“แต่ว่า…” เธอยังคงเป็นห่วงงานที่เพิ่งจะเริ่มเข้าที่เข้าทาง 

 

 

จิ้นหยวนชักจะหงุดหงิด “คุณไปคิดดูให้ดีๆ ถ้าคุณไม่ไปละก็…” 

 

 

น้ำเสียงของเขาหงุดหงิดจนเธอสัมผัสได้จึงรีบเอ่ยถามพลางจ้องหน้าเขาเขม็ง “ทำไมคะ ถ้าฉันไม่ไปแล้วคุณจะพาผู้หญิงคนอื่นไปแทนอย่างนั้นเหรอคะ?” 

 

 

 “ยัยจอมขี้หึง ผมพูดแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” เขาหัวเราะขำขันแล้วตีก้นงอนงามของเธอเบาๆ “ผมแค่คิดว่าคุณอยู่กับผมนานขนาดนี้แล้วแต่ผมยังไม่เคยพาคุณไปเที่ยวที่ไหนเลย ก็เลยอยากจะพาคุณออกไปเที่ยวสักครั้ง แต่คุณกลับไม่ยอมรับน้ำใจผมเลย” 

 

 

“ก็ได้… เดี๋ยวฉันไปคุยกับพวกเขาก่อนก็แล้วกันค่ะ” ความจริงจังของเขาบวกกับความอยากของเธอ ทำให้เธอยอมตอบตกลง 

 

 

เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากเธอปรึกษากับรอง บ.ก. คนใหม่เสร็จเรียบร้อยแล้วจึงรีบโทรศัพท์หาจิ้นหยวนเพื่อบอกกับเขาว่าเธอตอบตกลงไปมิลานตามคำเชิญของเขา 

 

 

แต่บางครั้งอะไรๆ ก็เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจนยากจะคาดเดา ก่อนกำหนดออกเดินทางเพียงไม่นาน จู่ๆ ก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้ 

 

 

วันนั้น เธอกำลังเก็บรายละเอียดงานขั้นตอนสุดท้ายอยู่ในห้องทำงานของตัวเองระหว่างรอลูกน้องที่ออกไปสัมภาษณ์ข่าวกลับมา เธอรอจัดการต้นฉบับข่าวนี้เป็นข่าวสุดท้าย เพื่อที่ตัวเองจะได้ออกไปท่องเที่ยวได้อย่างสบายใจ 

 

 

เธอนึกถึงเรื่องที่จิ้นหยวนพรรณนาถึงความสวยงามต่างๆ ของมิลาน รวมทั้งความรักความดูแลเอาใจใส่ที่เขามีให้เธอแล้วยิ้มออกมาอย่างมีความสุข 

 

 

เวลานั้นเอง เธอเห็นลูกน้องที่ออกไปทำข่าวข้างนอกแบกอุปกรณ์ทำข่าวกลับเข้ามาในออฟฟิศผ่านทางกระจกหน้าต่างพอดี เธอยิ้มน้อยๆ เพราะดูเหมือนว่าทุกอย่างจะดำเนินไปอย่างราบรื่น สงสัยวันนี้คงได้เลิกงานเร็วแน่ๆ 

 

 

เธอนั่งรอให้ลูกน้องส่งข้อมูลเข้ามาให้เธอในห้องทำงาน แต่รอแล้วรอเล่ากลับไม่มีใครเข้ามาในห้องสักคน เธอจึงเดินออกไปนอกห้องด้วยความสงสัย พอเปิดประตูปุ๊บก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศแปลกๆ ปั๊บ ลูกน้องแต่ละคนหน้าตาหลุกหลิกและกำลังซุบซิบกันราวกับเจอเรื่องแปลกประหลาดเข้าให้ 

 

 

แต่เธอไม่เข้าใจ ปกติแล้วคนข่าวอย่างพวกเขาต้องชอบเรื่องแปลกประหลาดถึงจะถูกสิ ถ้ามีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นจริงพวกเขาก็ต้องดีใจเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ทำไมตอนนี้ท่าทางแต่ละคนถึงได้ดูระแวดระวังแบบนี้ล่ะ? 

 

 

เธอกระแอมเบาๆ ยังไม่ทันที่เธอจะได้พูดอะไร ลูกน้องที่เงยหน้าขึ้นเห็นเธอต่างพากันหน้าถอดสี จากนั้นรีบแยกย้ายกันกลับไปนั่งก้มหน้างุดที่โต๊ะทำงานของตัวเอง 

 

 

พวกเขาเปลี่ยนจากพวกซุบซิบนินทาเป็นหนุ่มสาวที่รักการทำงานภายในพริบตาจนทำให้เธออดขำไม่ได้ “พวกเธอกำลังคุยอะไรกันอยู่เหรอ?” 

