่อจนพบ ช่างเป็นเรื่องยากโดยแท้

 

 

เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง เพียงแต่ในเมืองหลวงก็มีคนอยู่จำนวนมากมายแล้ว

 

 

ค้นหา?

 

 

จะหาอย่างไรกัน?

 

 

นี่เป็นดั่งการงมเข็มในมหาสมุทรโดยแท้!

 

 

ซูหลีมองดูแล้วจึงแค่นยิ้มเย็นออกมาอย่างอดไม่ได้ วิธีของนางแม้จะดูเย็นชาไม่ใส่ใจจิตใจของผู้อื่น ทว่าเรื่องของจิตใจ นั่นก็ต้องปฏิบัติให้ถูกคนด้วย คนอย่างเฉิงเค่อ ไม่เรียกเขาว่าสัตว์เดรัจฉานก็ถือว่าเป็นเรื่องดีแล้ว

 

 

เขาเสพผงฝิ่นเข้าไปก็ไม่มีใครบังคับเขา ทว่าเขากลับนำผลจากการเสพผงฝิ่นมาระบายที่ลู่แหมียนเหมียน

 

 

หากเมื่อวานนี้นางไม่ได้ผ่านเข้าไปในตรอกนั้น เช่นนั้นใครจะเป็นผู้ตัดสินใจช่วยลู่เหมียนเหมียนกัน

 

 

“กระหม่อมคิดว่าวิธีของใต้เท้าซูนั้นดีมาก เดิมเฉิงเค่อก็ต้องโทษประหาร และสามารถตัดหัวของเขาได้ทันที หลังจากเขาได้รับโทษประหารเช่นนี้ ฝ่าบาทยังทรงเมตตาให้เขามีชีวิตอยู่ต่ออีกหลายวัน นี่ก็ถือเป็นพระคุณอันใหญ่หลวงของฝ่าบาทแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

ที่น่าแปลกก็คือในบรรดาคนส่วนมากที่ขัดแย้งกับซูหลี คนที่ยืนฝั่งซูหลีเป็นคนแรกกลับเป็นจี้เหิงหราน

 

 

ซูหลีอดไม่ได้ที่จะมองจี้เหิงหรานปราดหนึ่ง หากพูดด้วยจิตใจที่สงบ จี้เหิงหรานผู้นี้แม้นางจะไม่ชื่นชอบสักเท่าไรนัก ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว สติปัญญาของเขานั้นกลับมีความเข้าใจหลายอย่างมากกว่าเหล่าขุนนางอาวุโสที่คร่ำครึในเรื่องศีลธรรมเหล่านั้นอยู่มาก อีกทั้งต้องแยกแยะเรื่องส่วนรวมและส่วนตัวอย่างชัดเจน เมื่อทราบว่าเรื่องนี้สำคัญมากและไม่ใช่เพราะความแค้นส่วนตัวระหว่างเขากับซูหลี แม้จะไม่เกิดเรื่องนี้ขึ้น เขาก็ต้องลุกขึ้นมาพูดอยู่ดี

 

 

มิน่าเล่า เขาถึงเป็นคนสนิทของฉินเย่หาน มิน่าเล่าแม้เขากระทำเรื่องเช่นนั้นออกมา ฉินเย่หานก็ปกป้องเขา

 

 

“เสด็จพี่ กระหม่อมก็รู้สึกเห็นด้วย” ฉินม่อโจวผงะไปเล็กน้อย จากนั้นจึงลุกขึ้น

 

 

“อ๊า อ๊า อ๊า อ๊า!” ทันใดนั้นเฉิงเค่อที่ถูกจับเอาไว้ เขาอยู่ในสภาพคลุ้มคลั่ง และอ้าปากโหวกเหวกโวยวายออกมาโดยไม่รู้ตัว

 

 

