“ก็ต้องมีอยู่แล้ว” เขาเอ่ยตอบ 

 

 

“อะไรคะ?” เธอเอ่ยถามอย่างสนอกสนใจ อยากรู้เหลือเกินว่าคนที่เกือบจะทำเป็นทุกอย่างอย่างเขายังมีอะไรที่ทำไม่เป็นอีก หรือว่าจะทำอาหารไม่เป็น? 

 

 

ปรากฏว่าเขาวางมาดขรึมแล้วตอบเธอด้วยสีหน้าจริงจัง “ก็คลอดลูกไม่เป็นไง” 

 

 

 “นี่คุณ!” เธอหลุดหัวเราะพรืด “คุณนี่มันหน้าด้านจริงๆ ด้วย” 

 

 

“ถ้าหน้าบางแล้วผมจะเจอคุณได้ยังไง?” เขาตอบจริงจังโดยที่ไม่โกรธเธอเลยสักนิด 

 

 

หัวใจเธอเต้นแรง เธอหันไปมองใบหน้าด้านข้างอันหล่อเหลาของเขาแล้วรู้สึกหวานละมุนในใจ เธอยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มเขาฟอดหนึ่งอย่างอดใจไม่ไหว 

 

 

เธอเพิ่งผละจากใบหน้าของเขาก็เห็นประกายแปลกๆ แวบขึ้นในดวงตาของเขาทันที เธอกู่ร้องในใจว่าแย่แล้ว ความคิดที่จะวิ่งหนีกลับสู้ความเร็วของเขาไม่ได้สักนิด เขายื่นแขนคว้าตัวเธอหมับ ยังไม่ทันที่เธอจะได้ตั้งตัว จุมพิตเร่าร้อนก็ฝังลงบนกลีบปากของเธอเสียแล้ว 

 

 

มันกะทันหันเกินไปจนเธอต้องดิ้นหนี แต่สุดท้ายเธอก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับลมหายใจอุ่นร้อนของเขาจนร่างกายค่อยๆ อ่อนปวกเปียกไร้แรงต้านทานอีก เธอเริ่มจูบตอบเขาอย่างเร่าร้อนเช่นเดียวกัน 

 

 

อุณหภูมิในห้องทำงานค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้น มือใหญ่ของเขาเริ่มลูบคลำสรีระของเธอระเรื่อยจนล้วงเข้าไปใต้เสื้อผ้าของเธอ ทุกอย่างกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม แต่ทันใดนั้นกลับมีเสียงขลาดๆ เสียงหนึ่งดังลอยมาจากทางประตูห้อง “พี่มู่มู่… พี่…” 

 

 

แขกไม่ได้รับเชิญเปิดประตูห้องเข้ามาเห็นภาพเร่าร้อนนั้นพอดี เสียงกรีดร้องเพราะความตกใจทำให้สองหนุ่มสาวตื่นจากภวังค์แห่งความลุ่มหลงแล้วหันไปมองแขกไม่ได้รับเชิญคนนั้นพร้อมกัน 

 

 

หรงเซียวรู้สึกเสียใจขึ้นมาทันที เธอไม่ควรคิดว่าตัวเองสนิทกับพี่มู่มู่แล้วไม่ต้องเคาะประตูก่อนเข้าห้องแบบนี้ แล้วดูซิว่าตอนนี้เป็นอย่างไร ถ้าสายตาของคนเราสามารถฆ่าคนให้ตายได้ ป่านนี้เธอคงกลายเป็นศพไปแล้ว 

 

 

เธอยิ้มแหยๆ พลางก้าวเท้าถอยหลังพลาง พยายามขอโทษขอโพย “ขอ… ขอโทษค่ะ ฉันไม่รู้ว่าคุณจิ้น… ก็อยู่ที่นี่ด้วย…” เธอพยายามพูดให้จบประโยคอย่างตะกุกตะกักแล้วหมุนตัววิ่งหนีทันที 

 

 

เฉียวซือมู่หน้าแดงเป็นลูกตำลึง รู้สึกเสียใจมากที่ไม่ได้ล็อกประตูห้องจนถูกคนอื่นเห็นเข้า เธอก้มหน้าสำรวจเสื้อผ้าของตัวเอง แม้มันจะยับยู่ยี่แต่โชคยังดีที่ยังอยู่ครบทุกชิ้นในตำแหน่งที่ควรจะเป็น ถือว่าเป็นความโชคดีในความโชคร้าย  

 

 

เธอจ้องเขาตาเขม็งอย่างไม่สบอารมณ์ “ฉันขายหน้าจนไม่เหลือชิ้นดีแล้ว” 

 

 

จิ้นหยวนจัดเสื้อผ้าตัวเองให้เรียบร้อยเพื่อปกปิดร่องรอยบนหน้าอกของเขา นั่นเป็นผลงานจากเล็บมือของเฉียวซือมู่ที่เพิ่งจะสร้างรอยแดงยาวฝากเอาไว้เป็นอนุสรณ์ให้เขา เธอเห็นมันแล้วถึงกับหน้าแดงก่ำอีกคำรบ 

 

 

เขาทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ “ทำไมต้องขายหน้าด้วย มันเป็นเรื่องธรรมดาที่คนรักกันแสดงความรักต่อกันไม่ใช่หรือไง?” 