 

 

เธอสังเกตเห็นว่าทุกคนแอบชำเลืองมองเธอเป็นระยะๆ แต่พอเห็นเธอกวาดสายตามองก็รีบหลบสายตากันเธอกันเป็นแถว 

 

 

เธอมุ่นหัวคิ้วด้วยความแปลกใจแล้วเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง “พวกเธอเป็นใบ้กันไปแล้วหรือไง? ต้นฉบับที่เพิ่งไปทำข่าวมาอยู่ไหน?” 

 

 

ยังคงมีแต่ความเงียบเป็นเสียงตอบรับเหมือนเดิม เธอกวาดสายตามองพวกเขาด้วยความไม่เข้าใจ “นี่พวกเธอเป็นอะไรไป?” 

 

 

พวกเขาลอบชำเลืองมองหน้ากันด้วยสีหน้าลำบากใจ และในที่สุดหรงเซียวที่ถือว่าเป็นคนที่สนิทกับเธอที่สุดก็ทะลึ่งพรวดลุกจากเก้าอี้ “พี่มู่มู่ ฉันมีเรื่องจะบอกพี่ค่ะ ถ้าพี่รู้แล้วอย่าเสียใจไปนะคะ” 

 

 

เธอชักจะสังหรณ์ใจไม่ดีเสียแล้ว แต่ยังคงมองหรงเซียวแล้วตอบนิ่งๆ “ได้ ไหนว่ามาซิ” 

 

 

หรงเซียวสีหน้าลำบากใจมาก เธอไม่อยากบอกข่าวนี้ให้เฉียวซือมู่รู้เลย แต่ไม่บอกก็ไม่ได้จึงรวบรวมความกล้าทั้งหมดพูดออกไป “พี่รู้ใช่ไหมคะว่าเมื่อกี้พวกเราออกไปทำข่าวจิ้นซื่อกรุ๊ปเปิดตัวห้างใหม่ที่ตึกเหมยลี่” 

 

 

เฉียวซือมู่พยักหน้า “พี่รู้ ข่าวบอกว่าจะมีผู้บริหารระดับสูงมาร่วมงานเปิดงานด้วยนี่ ทำไมเหรอ หรือว่าจิ้นหยวนเป็นคนมาเอง?” 

 

 

เธอคิดๆ แล้วมีเพียงความเป็นไปได้เดียวคือจิ้นหยวนคงเกิดปัญหาอะไรขึ้นสักอย่าง แต่ไม่คิดเลยว่าหรงเซียวได้ยินคำตอบของเธอแล้วกลับส่ายศีรษะปฏิเสธ “เปล่า ไม่ใช่หรอกค่ะ คือว่า…นายใหญ่จิ้นเฮ่า เขา… เขา…” 

 

 

เธออ้ำๆ อึ้งๆ อยู่นานสองนานจนทำให้เฉียวซือมู่ชักจะเริ่มหงุดหงิด หรงเซียวหักใจพูดออกไปในที่สุด “เขาพาผู้หญิงที่ชื่อหร่วนเซียงเซียงไปด้วย เขาประกาศว่าเธอเป็นว่าที่ลูกสะใภ้ของเขา และเธอจะหมั้นกับจิ้นหยวนในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้านี้ค่ะ”  

 

 

เธอเอ่ยตะกุกตะกักจนจบประโยคแล้วเหลือบมองเฉียวซือมู่อย่างหวาดๆ “พี่มู่มู่ พวกเราก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะได้ยินข่าวแบบนี้ พวกเรากลัวว่าพี่จะเสียใจ ก็เลยคุยกันว่าควรจะบอกพี่ดีหรือเปล่า ไม่คิดว่าพี่จะเดินออกมาเองเสียก่อน” 

 

 

หัวใจของเฉียวซือมู่หนักอึ้ง เธอฝืนปั้นหน้ายิ้ม “พี่รู้แล้ว ขอบใจมากนะที่บอกให้รู้” เอ่ยจบแล้วสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ พยายามสะกดกลั้นความปั่นป่วนในใจเอาไว้ จากนั้นหมุนตัวเดินกลับเข้าห้องทำงานของตัวเอง 

 

 

หรงเซียวมองตามเฉียวซือมู่ด้วยความเป็นห่วง แต่หรงเซียวต้องประหลาดใจเมื่อเห็นว่าเธอยังคงก้าวย่างอย่างสง่าผ่าเผยราวกับว่าข่าวที่เพิ่งได้รับรู้ไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อเธอเลย จู่ๆ เฉียวซือมู่ก็ชะงักฝีเท้าแล้วเอ่ยขึ้น “รีบส่งต้นฉบับกับข้อมูลที่ได้มาให้พี่ด้วยล่ะ” 

 

 

หรงเซียวพยักหน้าเหลอหลา คิดไม่ถึงเลยว่าเฉียวซือมู่ได้ยินข่าวนี้แล้วยังสามารถทำตัวราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้อยู่อีก จึงได้แต่แอบเป็นห่วงอยู่เงียบๆ ในใจ 