“ฝะ ฝ่าบาท!” ฉินเย่หานผงะเพียงเล็กน้อย เตรียมจะพูดอะไรออกมา ทว่ากลับเห็นเฉิงเหว่ยปีนและพยุงตัวลุกขึ้นจากพื้นอย่างสั่นเทิ่ม จากนั้นเอ่ยด้วยเสียงสั่นเทาว่า

 

 

“สัตว์เดรัจฉานกระทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้ ถึงตายก็ไม่สมกับความผิดที่กระทำไป กระหม่อมคิดว่าวิธีของใต้เท้าซูดีที่สุดแล้วพ่ะย่ะค่ะ ให้สัตว์เดรัจฉานผู้นี้…” เดิมเฉิงเหว่ยจะกล่าวว่าให้ตายเป็นคุณงามความดี ทว่าหลังจากเขาหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกัดฟันเอ่ยว่า “ให้สัตว์เดรัจฉานผู้นี้ตายอย่างคุ้มค่า!”

 

 

“ความผิดนี้กระหม่อมยินยอมที่จะส่งตัวสัตว์เดรัจฉานให้ฮ่องเต้ทรงจัดการตามพระประสงค์พ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

ซูหลีเลิกคิ้วขึ้นอย่างอดไม่ได้ เหอะ เฉิงเหว่ยผู้นี้สมกับคนที่ทำการใหญ่โดยแท้

 

 

เขาคงจะพอรู้ว่า ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่สามารถรักษาชีวิตเฉิงเค่อเอาไว้ได้ ในเวลานี้จึงตัดสินใจกระทำเช่นนี้

 

 

แม้ในพระทัยของฮ่องเต้ จะทรงมีความไม่พอใจต่อพวกเขาพ่อลูกเป็นจำนวนมาก ทว่าเมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ออกมา เป็นการโยนเรื่องผงฝิ่นให้พ้นตัวเอง

 

 

ยอมพลีชีพบุตรของตน เพื่อปกป้องตนเองไว้

 

 

“หึ!” ซูหลีหัวเราะเย้ยหยัน จากนั้นยกทั้งสองมือขึ้นปรบมือเสียงดังและเอ่ยว่า “ดี เพื่อผดุงความเป็นธรรมที่ยิ่งใหญ่ ก็สามารถลงโทษได้แม้เป็นญาติมิตร ใต้เท้าเฉิงช่างเป็นคนที่รู้จักเข้าใจกฎเกณฑ์อย่างแท้จริง!”

 

 

คำพูดของนางนั้นประหลาดมาก ใบหน้าของเฉิงเหว่ยถึงกับกระตุกเล็กน้อย ทว่าเขากลับไม่กล้าพูดอะไรออกมา เพียงรับฟังอย่างเงียบๆ เท่านั้น

 

 

“หวงเผยซาน” ฉินเย่หานที่อยู่เบื้องบนพลันเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเยียบเย็น

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ” หวงเผยซานก้มศีรษะขานรับ

 

 

“นำของสิ่งนี้ลงไป” ฉินเย่หานกวาดตามองที่ขวดใบเล็กที่อยู่บนโต๊ะ

 

 

นี่หมายความว่าเขายอมรับวิธีการของซูหลีแล้ว

 

 

“ฮ่องเต้ผู้ทรงปรีชาชาญ! ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี!” ซูหลีได้ยินดังนั้นจึงฉีกยิ้ม และทำเคารพเป็นคนแรก!

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 672 ไปห้องทรงอักษรอีกครั้ง

 

 

ทันทีที่นางทำความเคารพ ขุนนางทุกคนจึงทำได้เพียงทำความเคารพตาม

 

 

เฉิงเหว่ยที่หมอบอยู่บนพื้น มีประกายความอาฆาตและเกลียดชังพาดผ่านในดวงตาคู่นั้นของเขา ความแค้นในวันนี้เขาจะจดจำเอาไว้ ต้องมีสักวันที่ซูหลีผู้นี้ต้องชดใช้เป็นพันเท่าหมื่นเท่า!