 

 

“แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าแสดงให้คนอื่นเห็นได้นี่” เธอจ้องเขาตาถลนแล้วลุกขึ้นเดินหนีเขาให้ไกลๆ “ฉันจะทำงานแล้ว ขืนยังเป็นอย่างนี้อีกฉันคงต้องทำโอทีแล้วล่ะ” 

 

 

เธอยังมีงานที่ยังคั่งค้างอยู่อีกเยอะมาก อีกทั้งช่วงเช้าเธอเสียเวลาไปไม่ใช่น้อย ตอนนี้เธอไม่มีเวลาว่างแล้วจริงๆ 

 

 

จิ้นหยวนเลิกคิ้วเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าเธอกำลังร้อนใจดั่งไฟลนจึงไม่ล้อเธอเล่นอีก แต่กลับก้มหน้าก้มตาช่วยเธอทำงานแทน 

 

 

ในที่สุดทั้งสองก็ช่วยกันสะสางงานทั้งหมดจนเสร็จก่อนเวลาเลิกงาน เธอเหยียดมือจนสุดปลายแขนแล้วบิดขี้เกียจ “ใช้ได้ ดูเหมือนว่าเราสองคนร่วมมือกันแล้วได้ผลดีมาก ตอนนี้ก็เหลือแค่รวบรวมต้นฉบับทั้งหมดแล้วแจกจ่ายคืนก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย” 

 

 

เธอใช้เวลาเพียงครู่เดียวก็สามารถจัดการเรื่องที่เหลือเสร็จเรียบร้อยทันเวลาเลิกงานพอดี เธอยิ้มกริ่มพลางลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมือให้เขา “วันนี้ต้องขอบคุณท่านประธานจิ้นเป็นอย่างมากที่ยื่นมืออันมีค่าออกมาให้ความช่วยเหลือค่ะ” 

 

 

จิ้นหยวนเลิกคิ้วขึ้นข้าง “ไม่ต้องเกรงใจ อย่าลืมตอบแทนผมก็แล้วกัน” 

 

 

เธอกะพริบตาปริบๆ “ตอบแทน? ท่านประธานจิ้นอยากให้ฉันตอบแทนยังไงคะ?” 

 

 

“ตอบแทนด้วยร่างกายเป็นไง?” เขายิ้มร้ายแล้วดึงตัวเธอให้ล้มลงบนอกของเขา 

 

 

เธอยิ้มพราวเสน่ห์ ไม่เพียงไม่ต่อต้านหากแต่ใช้สองมือโอบรอบคอของเขาเอาไว้ ลมหายใจอุ่นร้อนของเธอลอยวนอยู่รอบๆ ใบหูของเขา เธอเอ่ยเสียงแผ่ว “ได้สิคะ” 

 

 

จิตใจของเขาเคลิบเคลิ้มจนล่องลอยทันทีที่ได้ยินคำตอบของเธอ แต่เวลาและสถานที่กลับไม่เอื้ออำนวยให้เขาทำเรื่องไม่งาม เขาจึงได้แต่ใช้นิ้วจิ้มหน้าผากเธอเบาๆ “ยัยตัวร้าย” 

 

 

เธอหัวเราะเบาๆ อย่างยั่วยวนจนทำให้หัวใจของเขาเต้นโครมคราม เขาจูบมุมปากเธออย่างห้ามใจไม่อยู่ พยายามสะกดกลั้นความต้องการของตัวเองเอาไว้แล้วเอ่ยเสียงแหบพร่า “ยัยปีศาจจอมยั่ว รอให้ถึงบ้านก่อนเถอะ” 

 

 

เธอชายตามองเขาอย่างไม่สะทกสะท้าน 

 

 

จิ้นหยวนใช้ไม้นี้กับเธอไม่ได้ผลอีกต่อไปแล้ว 

 

 

เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณจากใจจริง เธอจึงเชื้อเชิญให้เขาไปรับประทานอาหารค่ำด้วยกันที่ร้านอาหารสุดโปรดของเธอเพื่อทำให้เขาอิ่มหนำสำราญใจ 