 

 

เฉียวซือมู่รวบรวมกำลังทั้งหมดที่มีปิดประตูห้อง เสี้ยววินาทีที่ประตูปิดลง เธอหมดแรงจนแทบทรุดลงกับพื้น ราวกับว่าเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายที่ยังพอหลงเหลืออยู่ถูกดูดออกจากร่างกายจนหมด เธอตะเกียกตะกายพาร่างไร้เรี่ยวแรงของตัวเองเดินกลับไปนั่งลงบนเก้าอี้บุนวมหลังโต๊ะทำงานจนได้ เธอครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วโทรศัพท์หาจิ้นหยวน แต่เธอกลับตัดสินใจยกเลิกการโทรออกในวินาทีสุดท้าย 

 

 

โทรไปแล้วเธอควรจะถามอะไร? แล้วจะถามในฐานะอะไร? 

 

 

เธอหวนนึกถึงความรักหวานชื่นระหว่างเธอกับจิ้นหยวน แล้วนึกถึงข่าวที่เธอเพิ่งรับรู้เมื่อครู่ ความรู้สึกสับสนปนเปถาโถมเข้ามาในใจจนทำให้เธอรู้สึกทั้งเศร้าใจทั้งห่อเ**่ยวใจ 

 

 

เธอหมดอาลัยตายอยากจนไม่อยากจะทำงานแล้ว ได้แต่นั่งจ้องโทรศัพท์มือถืออยู่ครึ่งค่อนวัน สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจโทรศัพท์ไปถามจิ้นหยวนจนได้   

 

 

จิ้นหยวนรับรู้ข่าวนี้ในระหว่างที่กำลังประชุมอยู่ มันทำให้เขารู้สึกหนักใจมาก เพราะเขารู้ตัวดีว่าการกระทำในระยะหลังของเขาทำให้จิ้นเฮ่าไม่พอใจเป็นอย่างมาก 

 

 

เขาสะกดกลั้นความรู้สึกของตัวเองเอาไว้แล้วดำเนินการประชุมจนลุล่วงไปได้ด้วยดี หลังจากที่ทุกคนออกจากห้องประชุมจนหมดแล้วเฉียวซือมู่ก็โทรศัพท์เข้ามาพอดี เธอเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น “คุณรู้เรื่องนี้หรือเปล่าคะ?” 

 

 

เขาเข้าใจทันทีว่าเธอกำลังถามถึงเรื่องอะไรจึงเอ่ยตอบกลับไป “ผมไม่รู้เรื่องนี้ด้วย คุณพ่อเป็นคนจัดการเรื่องนี้เอง ผมไม่มีส่วนรู้เห็นอะไรด้วยเลย” เขารู้ว่าเธออยากได้ยินคำตอบแบบไหนจึงเอ่ยตอบกลับไปอย่างเรียบง่ายและซื่อตรงที่สุด 

 

 

เห็นได้ชัดว่าเฉียวซือมู่โล่งอกทันที “ถ้าอย่างนั้นก็ดีค่ะ ฉันก็นึกว่าจู่ๆ ก็ถูกคุณทิ้งเสียแล้ว” 

 

 

เขาหัวเราะเบาๆ “ที่รักสบายใจได้ ต่อให้ผมละทิ้งโลกทั้งใบแต่ผมไม่มีวันละทิ้งคุณเด็ดขาด” 

 

 

เธอหน้าแดงซ่านพลางเอ่ยอย่างขัดเขิน “คุณนี่ปากหวานจริงๆ เลย” 

 

 

จิ้นหยวนรีบฉวยโอกาสปลอบใจเธอทันทีอีกเล็กน้อย หลังจากวางโทรศัพท์จากเธอแล้วสีหน้าของเขากลับมาเคร่งเครียดเหมือนเดิม จากนั้นเขาต่อสายถึงที่บ้านทันที  

 

 

เสียงของจิ้นเฮ่าดังลอดมาตามสาย “อาหยวน?” 

 

 

“ผมเองครับ” เขาสะกดกลั้นความไม่พอใจเอาไว้แล้วเอ่ยขึ้น “คุณพ่อ คำพูดเมื่อบ่ายนี้ของคุณพ่อมันหมายความว่ายังไง? ทำไมอยู่ดีๆ ถึงพูดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาล่ะครับ?” 

 

 

“อ้อ เรื่องนั้นเองเหรอ ใช่ ฉันเป็นคนพูดเอง ก็ฉันอยากได้หนูเซียงเซียงมาเป็นลูกสะใภ้ แล้วแกก็อย่าหวังว่าจะพาผู้หญิงหน้าไหนเข้าบ้านด้วย” เขารู้ว่าลูกชายโทรหาเขาทำไม เขาจึงบอกความต้องการของตัวเองออกไปตรงๆ