 

 

สงสารบุตรชายของเขานัก…

 

 

เฉิงเหว่ยกวาดตามองไปยังเฉิงเค่อที่ร่างกระตุกอย่างไม่หยุดหย่อน จากนั้นจึงหลับตาของตนลง

 

 

 

 

ก่อนการว่าราชกิจยามเช้าจะจบลง ฉินเย่หานรับสั่งให้ซูหลีตรวจสอบเรื่องผงฝิ่นอย่างละเอียด โดยเฉพาะ ทั้งท้องพระโรงไม่มีใครมีความคิดอื่น ซูหลีจึงขานรับไว้

 

 

ทว่าวันนี้ในฐานะของคนที่ว่าราชกิจเป็นวันแรก ซูหลีนั้นถือว่าคนที่โดดเด่นเป็นอย่างมาก

 

 

ทันทีที่จบการว่าราชกิจ นางก็ถูกขุนนางบางส่วนห้อมล้อมไว้

 

 

“ใต้เท้าซูช่างเป็นวีรบุรุษวัยหนุ่มโดยแท้ เป็นผู้ที่ทำการทุกอย่างมีการวางแผน!”

 

 

“ใช่แล้ว หากใต้เท้าซูไม่ได้ช่วยเหลือคุณหนูสกุลลู่ไว้ เกรงว่าคงจะไม่ใส่ใจถึงความสำคัญของเรื่องนี้แน่!”

 

 

“ใช่แล้วๆ!”

 

 

บัดนี้อยู่ท่ามกลางเสียงพูดประจบสอพลอ นางเลิกคิ้วแต่ไม่เอ่ยอะไรออกมา

 

 

นางกระทำเรื่องนี้เช่นนี้ ประการที่หนึ่งเป็นเพราะยาเสพติดของสิ่งนี้ ควรเป็นของต้องห้ามอย่างแท้จริง ของสิ่งนี้ทำร้ายคนจำนวนไม่น้อย นางไม่ต้องการลากคนบริสุทธิ์เข้ามาเกี่ยวข้อง ประการที่สองเป็นเพราะในฐานะที่นางเข้าร่วมการว่าราชกิจครั้งแรก นางก็ควรให้ของขวัญกับคนในอดีตอย่างนั้นเสียหน่อย

 

 

นางก็ไม่รู้ว่าของขวัญนี้ จะทำให้เฉิงเหว่ยมีความสุขหรือไม่

 

 

ซูหลีมองเห็นคนผู้หนึ่งที่อยู่ไกลออกไป เงาร่างของเขาดูค่อมอย่างบอกไม่ถูก เขาเดินกะโผลกกะเผลกออกไปทางประตูของตำหนัก

 

 

คนผู้นั้นก็คือเฉิงเหว่ยนั่นเอง

 

 

แม้เฉิงเหว่ยเป็นผู้ผดุงความเป็นธรรม เขาก็สามารถลงโทษได้แม้เป็นญาติมิตร การใช้วิธีเช่นนี้เพื่อปกป้องตนเองและชีวิตเล็กๆ ของคนทั้งสกุล ทว่าตำแหน่งขุนนางนี้กลับเป็นต่อไปไม่ได้ ฝ่าบาทไม่ได้ตรัสอะไร เพียงแต่ตรัสว่าเขาอบรมสั่งสอนบุตรไม่เคร่งขรัด ทรงรับสั่งให้เขากลับไปคิดทบทวนเรื่องต่างๆ ด้วยตนเองที่จวน

 

 

ทว่าทุกคนล้วนทราบดีว่า การคิดทบทวนนี้เกรงว่าทั้งชีวิตนี้เฉิงเหว่ยคงไม่มีโอกาสเข้ามาเหยียบในท้องพระโรงแม้แต่ครึ่งก้าวแล้ว

 

 