 

 

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ทั้งสองก็ก้าวเข้าสู่ความสัมพันธ์ในระยะมั่นคง แม้ชีวิตจะดำเนินไปอย่างเรียบเรื่อย แต่เธอก็สัมผัสได้ถึงความรักความดูแลเอาใจใส่ของเขาที่มีต่อเธอ เธอรู้สึกพึงพอใจมาก อีกทั้งมีพนักงานใหม่เข้ามาทำงานที่ออฟฟิศอีกหลายคนจนทำให้งานของเธอลดน้อยลง ในที่สุดเธอก็หายใจหายคอโล่งเสียที 

 

 

ตอนนี้เธอกำลังไปได้ดีทั้งทางด้านความรักและทางด้านการงาน สีหน้าของเธอก็ดีขึ้นเรื่อยๆ จนใบหน้าอิ่มเอิบเปล่งประกาย ใครเห็นก็ต้องรู้ว่าเธอกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความรัก 

 

 

เย็นนี้เธอเพิ่งกลับถึงบ้านก็เห็นเขากำลังนั่งมองเธออยู่ที่โซฟาตัวใหญ่ เธอเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจพลางเดินเข้าไปหาเขา “ทำไมกลับบ้านเร็วจังคะ?” 

 

 

ปกติแล้วถ้างานเขาไม่ยุ่งเขาจะเป็นคนไปรับเธอที่ทำงานเอง แต่หากเขาไม่ว่างหรือต้องไปร่วมงานสังสรรค์เขาจะให้อาฮุยหรืออาอวี่เป็นคนไปรับเธอแทน วันนี้ก็เหมือนเช่นทุกวัน เธอทำใจเอาไว้แล้วว่ากลับถึงบ้านต้องไม่เจอเขาแน่ แต่ไม่นึกเลยว่าเขาจะกลับมารอเธอที่บ้านแล้ว 

 

 

จิ้นหยวนชายตามองเธอแวบหนึ่งแล้วโยนแท็บเล็ตในมือไปไว้ข้างๆ จากนั้นดึงตัวเธอให้นั่งลงบนตักของเขา เธอตัวเล็กมากจนเขาสามารถโอบกอดเธอเอาไว้ทั้งตัวได้พอดิบพอดี เขาเอ่ยขึ้น “สิ้นเดือนนี้คุณพอจะหาเวลาว่างได้หรือเปล่า?” 

 

 

“สิ้นเดือนเหรอคะ?” เธอมุ่นหัวคิ้วพลางครุ่นคิดเล็กน้อย “น่าจะไม่ได้นะคะ เราเพิ่งจะวางแผนจัดกิจกรรมใหม่สิ้นเดือนนี้พอดีเลยค่ะ” 

 

 

“ถ้างั้นก็เลื่อนไปจัดเดือนหน้าแทนสิ” เขาเสนอ 

 

 

“ทำไมล่ะคะ?” เธอเอ่ยถามด้วยความสงสัย ทีมงานของเธอเพิ่งจะกำหนดวันมาหยกๆ แต่มันก็ไม่ใช่วันที่แน่นอนหรอกนะ จะให้เลื่อนน่ะทำได้ แต่เหตุผลคืออะไรล่ะ? 

 

 

จิ้นหยวนมองเธอแวบหนึ่ง “สิ้นเดือนนี้ผมจะต้องเดินทางไปต่างประเทศ” 

 

 

เธอชะงักนิ่งไปชั่วครู่ “คุณอยากให้ฉันไปด้วยอย่างนั้นเหรอคะ?” 

 

 

“คุณไม่เต็มใจเหรอ?” เขามองเธอนิ่ง 

 

 

เธอลังเลเล็กน้อย “ไม่ใช่ไม่เต็มใจ แต่ว่า…” 

 

 

“ผมรู้ว่างานในบริษัทคุณเข้าที่เข้าทางแล้ว คงไม่ยากถ้าจะหาเวลาว่างสักอาทิตย์” จิ้นหยวนเอ่ยแทรกขึ้นก่อนที่เธอจะพูดจบ 

 

 

“ไปไหนเหรอคะ?” 

 

 

“ฝรั่งเศสกับมิลาน” เขาเอ่ยตอบเพียงสั้นๆ 

 

 

เธอได้ยินแล้วรู้สึกหวั่นไหวขึ้นมาทันที นั่นมันนครแห่งแฟชั่นที่ผู้หญิงแทบทุกคนใฝ่ฝันถึงเลยเชียวนะ เธอเองก็เหมือนกัน