เรื่องนี้เฉิงเหว่ยไม่ทราบก็จริง ทว่าในฐานะที่เขาเป็นบิดาของเฉิงเค่อ อีกทั้งยังไม่สังเกตเห็นท่าทางที่ผิดปกติของบุตร แม้กระทั่งปล่อยให้เกิดความผิดเช่นนี้

 

 

เพียงแค่ความผิดเหล่านี้ เขาก็ไม่เหมาะจะอยู่ท้องพระโรงแห่งนี้แล้ว

 

 

“ครานี้ใต้เท้าซูสร้างคุณูปการครั้งใหญ่ให้แก่แผ่นดิน ต่อไปจักต้องเลี้ยงสุราพวกเราสักจอกนะ!”

 

 

ซูหลีถูกเสียงของคนที่ล้อมรอบดึงสติกลับคืนมา นางหัวเราะด้วยเสียงแผ่วเบาครู่หนึ่งและพูดรับมือเพียงสองสามประโยคด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม

 

 

ฉินม่อโจวที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนักเห็นท่าทางมั่นใจเช่นนี้ของนางแล้ว ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยความงุนงงและรู้สึกสับสน

 

 

คนตรงหน้านี้หาได้เหมือนกับคนที่เคยคุกเข่าต่อหน้า ทั้งกอดท่อนขาของเขาและเอ่ยว่าจะแต่งงานกับเขาเมื่อปีก่อนเสียที่ไหนกัน

 

 

เห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่เฉลียวฉลาดที่สุด มีการวางแผนการล่วงหน้า และเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวอย่างไม่ขาดสาย

 

 

เกรงว่าต่อไปวันข้างหน้าท้องพระโรงแห่งนี้คงจะครื้นเครงน่าดู

 

 

“ใต้เท้าซู” ในขณะที่กำลังครุ่นคิด นางพลันเห็นหวงเผยซานก้าวเท้าเข้ามาหาตนเองอย่างรีบร้อน และเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “ฝ่าบาททรงเรียกใต้เท้าซูเข้าไปพบขอรับ”

 

 

ซูหลีผงะไปเล็กน้อย จากนั้นถึงผงกศีรษะให้แก่เขา

 

 

เหล่าขุนนางที่อยู่ใกล้ซูหลีเมื่อเห็นหวงเผยซานปรากฏตัวขึ้น ต่างพากันปลีกตัวออกไปอย่างรู้งาน

 

 

ตั้งแต่ต้นจนจบซูไท่ผู้ซึ่งเป็นบิดาของซูหลีกลับยังไม่ได้เอ่ยอะไรกับซูหลีสักประโยค จากนั้นเขาก็เห็นซูหลีเดินตามหวงเผยซานออกไป

 

 

มุมปากของซูไท่กระตุกขึ้นเล็กน้อย บัดนี้หากตนเองต้องการพูดคุยกับบุตรของตนเพียงสองสามประโยค ก็กลายเป็นเรื่องยากเสียแล้ว!

 

 

อีกด้านหนึ่ง ความรู้สึกในการไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ของซูหลีในครานี้ นางรู้สึกผ่อนคลายลงมาก

 

 

เรื่องของผงฝิ่น ในเมื่อฝ่าบาทมีเรื่องบางเรื่องที่ต้องรับสั่งนางเอาไว้ นี่เป็นครั้งแรกที่นางเดินเข้าไปในห้องทรงอักษรโดยไม่ใจสั่น

 

 

อีกทั้งยังเดินเข้าด้วยท่าทางอกผายไหลผึ่ง

 

 

“ฝ่าบาทอยู่ด้านในขอรับ” หวงเผยซานที่นำนางเดินมาตลอดทาง เมื่อถึงประตูของห้องทรงอักษรก็ไม่เดินเข้าไป กลับบอกให้ซูหลีเดินเข้าไปคนเดียว

 

 

ซูหลีได้ยินดังนั้นจึงผงะไปเล็กน้อย